สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
ปลาทับทิมสามรส
ปลาทับทิมสามรส
Categories
ขนมเบเกอรี่

สูตร ชูครีม เมนูเบเกอรี่แสนอร่อย ทานง่าย ไม่แคร์น้ำหนัก

ชูครีม
ชูครีม

ชูครีม หรือที่เราชอบเรียกกันว่าเอแคล์ เดี๋ยวนี้มีหลายรูปแบบเลยนะครับ ทั้งแบบลูกเล็ก ลูกใหญ่ มีบางที่ทำแบบหยอดไส้เข้าไป มีบางที่ตกแต่งโดยปาดครึ่งใส่ครีมแล้วทำฝาปิดไว้เก๋ๆ ก็มีนะครับ แต่เชื่อเถอะใครที่ได้ทานคำแรกปุ๊บ ไม่เคยจะพอ ต้องมีคำต่อๆ ไป ผมก็เช่นกัน

ด้วยความที่ชูครีม แป้งข้างนอกกรอบนอกนุ่มใน มาเจอกับไส้ที่นุ่มลิ้น หอม หวานละมุน ยิ่งถ้าแช่เย็นมานะครับ สำหรับผม เท่าไหร่เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็น S&P ยามาซากิ หรือตามสตรีทฟู้ด ถ้าได้เจอ ผมอดซื้อทานไม่ได้จริงๆ พูดมาขนาดนี้แล้ว รออะไรล่ะครับ อยากชวนมาทำชูครีมไว้ทานเองดีกว่า อร่อยประหยัดครับ

วัตถุดิบ 

  • ไข่ไก่ 7 ฟอง แยกเฉพาะไข่แดง 5 ฟอง
  • เนยเค็ม 50 กรัม
  • น้ำเปล่า
  • เกลือป่น ¼ ช้อนชา
  • แป้งสาลี 60 กรัม
  • นมผง 2 ช้อนชา
  • วิปปิ้งครีม 250 กรัม
  • น้ำตาลทราย 40 กรัม

ขั้นตอนการทำ

ในส่วนของขั้นตอนการทำนั้น เราจะมี 2 ส่วนนะครับ คือส่วนของตัวแป้ง และตัวไส้ 

  1. นำแป้งสาลีมาผสมกับไข่แดง แล้วค่อยๆ คน เติมน้ำเปล่าทีละน้อยๆ ดูให้เนื้อแป้งมีความหนืดแต่ยังพอให้ไหลลงจากไม้พายได้นะครับ เวลาเติมน้ำให้เติมทีละน้อยๆ คนไปเรื่อยๆ ถ้าเหลวเกินจะทำให้ทำตัวชูครีมไม่ได้ทรงที่สวยงาม
  2. หลังจากได้แป้งแล้ว ให้นำมาใส่ถุงพลาสติก แล้วเจาะมุม เพื่อบีบตัวชูครีม ใส่หัวสำหรับบีบเค้กด้วยนะครับ เพื่อความสวยงาม สเปรย์น้ำเปล่าลงไปเล็กน้อย หลังจากอบแล้ว ตัวชูครีมจะได้ไม่แห้งครับ
  3. หลังจากนั้นนำเข้าตู้อบ ไฟบน-ล่าง 200 องศาเซลเซียส ประมาณ 35 นาที ก็จะได้ตัวชูครีมแล้วครับ ต่อไปก็ทำไส้กันครับ
  4. นำไข่แดง 1 ฟอง น้ำตาลทราย 40 กรัม เติมนมผงเล็กน้อย แป้งสาลี นมสดและวิปปิ้งครีม คนทุกส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน แล้วนำขึ้นตั้งบนเตา ใช่ไฟอ่อนนะครับ คนไปเรื่อยๆ ให้เนื้อเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
  5. นำวิปปิ้งครีม 200  กรัม ใส่กลิ่นวนิลาเล็กน้อย ตีให้ครีมขึ้นฟู นำไส้ที่ทำไว้ลงไปผสมให้เข้ากัน
  6. นำไปใส่ถุงแล้วใส่หัวบีบเพื่อเจาะใส่ไส้เข้าไปนะครับ บีบเข้าไปให้เต็มลูก แค่นี้ ก็ฟินน์กับชูครีมกันได้ละครับ

เป็นยังไงกันบ้าง ชูครีม ขนมหน้าตาดีๆ รสชาติอร่อย ทำไม่ยากใช่มั้ยครับ จากสูตรนี้รับรองว่าคำเดียวไม่เคยพอจริงๆ ครับ แป้งด้านนอกให้ออกกรอบนิด ด้านในนุ่มๆ เจอไส้แบบหอมหวานมันเข้าไป นุ่มลิ้นมากครับ ว่าแล้วผมคงต้องขอตัวไปทำทานบ้างละครับ

Categories
อาหารสุขภาพ

สูตร สลัดผักราดด้วยน้ำสลัดอโวคาโด เมนูสุขภาพแสนอร่อย สำหรับสายคลีน

สลัดผักราดด้วยน้ำสลัดอโวคาโด
สลัดผักราดด้วยน้ำสลัดอโวคาโด

ปัจจุบันนี้ คนให้ความสำคัญกับสุขภาพเป็นอย่างมาก จะเห็นได้จากธุรกิจอาหารเกี่ยวกับสุขภาพในตลาดโตเร็วมาก แม้กระทั่งเพื่อนผมเองยังสั่งแบบผูกปิ่นโตมาทานกันหลายคน และยังมีอีกหลายคน ที่เริ่มทำอาหารคีโตทานเอง 

จะว่าไป อาหารเพื่อสุขภาพ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลยนะครับ แค่เพียงเลือกวัตถุดิบที่มีโปรตีน มีไขมันดี แคลอรี่ต่ำ นำมาประกอบอาหาร โดยการปรุงด้วยสารปรุงรสให้น้อยที่สุด อย่างผงชูรส ถึงรสชาติไม่เค็ม แต่คือเกลือเราดีๆ นี่เอง แต่พอรสไม่เค็มเหมือนเกลือ เวลาปรุงอาหาร บางท่านอาจหนักมือไปนิด ก็ทำลายไตได้เหมือนกัน หรือถ้าคิดว่าทานสลัดแล้วน้ำหนักจะลด ก็ไม่จริงเสมอไปครับ จะทานให้น้ำหนักลด หรือสุขภาพดี รอบนี้ผมมีเมนูสลัดพร้อม Dressing ดีๆ มาแนะนำคือ “น้ำสลัดอโวคาโด” นั่นเอง

วัตถุดิบ สำหรับทำน้ำสลัดอโวคาโด

 

  • อโวคาโด 1 ลูก น้ำมาคว้านเม็ดออกจากเปลือก คว้านเนื้อมาหั่นให้เป็นเต๋าหรือเป็นชิ้นเล็กๆ
  • น้ำมันมะกอก 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
  • พริกไทยดำ
  • น้ำเปล่า

 

วัตถุดิบ สำหรับทำสลัดผัก

 

  • ผักกรีนโอ๊ก  10 กรัม
  • ผักเรดโอ๊ก 10 กรัม
  • ผักกาดแก้ว 10 กรัม
  • แครอทหั่นฝอย 10 กรัม
  • มะเขือเทศราชินี ผ่ากลางลูกตามแนวยาว 5 ลูก

 

ขั้นตอนการทำ

ในส่วนของสลัดผัก ราดด้วยน้ำสลัดอโวคาโดนี้ จริงๆ ผักสลัดสามารถเปลี่ยนตามความชอบของแต่ละท่านได้เลยครับ ส่วนผักที่ผมเลือกมา คือผักที่ผมมักทานประจำ และรู้สึกว่าผักไฮโดรโปนิกส์ มีรสชาติออกมัน ไม่ไปเบรกรสชาติของน้ำสลัด ถ้าท่านใดที่ชอบทานผักอย่างอื่น เช่น ผักกาดหอมก็สามารถนำมาทานได้นะครับ รวมไปถึงธัญพืช จำพวกถั่วต่าง ๆ เม็ดเดือย ก็สามารถนำมาทานด้วยกันได้ครับ

  1. นำอโวคาโดมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อให้สะดวกต่อการปั่น
  2. นำส่วนผสมทั้งหมดลงไปปั่นในโถปั่น น้ำมะนาว เกลือ พริกไทยดำ  เติมน้ำไปเล็กน้อยเป็นระยะ
  3. นำผักที่เตรียมไว้ล้างให้สะอาด หั่นผักให้มีระยะห่างประมาณ 1.5 นิ้ว
  4. มะเขือเทศราชินีหั่นตามแนวยาวของลูก
  5. นำผักสลัดมาจัดใส่จาน จัดให้เรียบร้อยสวยงาม
  6. ราดด้วยน้ำสลัดอโวคาโด

น้ำสลัดนี้ ถ้าทานไม่หมดก็จัดเก็บในตู้เย็นไว้ก่อนก็ได้นะครับ หากท่านใดคิดว่าต้องการโปรตีนจากเนื้อสัตว์ สำหรับเมนูนี้ก็ไม่อยากเลยครับ เพิ่มได้ตามใจชอบ จะเป็นแซลมอนรมควัน อกไก่ย่าง ก็สามารถนำมาใส่เพิ่มเติม ทำให้น่าทานขึ้น รสชาติก็ดีขึ้นด้วยนะครับ

มีน้ำสลัดเพื่อสุขภาพ และผักสลัดต่างๆ ติดอยู่เย็นไว้ หิวตอนไหนก็ทานได้ จะค่ำมืดดึกดื่นไม่ต้องออกไปซื้อไปหา แถมทานสลัดผักราดด้วยน้ำสลัดอโวคาโดแล้วไม่ทำลายสุขภาพอีกด้วยครับ

Categories
อาหารนานาชาติ

สูตร ข้าวผัดซอส XO เมนูอาหารนานาชาติสุดสร้างสรรค์

ข้าวผัดซอส XO
ข้าวผัดซอส XO

ถ้าพูดถึงอาหารจีน เมนูที่ใช้ซอส XO เป็นส่วนประกอบ จะต้องถูกนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ แน่นอน พอๆ กับซอสซัมบัล ซึ่งซอส XO นั้น เป็นซอสที่พิถีพิถันในการทำมาก สมกับชื่อ XO ที่น้ำพริกเผาบ้านเรานั่นเอง แต่เป็นน้ำพริกเผาทะเลนะครับ เพราะส่วนผสมหลัก คืออาหารทะเล เช่น ปลาอินทรีเค็ม กุ้งแห้ง เป็นต้น

ซอส XO จะมีรสเผ็ดนำ ซึ่งหากเราทำซอสเก็บไว้แล้ว ก็สามารถนำไปทำอาหารได้หลายเมนูเลย แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า การทำอาหารด้วยซอส XO เราจะไม่นิยมปรุงเพิ่มเติมนะครับ เพราะจะเสียรสชาติของซอส เลยอยากแบ่งปันการทำอาหารจีนง่ายๆ ด้วยซอส XO สำหรับเมนูที่จะแนะนำวันนี้คือ “ข้าวผัดซอส XO” นะครับ

วัตถุดิบ 

  1. ข้าวสวย 170 กรัม
  2. ซอส XO 30 กรัม
  3. คะน้าซอย 20 กรัม
  4. กุ้งขาว 3 ตัว

 

 

ขั้นตอนการทำ

  1. ตั้งกระทะไฟปานกลาง ใส่ซอส XO ลงไป คั่วให้หอม ไม่ต้องใส่น้ำมัน เพราะในซอสมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว
  2. น้ำกุ้งขาวที่เตรียมไว้ลงไปผัดกับซอส
  3. ใส่ข้าวสวยลงไป ผัดให้ให้เข้ากับซอส
  4. หลังจากผัดข้าวจนเริ่มแห้งแล้ว ให้เติมคะน้าซอยลงไป ใช้ไฟแรง รีบผัด รีบนำขึ้น เพื่อให้คะน้ายังคงความเขียวอยู่ ตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟได้เลยครับ

ปัจจุบัน ร้านอาหารจีนในไทย ก็นำเมนูนี้เข้ามาขายแล้วนะครับ โดยส่วนตัวผมคิดว่าราคาค่อนข้างสูงมากเลยทีเดียว เลยอยากให้ลองทำซอส XO ไว้ทานเองดูนะครับ

ข้าวผัดซอส XO
ข้าวผัดซอส XO

วัตถุดิบ

  1. ปลาอินทรีเค็ม 200 กรัม
  2. กุ้งแห้ง 300 กรัม
  3. หมูแฮมจีน 300 กรัม
  4. หอยเซลล์แห้ง 600 กรัม
  5. พริกชี้ฟ้าแห้ง 600 กรัม
  6. พริกจินดาแห้ง 80 กรัม
  7. กระเทียมไทย 400 กรัม
  8. หอมแดง 400 กรัม
  9. น้ำมันพืช 1 ขวด

ขั้นตอนการทำ

  1. นำหอยเชลล์แห้งไปนึ่ง แล้วนำมาฉีกเป็นเส้นๆ
  2. นำพริกชี้ฟ้าแห้งมาเอาไส้และเม็ดออกให้หมด โขลกให้ละเอียด
  3. น้ำพริกจินดาแห้งมาทอด แล้วนำไปโขลกเช่นเดียวกันระวังอย่าให้พริกไหม้ หากมีพริกไหม้ จะต้องนำออก ไม่เช่นจะทำให้ซอสมีรสชาติขมได้นะครับ
  4. นำหอมและกระเทียมลงคั่วในกระทะ แล้วนำมาโขลกให้ละเอียด
  5. นำกุ้งแห้งมาโขลกให้พอแตก
  6. หมูแฮมจีนนำไปนึ่ง แล้วมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
  7. ตั้งกระทะ ใช้ไฟอ่อน ใส่น้ำมันพืชลงไป หลังจากนั้น ใส่ส่วนผสมทุกอย่างที่เตรียมไว้ลงไป เคี่ยวให้เข้ากัน จนกว่าจะงวด หลังจากนั้นปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็น เก็บใส่โหลหรือภาชนะ ไว้ทำอาหารต่อไป

 

ซอส XO สูตรดั้งเดิม จะเคี่ยวส่วนผสมต่างๆ โดยการเติมบรั่นดี Cognac XO

ลงไปด้วย แต่สำหรับสูตรนี้ อยากให้ทำแล้วสามารถเก็บไว้ประกอบอาหารทานได้กันทั้งครอบครัวมากกว่าครับ เลยไม่ได้ใส่บรั่นดีลงไปด้วยครับ




Categories
อาหารไทย

เมนู แกงส้ม อาหารไทยที่แสนคุ้นเคย อร่อยต้องบอกต่อ

แกงส้ม
แกงส้ม

แกงส้ม เป็นอาหารพื้นบ้าน มีรสเปรี้ยว เค็ม หวาน นิดหน่อย เนื้อสัตว์ที่นำมาแกงส้ม มีปลาช่อน ปลาดุก ปลากุเลา ปลาเก๋า ปลาหมอไทย ปลาหมอเทศ กุ้งชีแฮ้ กุ้งนาง กุ้งก้ามกราม หอยแมลงภู่ หอยแครง หอยลาย ถ้าไม่มีเนื้อสัตว์อะไรก็ใช้เนื้อหมูแทนก็ได้

สำหรับผักที่เก็บมาแกงส้มได้ มีผักกาดขาว หัวแครอท เห็ด ลูกมะตาด ลูกแตงโมอ่อน เปลือกแตงโม หน่อไม้สดหรือหน่อไม้ต้ม หน่อไม้ดอง มะละกอดิบ (แกงส้มมะละกอกับกุ้ง) ดอกหอม กะหล่ำปลีดอก กะหล่ำปลีใบ กะหล่ำปลีปม ยอดมะพร้าวอ่อน ไส้อ่อนกล้วย หัวปลี ฟักเขียว ถั่วฝักยาวถั่วแขก ถั่วลันเตา ถั่วพู ผักบุ้งไทย ผักบุ้งจีน ผักกระเฉด สายบัว ลูกฟักข้าว ดอกขจร ดอกแค ดอกโสน ฟักทอง มะรุม ใบกระเจี๊ยบ ฝักข้าวโพดอ่อน ฝักกระเจี๊ยบอ่อน แตงกวา แตงร้าน บร็อคโคลี่ และอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ผักหนามดอง ผักกาดเขียวดอง ยอดฟักทอง

การปรุงแกงส้มยากกว่าแกงเผ็ด เพราะมีสามรส จะต้องปรุงให้มีรสออกเปรี้ยวเค็มหวาน กลมกล่อมไม่เปรี้ยวจนเกินไป หรือเค็มขึ้นหน้า จะต้องมีเปรี้ยวขึ้นหน้า นำเค็มกับหวานตาม ผักบางอย่างไม่ต้องการเคี่ยวให้สุกมาก เช่น ผักกระเฉด ลวกด้วยน้ำแกงส้มร้อน ๆ ผักจะกรอบดี ไม่เหนียว ปรุงน้ำแกงให้ได้รสอร่อยเวลารับประทานตั้งน้ำแกงให้เดือด จึงใส่ผักกระเฉด กะพอสุกทยอย รับประทานเป็นถ้วย ถ้าผักกระเฉดสุกมากเกินไป จะเหนียวไม่น่ารับประทาน

สำหรับผักบางอย่างเคี่ยวให้สุก หรือเป็นแกงส้มค้างคืน จะอร่อยกว่าแกงเสร็จก็ รับประทานเลย เช่น พวกแกงส้มมะละกอ แกงส้มหัวผักกาด แกงส้มหน่อไม้ แกงส้มฟักแฟง การทิ้งไว้ค้างคืนจะทำให้มีรสอร่อย ถ้าเป็นแกงส้มพวกใบไม้ ควรแกงรับประทานทันที ไม่ควรค้างคืน

แกงส้ม
แกงส้ม

เครื่องปรุงน้ำพริกแกงส้ม

1. แกงส้มธรรมดา พริกแห้ง 5 เม็ด หัวหอม 5 หัว กะปิ ½ ช้อนโต๊ะ
2. แกงส้มใส่เนื้อสัตว์ที่มีคาว พริกแห้ง 7 เม็ด หัวหอม 7 หัว กระเทียม 5 กลีบ ข่า 3 แว่น กะปิ ½ ช้อนโต๊ะ
3. แกงส้มแบบแกงเหลือง พริกขี้หนูแห้ง 20 เม็ด หัวหอม 7 หัว หัวกระเทียม 15 กลีบ ขมิ้นสด 1 ท่อน ยาว 3 ซม. ถ้าเป็นขมิ้นผง 1 ช้อนชา เกลือ 1 ช้อนชา กะปิ ½ ช้อนชา ข้าวสาร 1 ช้อนชา
4. แกงส้มพริกขี้หนูสด พริกขี้หนูสด 20 เม็ด หัวหอม 5 หัว กระเทียม 5 กลีบ กะปิ ½ ช้อนโต๊ะ 

เนื้อสัตว์ที่ใช้กุ้งชีแฮ้ กุ้งนาง หรือกุ้งก้ามกราม ปลาช่อนสด รสเปรี้ยวที่ใส่ในแกงส้ม มีน้ำส้มมะขาม ใช้ได้ทั้งน้ำส้มมะขามเปียก น้ำส้มมะขามสด มะดัน น้ำมะกรูด น้ำมะนาว

แกงส้มบางอย่างใช้ทั้งน้ำส้มมะขาม และน้ำมะนาว เพื่อให้มีรสเปรี้ยวนำ มีรสเหมือนต้มยำเพื่อให้แซบ

แกงส้มที่อร่อย นอกจากรสกลมกล่อม เปรี้ยวนำเค็มหวานตามแล้ว เนื้อปลากุ้งหรือหอย จะต้องสดไม่เหม็นคาว ต้องใส่เนื้อปลา กุ้งหรือหอยในขณะที่น้ำแกงเดือด ปรุงรสน้ำส้มมะขาม น้ำปลา น้ำตาลเล็กน้อย ชิมให้ได้รสตามต้องการจึงใส่ผักแล้วยกขึ้น

สำหรับแกงส้ม ฟัก แฟง มะละกอ ยอดอ่อนฟักทอง จะต้องใส่ผักให้สุกก่อน จึงใส่น้ำส้มมะขาม น้ำปลา น้ำตาลปรุงรส เคี่ยวให้ผักสุกจึงยกขึ้น

เวลาแกงส้มไม่ควรใส่น้ำมาก ต้องกะเผื่อสำหรับน้ำส้มมะขามด้วย ถ้ามีน้ำมากเกินไปจะทำให้รสแกงไม่เข้ม อ่อนเปรี้ยว อ่อนเค็ม ทำให้ไม่น่ารับประทาน แต่ไม่ควรรสจัดมาก จะหมดความอร่อยควรกะพอน้ำแกงท่วมผัก กุ้งและปลา ถ้าแกงส้มผักกาดดอง ผักหนามดอง หน่อไม้ดอง จะต้องลดความเปรี้ยวลง เช่น ใส่น้ำส้มมะขามเพียง 1 ช้อนโต๊ะ หรือ 2 ช้อนโต๊ะก็พอ

พวกผักในแกงส้ม เมื่อสุกแล้วจะเก็บรสความเปรี้ยว ความเค็ม หวาน ไว้ในเนื้อผัก ด้วยเหตุนี้เมื่อทิ้งแกงส้มสักระยะหนึ่ง น้ำแกงส้มจะมีรสอ่อนทันที เพราะฉะนั้นเวลาปรุงน้ำแกงส้มจะต้องมีรสจัดเพิ่มเล็กน้อย เพื่อให้รสแกงที่กำลังอร่อย

แกงส้มเป็นอาหารพื้นบ้านที่ทำได้ง่ายกว่าแกงอย่างอื่น มีราคาถูก ใช้ผักได้ทุกชนิด ถ้ามีเนื้อเค็มแดดเดียว ปลาเค็มแดดเดียว หมูทอด ไก่ทอด ปลาทอด ไข่เค็ม ไข่ฟูหมูสับ ไข่ทอด หอยทอด แกล้มกับแกงส้ม จะรู้สึกว่าเป็นอาหารที่อร่อยวิเศษสุด และเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เหมาะกับประเทศไทยและคนไทย

 

Categories
ขนมหวานไทย

สูตร บุหลันดั้นเมฆ ขนมไทยโบราณที่หลายๆท่าน อาจไม่รู้จัก

บุหลันดั้นเมฆ
บุหลันดั้นเมฆ

ความวิจิตรประณีตของขนมไทยนั้น คงเป็นที่รู้ๆ กันอยู่ของเรา ๆ ท่าน ๆ แต่บางครั้งผมก็ยังอดทึ่งในความพยายามที่จะรังสรรค์วิธีการทำเหล่านั้นไม่จริง ๆ ขนมไทยหลายๆ ชนิดมีประวัติ มีที่มาที่ไป อย่างขนมที่ผมอยากพูดถึงในวันนี้ก็คือ “บุหลันดั้นเมฆ” มองไปยามใดเหมือนได้เห็นพระจันทร์ที่อยู่บนฟ้าท่ามกลางเมฆยามค่ำคืนจริงๆ แถมยังมีรสชาติที่อร่อย หอมหวาน ละมุนลิ้นด้วยนะครับ

ที่มาของขนมชนิดนี้ ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เป็นขนมของชาวรั้วชาววัง ที่คิดค้นสูตรตามเพลง “บุหลันลอยเลื่อน” ของรัชกาลที่ 2 และแน่นอนเมื่อเป็นขนมชาววัง แต่ละขั้นตอนก็จะมีความประณีตอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะขนาดไหนมาดูสูตรกันครับ

วัตถุดิบ 

  • แป้งข้าวจ้าว 0.5 ถ้วยตวง
  • แป้งมัน 1 ช้อนชา
  • แป้งข้าวเหนียว 1 ช้อนชา
  • มะนาว 0.5 ลูก
  • ไข่เป็ด 3 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่แดง)
  • น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา (สำหรับทำสังขยา)
  • หัวกะทิ 3 ช้อนชา
  • น้ำอัญชัน 1 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลทราย 0.5 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำนวดแป้ง)
  • ใบเตย

ขั้นตอนการทำ

ขั้นตอนการทำนั้น ในส่วนของการผสมวัตถุดิบต่างๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อนสักเท่าไหร่ครับ ความประณีตจะไปอยู่การนึ่งและการหยอดขนมมากกว่า เนื่องจากในลังถึงมีความร้อนมากอยู่แล้ว แต่เราต้องค่อยๆ หยอดอย่างช้าๆ และใจเย็น ซึ่งแน่นอนมือเราก็ร้อนแล้วก็อยากจะตักใส่ให้เต็มเร็วๆ นั่นจะทำให้ขนมหก และไม่สวยงามนะครับ

ขั้นตอนการเตรียมแป้ง

  1. นำน้ำอัญชัน 1 ถ้วยตวง มาตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทราย 0.5 ถ้วยตวง ตั้งไฟกลาง คนให้เข้ากันจนเดือดพล่านแล้วยกลง พักไว้
  2. นำแป้งข้าวจ้าว แป้งมัน แป้งเข้าเหนียว มาคนให้เข้ากัน โดยค่อยๆ เติมน้ำอัญชันที่ทำเตรียมไว้ที่ละนิด เพราะมีส่วนผสมของแป้งถึง 3 ชนิด ดังนั้นต้องคนให้ส่วนผสมเข้ากันทั้งหมด
  3. บีบน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อย ให้แป้งเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีออกม่วง ซึ่งเราก็จะได้ตัวแป้งที่จะเป็นเมฆมาเรียบร้อยแล้ว **ต้องทิ้งไว้ 1 คืน จึงนำมาใช้ได้นะครับ

ขั้นตอนการเตรียมสังขยา

นำไข่แดงของไข่ไก่ 3 ฟอง ใส่ในภาชนะ เติมน้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา หัวกะทิ 3 ช้อนชา แล้วขยำให้เข้ากันโดยใช้ใบเตยเพื่อลดความคาวของไข่ เมื่อส่วนผสมเข้ากันดี นำใบเตยออก

  1. นำลังถึงมา วางถ้วยตะไลลงไป ระวังอย่าให้ถ้วยชิดขอบเพราะจะมีไอน้ำหยดใส่เวลาเปิดฝาหม้อ นึ่งถ้วย 10 นาที
  2. หลังจากนั้น ตักแป้งให้เต็มถ้วยทุกถ้วย นึ่งต่อไปอีก 5 นาที 
  3. นำสังขยามาหยอดตรงกลางถ้วย โดยใช้ช้อนเล็กๆ ค่อยหยอด แล้วปิดฝานึ่งต่อ 2 นาที ทำซ้ำวนไป 10-12 รอบ ก็จะได้บุหลันดั้นเมฆตำรับชาววังเป็นที่เรียบร้อยครับ

จริงๆ แล้วผมว่าไม่อยากเลย เพียงแต่ต้องอดทนกับความร้อน และใจเย็นกับหยอดส่วนผสมต่างๆ สักนิดหนึ่ง ขนมสวยงามแบบนี้ นำไปเป็นของฝากก็ดีนะครับ

Categories
ขนมเบเกอรี่

สูตร สโคน เมนูเบเกอรี่แสนอร่อย ทำเองได้ง่ายๆที่บ้าน

สโคน
สโคน

ในบรรดาขนมที่ทานกับชาหรือกาแฟ ที่ถูกใจใครหลายคน ผมก็คิดว่าน่าจะเป็น

สโคนนี่แหละครับ ชอบกลิ่นเนยเวลาอบหอมๆ ผมชอบทานเปล่าๆ แต่จริงๆ แล้ว สโคนทานกับแยมจะไม่ฝืดคอ และมีรสชาติมากกว่าครับ จะทานกับแยมสตรอเบอรี่ แยมบลูเบอรี่ ก็เข้ากันดีเลยครับ

สโคนจัดเป็นคุ้กกี้ชนิดหนึ่งเหมือนกัน สโคนมีหลายสูตรครับ บางสูตรก็ใช้แป้งสาลี แต่สูตรที่ผมจะแนะนำนี้ใช้แป้งเค้กนะครับ เพื่อที่แป้งจะไม่แข็งมาก เวลาอบเสร็จเนื้อของสโคนจะหอมนุ่ม ไม่แข็ง ทำไว้ทีละเยอะๆ ได้ครับ ใส่โหลไว้ทานนานๆ จะทานเมื่อไหร่ก็หยิบทานได้เลย

วัตถุดิบ 

  • แป้งเค้ก 150 กรัม
  • น้ำตาลทราย 30 กรัม
  • ผงฟู 5 กรัม
  • เกลือป่น 0.5 ช้อนชา
  • เนยสดเค็มหั่นเต๋า 50 กรัม แช่เย็นจัด
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • วิปปิ้งครีม 25 กรัม

ขั้นตอนการทำ

สำหรับการเลือกเนยมาทำสโคน จะใช้เนยสดจืด หรือเค็มก็ได้นะครับ แต่ที่สำคัญเนยต้องแช่ให้เย็น เพราะเราการให้เนยกับแป้งจับตัวกันเป็นเนื้อทรายครับ

  1. นำแป้งเค้กมาผสมกับน้ำตาลทราย เกลือป่น และผงฟู ใช้แส้ตีไข่ค่อยๆ คนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน
  2. หลังจากนั้นนำเนยสดหั่นเต๋า (เนยแช่เย็นให้แข็งนะครับ) ใส่ลงไปผสมกับแป้งที่เตรียมไว้ ใช้ส้อมจิ้มให้เนยค่อยๆ แตกตัว หลังจากเนยเริ่มละเอียดแล้ว ก็ใช้ปลายนิ้วบี้ให้เนยเล็กลงอีก แป้งที่ได้ตอนนี้จะมีลักษณะร่วนเหมือนทราย
  3. ใส่ไข่ไก่ลงไป 1 ฟอง ไม่ต้องแยกไข่ขาวไข่แดงนะครับ ใส่ทั้งฟองเลย 
  4. เติมวิปปิ้งครีม คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน
  5. พอแป้งเริ่มจับตัวกันเป็นก้อน นำออกมานวดต่อนิดหน่อยแล้วทำแป้งให้เป็นแผ่น
  6. ตัดแบ่งแป้งออกเป็นสองส่วน แล้วนำมาประกบซ้อนกัน แล้วก็ทำให้เป็นแผ่นอีก และตัดแบ่งนำมาทบอีก เหมือนเดิม ทำแบบนี้ประมาณ 3-5 รอบ
  7. ห่อกระดาษ นำเข้าตู้เย็นไว้ประมาณ 30 นาที
  8. นำแป้งออกมา ใช้พิมพ์วงกลมกดแป้งออกมา เราจะได้ตัวสโคนแล้วครับ
  9. ก่อนอบ ทาวิปปิ้งครีมบนหน้าขนม และโรยน้ำตาลทรายเล็กน้อย
  10. อบด้วยความร้อน 200 องศาเซลเซียส 10 นาที แล้วอบเพิ่มความร้อน 180 องศาเซลเซียส อีก 5 นาทีครับ

เห็นมั้ยครับ ง่ายๆ แค่นี้เราก็มีสโคนทานแล้วครับ เดี๋ยวนี้หลายสูตรเขาก็เติม

ส่วนผสมอย่างอื่นลงไปด้วยครับ อย่างลูกเกด อัลมอนด์ ช็อคโกแลตชิป เป็นต้น ก็เป็นการเพิ่มรสชาติ และทำให้ดูน่าทานมากขึ้นด้วยครับ แต่สเน่ห์ของสโคนจะอยู่ที่กลิ่นหอมเนยและไม่เน้นรสหวานนะครับ

Categories
อาหารสุขภาพ

สูตร สปาเก็ตตี้ผัดกิมจิ เมนูสุขภาพง่ายๆ สไตล์เกาหลี

สปาเก็ตตี้ผัดกิมจิ
สปาเก็ตตี้ผัดกิมจิ

ใครที่ชอบทานเมนูเส้นๆ แต่ต้องการทานคลีน ก็ไม่ยากนะครับ เพราะตอนนี้เส้นสปาเกตตีแบบโฮลวีตก็มีแล้ว เราสามารถเลือกเอามาปรุงร่วมกับอะไรก็ได้ครับ ผมชอบทานสปาเกตตีอยู่แล้ว ประกอบกับชอบกิมจิด้วย เลยลองเอาทั้งสองตัวนี้มากแมทซ์กัน รสชาติถือว่าดีเลยนะครับ วันนี้เลยอยากแบ่งปันสูตรของ “สปาเกตตีผัดกิมจิ” ครับ

สปาเกตตีผัดกิมจิ ส่วนผสมเราก็สามารถเพิ่มเติมเนื้อสัตว์ที่ชอบลงไปได้ครับ ผมเลยเลือกจะเติมสันในหมู เนื่องจากจะไม่ให้มีมันติดมาก แต่ต้องการความนุ่มของหมูด้วยครับ เมนูนี้จะมีกลิ่นไอของตะวันตกผสมตะวันออกอยู่ แต่รับรองว่าทานแล้ว แคลอรี่ไม่สูงครับ

วัตถุดิบ

  • เส้นสปาเกตตีแบบโฮลวีต 100 กรัม
  • กิมจิ 50 กรัม
  • เนื้อหมูสันใน หั่นชิ้น 70 กรัม
  • พริกแกงเกาหลี (โคชูจัง) 1ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา
  • เกลือ ½ ช้อนชา
  • มอสซาเรลล่าชีส เล็กน้อย

ขั้นตอนการทำ

สปาเกตตีผัดกิมจิ มนูที่เกี่ยวกับอาหารเกาหลีนี่เราจะขาดโคชูจัง (พริกแกงเกาหลี) ไม่ได้เลยนะครับ ช่วยให้รสชาติจัดจ้านขึ้น ส่วนกิมจิบางท่านมีสูตร เคยทำเก็บไว้ ก็สามารถนำมาใช้ได้นะครับ แต่ถ้าท่านใดทำไม่เป็นไม่ต้องห่วงครับ ไปซูเปอร์มาร์เก็ตเลยครับ มีกิมจิแบบสำเร็จรูปหลายยี่ห้อมาก ร้านสะดวกซื้อบางสาขา ตอนนี้ก็นำมาขายกันมากมายเลยครับพร้อมแล้วมาดูขั้นตอนการทำกันเลยครับ

  1. นำเส้นสปาเกตตีโฮลวีตไปต้ม ตั้งน้ำเติมเกลือป่นลงไปเล็กน้อย ประมาณ 10 นาที ลองชิมเส้นดูครับ ถ้าไม่มีความกรุบแล้ว ยกขึ้นได้เลย แล้วนำเส้นสปาเกตตีไปแช่ในน้ำเย็นพักไว้ก่อนครับ
  2. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันมะกอกลงไป หลังจากนั้นนำเนื้อหมูลงไปผัด ให้สุกเหลือง
  3. เติมกิมจิ และโคชูจังลงไป ผัดจนกิมจิเริ่มนิ่ม
  4. นำเส้นสปาเกตตีลงไปผัด คนให้ทั่ว
  5. ขูดมอสซาเรลล่าชีสโรยหน้าลงไปเล็กน้อย ความร้อนของสปาเกตตีที่เพิ่งผัด จะทำให้ชีสละลายเองครับ

สปาเกตตีผัดกิมจิ ส่วนของชีสเติมให้หน้าตาดูดีและเพิ่มรสชาติแค่นั้นครับ จะใส่มากเหมือนเวลาทำผักโขมอบชีส หรือแบบสปาเกตตีอบชีสไม่ได้นะครับ เดี๋ยวจะผิดวัตถุประสงค์ของอาหารคลีนเสียหมด สำหรับเมนูอาหารคลีนที่เป็นสปาเกตตี มีอีกหลากหลายเมนูเลยครับ จะเป็นผัดกระเทียมพริกแห้งใส่เห็ดก็ได้ สปาเกตตี้อกไก่ผัดซอสมะเขือเทศก็ดี หรือจะนำเส้นมาทานกับพวกสเต็กปลาหรือสเต็กอกไก่ก็ได้ครับ ด้วยความที่เป็นเส้นโฮลวีต แคลอรี่ก็จะต่ำ เพราะฉะนั้นก็เป็นอีกทางเรื่องหนึ่งของท่านที่ชอบทานเมนูเส้นนะครับ

Categories
อาหารนานาชาติ

สูตร กูลาซ เมนูอาหารนานาชาติ สุดแสนน่ากินสไตล์ยุโรป

กูลาซ
กูลาซ

“กูลาซ” คืออะไร กูลาซก็คือสตูว์เนื้อนั่นเองครับ แต่เป็นอาหารของชาวเยอรมัน เขาตั้งชื่อเมนูจำพวกสตูว์เนื้อว่ากูลาซ ไม่จำเป็นต้องใช้เนื้อวัวนะคะ ถึงเมนูจะชื่อสตูว์เนื้อ แต่เราสามารถนำมาได้หมด เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแพะ ตามแต่อยากทานเนื้อสัตว์ชนิดไหนเลยครับ ส่วนตัวผมเองคิดว่าถ้าเป็นเนื้อหมูคนจะนิยมทานมากกว่าเนื้อชนิดอื่นๆ ผมเลยขอแนะนำเมนูกูลาซ โดยใช้เนื้อหมูมาปรุงครับ แต่จะใช้เนื้ออะไรทุกท่านสามารถเปลี่ยนได้เลยโดยใช้สูตรเครื่องปรุงนี้เหมือนกันครับ

วัตถุดิบ 

  • เนื้อหมูหั่นเต๋า ความหนาประมาณ 1 นิ้ว
  • พริกหวาน 3 สี เหลืองเขียวแดง อย่างละ 1 ลูก (นำมาหั่นเต๋)
  • ต้นหอมญี่ปุ่น 1 ต้น (นำมาซอย)
  • หอมหัวใหญ่หั่น 1 หัว
  • กระเทียมสไลด์ 3 กลีบ
  • น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมะเขือเทศเข้มข้น 1.5 ถ้วยตวง
  • ใบกระวาน 3-4 ใบ
  • ผงปาปริก้า
  • โรสแม่รี่
  • เกลือป่น

ขั้นตอนการทำ

ในส่วนของการทำกูลาซหรือสตูว์เนื้อนั้น เราต้องใจเย็นนะครับ เพราะเราต้องค่อยๆ เคี่ยวไปจนน้ำซุปเริ่มแห้ง จนเนื้อเริ่มเปื่อย ซึ่งก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร จะใช้ไฟแรงเพื่อให้สุกเร็วๆ ไม่ได้นะครับ ที่สำคัญต้องคอยคนเป็นระยะด้วยครับ 

  1. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันมะกอกลงไป
  2. นำเนื้อหมูที่หั่นเต๋าเตรียมไว้ โรยแป้งข้าวเจ้าสักเล็กน้อย แล้วเอาลงไปรวนในกระทะ รวนไปเรื่อยๆ เติมเกลือป่น 1 หยิบมือ โรยไปให้ทั่วกระทะ
  3. เติมผงปาปริก้า ตามความชอบเลยครับ ชอบมากใส่มาก ชอบน้อยใส่น้อย
  4. หลังจากรวนเนื้อหมูสุกจนได้ที่แล้ว เติมหอมหัวใหญ่กับกระเทียมสไลด์ลงไป
  5. ตามด้วยพริกหวาน 3 สี และต้นหอมญี่ปุ่น ผัดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน
  6. ใส่ใบกระวาน แล้วคนไปเรื่อยๆ
  7. หลังจากส่วนผสมทุกอย่างสุกหมดแล้ว ให้เติมน้ำมะเขือเทศเข้มข้น แล้วคนให้เข้ากันอีกครับ
  8. เติมน้ำซุปลงไป ปิดฝาหม้อปล่อยให้ตุ๋นเนื้อหมูให้เปื่อย
  9. เมื่อเริ่มเปื่อยแล้ว โรยโรสแมรี่ลงไปเล็กน้อย เพื่อความหอม
  10. ตุ๋นไปเรื่อยๆ เลยครับ จนกว่าเนื้อหมูของเราจะเปื่อย และน้ำซุปจะงวดลง เมื่อเปื่อยแล้วปิดไฟ ยกลงได้เลยครับ

เป็นยังไงกันบ้างครับ ดูสูตรและวิธีทำแล้ว ไม่ยากเลยใช่มั้ยครับ สีสันน่าตาน่าทานด้วย เพราะใส่พริกหวาน 3 สีลงไปตัด ได้กลิ่นหอมของโรสแมรี่หน่อยๆ เมนูนี้ไม่จำเป็นต้องทานกับข้าวนะครับ ทานเปล่าๆ หรือจะทานกับมันฝรั่งต้ม มันบด ก็เข้ากันครับ หรือถ้าจะทานกับอาหารที่เป็นแป้ง เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยวก็ทานได้เช่นกัน ทีนี้ เราก็สามารถทำอาหารเยอรมันทานเองได้อีก 1 เมนูแล้วนะครับ 

Categories
อาหารไทย

สูตรทำก๋วยเตี๋ยวเป็ด เมนูเส้นแสนอร่อย อาหารไทยยอดนิยม

ก๋วยเตี๋ยวเป็ด
ก๋วยเตี๋ยวเป็ด

วันนี้เราจะมาสอนทำ ก๋วยเตี๋ยวเป็ด สูตรเด็ดที่หลายๆร้านได้นำไปใช้กัน และสามารถนำมาทำเองได้ที่บ้าน ก๋วยเตี๋ยวเป็ด เป็นเมนูที่หลายๆท่านชอบทาน แต่บางครั้งเมนูนี้ก็มีราคาที่สูง แต่ถ้าเราทำทานเองที่บ้านเราก็จะรู้ว่ามันทำง่ายและวัตถุดิบก็ไม่แพงอย่างที่ท่านคิด อาจจะใช้เวลาสักหน่อยแต่ออกมาอร่อยแม่นอน 


เครื่องปรุงน้ำซุป


– น้ำ 1.5 ลิตร
– โป๊ยกั๊ก 2 ดอก
– อบเชย 1 ก้าน
– รากผักชี 1 ราก
– พริกไทย 10 เม็ด
– กระเทียม 3 กลีบกลางๆบุบพอแหลก
– ซีอิ๊วดำหวาน 2.5 ช้อนโต๊ะ
– ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
– น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
– น้ำตาลปี้ป 1.5 ช้อนโต๊ะ
– ซุปไก่ก้อนคนอร์ 1 ก้อน


          เริ่ม จากตั้งน้ำให้เดือดจัดๆแบบนี้ครับ แล้วก็เอาเครื่องปรุงที่เตรียมไว้ใส่ลงไปทั้งหมด ยกเว้นน้ำตาลครับ ชิมนิดนึงครับ ถ้าหวานไม่พอแล้วค่อยใส่น้ำตาลปี๊บลงไปครับ เพราะซีอิ๊วดำหวานเนี่ยมันจะหวานปะแล่ม ๆ อยู่แล้ว เดี๋ยวหวานไปจะแก้ยาก พอใส่เครื่องปรุงหมดแล้วก็เคี่ยวให้เดือดจัด 3 นาที แล้วหรี่เป็นไฟอ่อน ประมาณ 18 นาที เท่านี้เราก็ได้น้ำซุปแล้ว
-น้ำซุปเสร็จแล้วเราก็เตรียมเครื่อง ก๋วยเตี๋ยวกัน ก็มีเส้นก๋วยเตี๋ยว กับผักต่าง ๆ เช่น ถั่วงอก ผักคะน้า ผักบุ้ง ตามที่มี วันนี้แนนใช้เส้นหมี่ขาว
-เครื่องปรุงอื่นๆ ก็เป็นเครื่องปรุงก๋วยเตี๋ยวทั่วไป อาทิเช่น ตั้งฉ่าย ผักชี ผงชูรส กระเทียมเจียว พริกไทย น้ำตาลทราย น้ำปลา พริกป่น น้ำส้มพริกดอง พอเตรียมครบแล้วทีนี้ก็ได้เวลาหม่ำแล้ว เราก็อุ่นน้ำซุปให้เดือดรุมๆไว้เลยนะ อีกเตาก็ตั้งหม้อใส่น้ำพอประมาณ พอเดือดแล้วเราก็เอาผักไปแกว่งซัก 2-3 ที
-แล้วเอาผักที่ได้ใส่ชาม ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นสุกก็ใส่ชาม เป็ดที่เราเคี่ยวไว้เอามาทุบ ๆ ให้แบนหน่อย แล้วใส่ชามไปเลย ตามด้วยกระเทียมเจียว ตั้งฉ่าย ตั้งโอ๋ พริกไทย ถ้ากินชูรสก็เหยาะไปหน่อย แล้วก็เอาน้ำซุปใส่ลงไป เท่านี้ก็เสร็จแล้วครับ

ก๋วยเตี๋ยวเป็ด
ก๋วยเตี๋ยวเป็ด

สูตรที่2 เครื่องปรุง


– เป็ด 1/2 ตัว
– บะหมี่ 4-5 ก้อน
– ซีอิ๊วขาว 3 ช้อน
– น้ำปลา 2 ช้อน
– เกลือป่น 1/2 ช้อน
– น้ำมันหอย 1  ช้อน
– น้ำตาลทราย 2 ช้อน
– กระเทียมเจียว 2 ช้อน
– ลูกผักชีคั่ว 1 ช้อนชา
– ยี่หร่าคั่ว 1 ช้อนชา
– กระเทียม
– ผักกาดขาวหั่น
– คื่นช่ายหั่นฝอย
– พริกไทยป่น
– น้ำส้มพริกดอง


        เริ่มกันที่เอาเป็ดสดของเราที่หั่นแล้วไปทอดให้เหลืองก่อนเลยพอ เป็ดสุกแล้วเราก็มาต้มน้ำอีกหม้อให้เดือดเลย พอน้ำเดือดแล้วก็เอายี่หร่า ลูกผักชีคั่ว โครงเป็ดที่เหลือห่อผ้าขาวบางแล้วใส่ลงหม้อเลย รอจนน้ำเดือดกับเครื่องปรุงของเราซัก 5-10 นาที จากนั้นก็ใส่เป็ดที่เราทอดแล้วลงไปอย่างนี้เลย
          ช่วง นี้ทิ้งหม้อเป็ดด้วยไฟอ่อนไป ออฟทำประมาณ 2-3 ชั่วโมง กะให้เป็ดนิ่มเปื่อยเต็มที่เลย เราก็นำเป็ดหั่นผักกันต่อ วันนี้ใช้ผักกาดขาวกับคื่นช่าย หั่นผักแล้วก็มาทำกระเทียมเจียวกันต่อ อันนี้เสร็จแล้ว พอตุ๋นจนเปื่อยได้ทีแล้วก็พร้อมเสริฟแล้ว มาทานด้วยกันมั้ยครับ

สูตรที่3 เครื่องปรุง


– น่องเป็ด
– กระเทียม
– พริกไทย
– รากผักชี (แต่วันนี้ต่ายมีแต่เม็ดผักชี ก็ใช้แทนกันได้ หอมเหมือนกัน)
– โป๊ยกั๊ก
– อบเชย
– ผงพะโล้
– ผงโกโก้
– นํ้าตาลปึก
– เกลือ
– ซีอิ๊วขาว
– ซีอิ๊วดํา
– ข่า
– ไข่ไก่
– เซเลอรี่


          เริ่ม ตั้งหม้อ ใส่นํ้ามันพืช แล้วผัดรากผักชี กระเทียม พริกไทย ที่เราตําไว้ ผัดให้หอม แล้วใส่ผงพะโล้ 1 ช้อนชา ใส่โป๊ยกั๊ก อบเชย แล้วผัดต่อให้หอม แล้วเติมนํ้าเปล่าลงไป เติมนํ้าเปล่าแล้วปรุงรส ใส่ข่า นํ้าตาลปึก ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดํา เกลือ ต้มนํ้าให้เดือด แล้วใส่ผงโกโก้ 1 ช้อนชา
นํ้าเดือดดีแล้วใส่เซเลอรี่ และเป็ด ชิมรสตามต้องการ พอเป็ดสุกก็เป็นอันเสร็จ ผักที่เราใช้วันนี้ ก๋วยเตี๋ยวเป็ดต้องเส้นหมี่ครับถึงจะอร่อย