สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
ปลาทับทิมสามรส
ปลาทับทิมสามรส
Categories
ขนมเบเกอรี่

ขนมปังฮอกไกโด สอดไส้ครีมคัสตาร์ด ขนมปังเนื้อนุ่ม หอมกลิ่นนม สไตล์ญี่ปุ่น

ขนมปังฮอกไกโด
ขนมปังฮอกไกโด

ใครที่ชื่นชอบขนมญี่ปุ่น หรือเคยไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น อาจเคยได้ยินชื่อขนมปังสุดฮิตแห่งยุคอย่างขนมปังฮอกไกโด หรืออาจจะเคยลิ้มลองรสชาติขนมปังฮอกไกโดมาแล้วบ้าง ซึ่งเจ้าขนมปังนี้มีต้นกำเนิดมาจากเกาะฮอคไกโด ประเทศญี่ปุ่น บริเวณเกาะแห่งนี้มีฟาร์มปศุสัตว์เป็นจำนวนมาก และนมวัวก็เป็นหนึ่งในสินค้าที่รับได้รับความนิยมอย่างมาก ถือเป็นแหล่งรีดนมส่งขายไปทั่วญี่ปุ่น เพราะบริเวณอื่นของญี่ปุ่นไม่ได้มีฟาร์มปศุสัตว์หรือฟาร์มโคอย่างเป็นระบบตั้งแต่ผลิต แปรรูปจนถึงการจัดจำหน่ายแบบนี้ ซึ่งหนึ่งในสินค้าแปรรูปก็คือขนมปังฮอกไกโดนั่นเอง แต่จะให้เดินทางไปซื้อทานไกลถึงญี่ปุ่นคงไม่ใช่เรื่องที่น่าทำเท่าไร หรือจะไปหาร้านซื้อมาทานก็อาจจะไม่ได้ความสดใหม่ของขนมปัง ดังนั้นวันนี้เราก็มีสูตรทำขนมปังฮอกไกโดมาฝากทุกคน และที่พิเศษเราจะใส่ไส้ครีมคัสตาร์ดลงไปในตัวขนมปังด้วย แต่ก่อนที่เราจะไปดูส่วนผสมและขั้นตอนการทำเรามาดูกันก่อนดีกว่าว่าทำไมนมฮอกไกโดถึงได้มีความแตกต่างจากนมทั่วไป 

การเลี้ยงโคนมที่ฮอคไกโด เป็นการเลี้ยงเขตหนาวซึ่งปริมาณไขมันในนมจะเยอะ ทำให้นมมีความอร่อย หอม หวานมัน มากกว่าการเลี้ยงในเขตร้อนค่ะ นอกจากนี้นมที่มาจากฮอคไกโดผ่านกรรมวิธีน้อยกว่านมจากที่อื่น ทำให้รสชาติของนมยังคงแท้ทั้งความหอม มัน สด ไม่เสียคุณค่า และที่สำคัญหญ้าที่ให้โคนมกินก็นำเข้ามาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีโปรตีนสูงเป็นส่วนที่ทำให้นมจากฮอกไกโด ที่ได้รสชาติ หอม หวาน มัน อร่อย หลังจากเรารู้แล้วว่านมฮอคไกโดดียังไง ต่อมาเรามาเริ่มเรียนรู้ส่วนผสมและขั้นตอนการทำขนมปังฮอกไกโด สอดไส้ครีมคัสตาร์ดกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูขนมปังฮอกไกโด

เมื่อไม่นานมานี้ปังฮอกไกโดเนยสดเป็นเทรนด์ขนมปังสุดฮิตแห่งยุคที่หลายๆคนชื่นชอบ ซึ่งวันนี้เราก็มีสูตรขนมปังฮอกไกโด หรือที่เรียกกันว่า Hokkaido Milk Bread สอดไส้ครีมคัสตาร์ดหอมนุ่ม สไตล์ญี่ปุ่นมาฝากทุกคน ซึ่งสูตรที่เรานำมาแนะนำเป็นสูตรจากเพจ Chef Thomas The Cuisine โดยมีส่วนผสมทั้งหมด 3 ส่วนในแต่ละส่วนก็มีวัตถุดิบและส่วนผสมดังนี้

วัตถุดิบและส่วนผสมแป้งเชื้อ 

  1. แป้งขนมปัง 200 กรัม
  2. น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
  3. ยีสต์หวาน ½ ช้อนชา
  4. นมสดเย็น 150 กรัม
  5. เนยสดเย็น 1 ช้อนโต๊ะ
  6. ไข่ไก่ (เบอร์2) 1ฟอง

วัตถุดิบและส่วนผสมแป้งโดว์

  1. แป้งขนมปัง 500 กรัม
  2. แป้งบัวแดง 200 กรัม
  3. นมสดรสจืดเย็น 350 กรัม
  4. เนยสดเย็น 120 กรัม
  5. ยีสต์หวาน 2 ช้อนชา
  6. น้ำตาลทรายขาว 80 กรัม
  7. นมผงฮอกไกโด 30 กรัม
  8. กลิ่นนมสดวินเนอร์ลงในสูตร 1ช้อนชา
  9. ไข่ไก่ (เบอร์ 2 ) 1 ฟอง
  10. นมข้นหวาน 50 กรัม

วัตถุดิบและส่วนผสมไส้ครีมคัสตาร์ด

  1. ไข่ไก่ (ฟองละ 60-65 กรัม) 3 ฟอง
  2. น้ำตาลทราย 100 กรัม
  3. เกลือป่น 1/8 ช้อนชา
  4. นมผง 15 กรัม
  5. แป้งข้าวโพด 20 กรัม
  6. นมสดชนิดจืด 200 กรัม
  7. เนยสดชนิดจืด 50 กรัม
ขนมปังฮอกไกโด
ขนมปังฮอกไกโด

ขั้นตอนวิธีการทำขนมปังฮอกไกโด

สำหรับวิธีทำขนมปังสไตล์ญี่ปุ่นที่ถูกปรับใช้ในการทำขนมปังอย่างแพร่หลายที่ขาดไม่ได้เลยคือการนวดแป้งและการชั่งวัตถุดิบถือเป็นส่วนพิเศษที่อาจพูดได้ว่าเป็นความลับที่ทำให้เนื้อขนมปังนุ่มอร่อย โดยไม่จำเป็นต้องใช้ผงฟูเลยค่ะ ซึ่งในการทำขนมปังฮอกไกโด สอดไส้ครีมคัสตาร์ดเราก็ได้เลือกใช้วิธีทำ เตรียมแป้งเชื้อก่อนลงมือทำตัวขนมปัง และต่อด้วยการทำไส้ครีมคัสตาร์ด ส่วนจะมีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้างมาดูกันเลยค่ะ

วิธีเตรียมแป้งเชื้อ 

  1. ตวงส่วนผสมแป้งเชื้อทั้งหมดแล้วนำทุกอย่างใส่ในภาชนะรวมกัน จากนั้นนวดให้ส่วนผสมเข้ากันดี
  2. นำพลาสติกมาคลุมปิดภาชนะกันอากาศเข้า
  3. หมักพักทิ้งไว้ประมาณ 3-4 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิห้องปกติ
  4. เมื่อครบเวลาแล้ว ให้นำแป้งเชื้อไปพักในตู้เย็นต่ออีกอย่างน้อยประมาณ 3 ชั่วโมง เสร็จพร้อมใช้งาน

วิธีทำขนมปังฮอกไกโด

  1. นำส่วนผสมแป้งโดว์ทั้งหมดใส่ลงไปในภาชนะผสม ตามด้วยแป้งเชื้อที่เตรียมไว้ แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน นวดด้วยมือจนกว่าเนื้อแป้งโดว์จะนุ่มมือ หรือนวดด้วยเครื่องตีมือถือจนกว่าเนื้อแป้งโดว์จะเนียนนุ่ม ใช้เวลา 15-20 นาที
  2. จากนั้นนำแป้งโดว์ที่ได้มานวดมือต่อที่โต๊ะหรือที่เรียบโดยทาโต๊ะด้วยเนยขาว นวดให้แป้งตึงตัวและเนื้อเนียน คลึงแป้งเป็นก้อนกลมพัก 15 นาที
  3. จะได้แป้งโดว์น้ำหนักประมาณ 1500 กรัม แบ่งแป้งชั่ง แล้วปั้นก้อนละ 30 กรัมแล้วคลึงกลม
  4. ทาพิมพ์ด้วยเนยขาว นำก้อนแป้งไปพักไว้ในพิมพ์ให้แป้งขึ้นเป็น2เท่า ใช้เวลานานรวมๆเกือบ 2 ชั่วโมง
  5. นำเข้าอบไฟบนล่าง 170-180C นานประมาณ 12-18 นาที กลับถาดขนมปังตอนครึ่งทางของการอบ
  6. เมื่อขนมปังสุกให้เอาออกจากพิมพ์ทันที ทานมข้นจืดหรือนมสดเพื่อความเงางาม
  7. พักให้เย็น นำไปใส่ไส้ แล้วโรยน้ำตาลไอซิ่ง

วิธีทำไส้ครีมคัสตาร์ด

  1. ทำไส้ครีมคัสตาร์ดโดยตีไข่ไก่ผสมกับ น้ำตาลทราย เกลือป่น นมผง และแป้งข้าวโพด ให้เข้ากันในอ่างผสมจนไม่มีเม็ดแป้ง
  2. ตั้งหม้อต้มใส่นมระดับไฟปานกลาง เมื่อเริ่มร้อนให้เทนมครึ่งหนึ่งลงในอ่างผสมไข่ไก่ คนให้เข้ากัน แล้วเทกลับลงในหม้อ
  3. ยกขึ้นตั้งไฟระดับปานกลางอีกครั้ง แล้วคนส่วนผสม จนส่วนผสมข้นขึ้น จากนั้นปิดไฟใส่เนย คนจนเนยละลาย เทใส่อ่างผสม แล้วปิดด้วยพลาสติกแร็ป พักไว้ ต่อมาบีบใส่ไส้ขนมปังฮอกไกโด
Categories
อาหารนานาชาติ

ไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่ อาหารจานด่วนโรยเครื่องเทศ สไตล์เยอรมัน

ไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่
ไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่

หากพูดถึงอาหารริมทางยอดนิยมของเยอรมนีคงหนีไม่พ้น Currywurst หรือไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่ โดยต้นกำเนิดมาจาก “สเต็กคนจน” ที่เสิร์ฟด้วยไส้กรอก มะเขือเทศกระป๋อง และผงกะหรี่ ซึ่งในปัจจุบันไส้กรอกจะหั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ ปรุงรสด้วยซอสพริกแกง กับซอสมะเขือเทศที่ใส่เครื่องเทศหรือซอสมะเขือเทศราดด้วยผงกะหรี่ หรือซอสมะเขือเทศสำเร็จรูปปรุงรสด้วยแกงกะหรี่และเครื่องเทศอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่จานนี้มักเสิร์ฟพร้อมกับเฟรนช์ฟรายส์หรือขนมปัง 

ตำนานเล่าว่าผู้คิดค้นเมนู Currywurst คือแม่บ้าน ชาวซาวี่ ย่าน Charlottenburg ของเบอร์ลิน ในปี 1949 โดยเธอได้แลกเปลี่ยนสุรากับซอสมะเขือเทศ (บางแหล่งกล่าวว่าซอส Worcestershire ) และผงกะหรี่กับทหารอังกฤษที่ประจำการอยู่ที่นั่นหลังสงคราม คาดเดาว่าเธอได้ทดลองทำอาหารจากส่วนผสมเหล่านี้และเครื่องเทศอื่น ๆ เทลงบนไส้กรอกหมูย่าง จนกระทั่งได้เมนูนี้ ส่วนซอส Currywurst ส่วนใหญ่จะเป็นซอสมะเขือเทศและผงกะหรี่ จากนั้นเธอได้เริ่มเปิดร้านขายริมถนนในย่านCharlottenburg ของเบอร์ลิน ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่คนงานก่อสร้างที่ซ่อมแซมเมืองที่ถูกทำลายล้าง จนในที่สุดเธอของดีจนต้องจดสิทธิบัตรซอสของเธอภายใต้ชื่อ “Chillup” ในปี พ.ศ.2494 และมียอดขายที่สูงที่สุดถึง 10,000 เสิร์ฟต่อสัปดาห์ 

นอกจากจะเป็นอาหารที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมากแล้ว ยังเป็นอาหารที่อร่อย หอมกลิ่นเครื่องเทศอย่างแท้จริง จึงไม่แปลกที่ชาวเยอรมันหรือนักท่องเที่ยวต่างพากันชื่นชอบ เอาเป็นว่าใครที่จะเดินทางไปเที่ยวประเทศเยอรมันต้องไปชิมเจ้าเมนูนี้ไม่อย่างนั้นถือว่าคุณไปไม่ถึงที่นั้น แต่สำหรับใครที่ไม่สามารถเดินทางไปกินถึงเยอรมันได้ วันนี้เราก็มีวิธีการทำเจ้าเมนูไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่ สไตล์เยอรมันแท้ๆมาฝากทุกคน จะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ตามเรามาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่

สำหรับเมนูไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Currywurst เป็นไส้กรอกสไตล์เยอรมัน ที่ให้กลิ่นอายอินเดีย เพราะส่วนผสมหลักนอกจากใส้กรอกหมูแล้ว ก็ยังมีเครื่องเทศผงกะหรี่ที่ขาดไม่ได้ ทำให้เมนูนี้สุดยอดอาหารริมทางของเยอรมัน ผู้คนต่างพากันชื่นชอบในเวลาอันรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นฟาสต์ฟู้ดเยอรมันก็ไม่ผิดค่ะ และด้วยรสชาติที่จัดจ้านหอมเครื่องเทศ เชื่อว่าคงถูกปากคนไทยอย่างเราๆ ได้ไม่ยากแน่ๆค่ะ ซึ่งมีวัตถุดิบและส่วนผสมมีดังต่อไปนี้

วัตถุดิบและส่วนผสมไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่

  1. ไส้กรอกหมู 1-2 ชิ้น
  2. ผงกะหรี่ 1-2 ช้อนโต๊ะ
  3. ผงมาซาล่า หรือ ปาปริก้า 1 ช้อนโต๊ะ
  4. เกล็ดขนมปังคั่ว 1 กำมือ
  5. ไทม์ 1 ช่อ
  6. พริกแห้ง 2-3 เม็ด
  7. ผักสลัด  1 หยิบมือ
  8. น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
ไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่
ไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่

ขั้นตอนวิธีการทำไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่

สำหรับเมนูไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่ เป็นอาหารที่มีวิธีทำที่ง่ายและรวดเร็วมาก ๆค่ะ ซึ่งสูตรที่เรานำมีแนะนำใช้เวลาทำประมาณ 10 นาที เหมาะสำหรับคนที่เร่งรีบและคนที่อยากลิ้มลองอาหารสไตล์เยอรมันอย่างแท้จริง โดยมีขั้นตอนการทำดังนี้

  1. ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย แล้วนำไส้กรอกไปจี่ให้ได้สีสวยงาม จากนั้นนำขึ้นพักไว้ในจาน
  2. ใช้กระทะใบเดิม โดยใส่น้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย แล้วใส่เครื่องเทศอย่างผงกะหรี่และผงมาซาล่าลงไปผัด ให้ได้กลิ่นหอมเข้ากัน จากนั้นตามด้วยการใส่ไทม์ลงไป
  3. อาจต้องใส่น้ำเปล่าลงไปเล็กน้อย แล้วนำไส้กรอกมาคลุกเคล้าให้รสชาติเครื่องเทศซึมเข้าไป
  4. จัดเสิร์ฟในจานที่ปูไว้ด้วยเกล็ดขนมปังคั่วเพื่อเสริมรสสัมผัส พร้อมด้วยพริกแห้งและผักสลัด หรือจะเสิร์ฟพร้อมกับเฟรนช์ฟรายส์และขนมปังก็ได้ค่ะ เพียงเท่านี้คุณก็จะได้เมนูไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่ที่อร่อยแล้วค่ะ

เรียกได้ว่าเมนูเคอร์รี่วัวสท์กลายมาเป็นดาวเด่นของอาหารเยอรมันได้เลย เพราะมันมีรสชาติแปลกไปจากอาหารอื่นๆ ในประเทศนี้ หรืออาจเป็นเพราะใส่เครื่องเทศจากเอเชียใต้ลงไปเลยทำให้เกิดรสชาติที่แบบใหม่สำหรับชาวเยอรมัน ซึ่งปัจจุบัน Currywurst มักขายเป็นอาหารซื้อกลับบ้าน หรืออาหารของว่าง และมีการปรับเปลี่ยนส่วนผสมของซอสในหลายรูปแบบ เช่น การเติมพริกขี้หนูหรือหัวหอมสับ บางครั้งใส่ซอสมะเขือเทศสำเร็จรูปลงไปด้วย

Categories
อาหารไทย

ยำคอหมูย่าง สูตรเด็ด แซ่บจี๊ดถึงใจ

ยำคอหมูย่าง
ยำคอหมูย่าง

ถ้าพูดถึงเมนูอาหารที่ฮอตฮิตติดเทรนด์มาตั้งแต่ปีที่แล้ว หลายคงนึกถึงอาหารที่เป็นเมนูยำที่เรียกได้ว่าเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน ซึ่งในปัจจุบันเมนูยำมีความหลากหลายยิ่งขึ้นและได้ถูกดัดแปลงการใส่วัตถุดิบคุณอาจคิดว่าไม่เข้ากัน แต่พอทำออกมาแล้วกลับอร่อยและเข้ากันได้ดีอย่างเมนูยำคอหมูย่าง รสเด็ดที่เรานำมาเสนอในวันนี้จะให้รสชาติที่หลากหลายในแบบฉบับยำทั่วไปที่มีทั้ง รสเปรี้ยว เค็ม หวาน และเผ็ด โดยรสเปรี้ยว เค็ม หวาน ผสมผสานกันแล้วทำให้เกิดความลงตัว และรสเผ็ดแซ่บจี๊ดถึงใจ พร้อมด้วยความอร่อยนุ่มของเนื้อคอหมูที่นำไปหมักก่อนนำไปย่าง ขอบอกเลยว่าเมนูนี้ทำง่ายไม่ต้องไปเข้าคิวรอที่ร้าน ก็สามารถทำกินได้ที่บ้าน อย่ารอช้ามาลงมือกันเลยค่ะ!!!

ส่วนผสมหลักของเมนูยำคอหมูย่าง

อาหารเมนูยำมีหลากหลายประเภท โดยยำแต่ละประเภทจะมีส่วนผสมหลักๆเลยคือผัก เนื้อสัตว์ และสมุนไพร ดังนั้นยำจึงเป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งด้านความครบเครื่องเรื่องรสชาติ และครบเครื่องเรื่องสารอาหาร จึงทำให้ยำได้รับความนิยมในการรับประทานอย่างมาก ซึ่งเมนูยำคอหมูย่างที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ทำง่ายและไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย แถมยังมีวัตถุดิบที่หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป จะมีวัตถุดิบส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้างตามมาดูกันเลยค่ะ

วัตถุดิบและส่วนผสมยำคอหมูย่าง

  1. เนื้อสันคอหมู 300 กรัม (ติดมันมากน้อยตามความชอบ) 
  2. ซีอิ๊วขาว ½ ช้อนโต๊ะ
  3. พริกป่น 3 ช้อนโต๊ะ
  4. ข้าวคั่ว 2 ช้อน
  5. น้ำปลา 
  6. หอมแดงซอย 3 หัว
  7. ต้นหอมผักชีซอย 1-2 ช้อนโต๊ะ
  8. ผักชีฝรั่งซอย 2-3 ใบ
  9. ใบสะระแหน่ 1 ถ้วยเล็ก
  10. น้ำมะนาว 2-3 ช้อนโต๊ะ
  11. น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
  12. น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ
ยำคอหมูย่าง
ยำคอหมูย่าง

ขั้นตอนวิธีการทำยำคอหมูย่าง

สำหรับวิธีทําเมนูยำคอหมูย่างก็ง่ายแสนง่ายมากๆเลยค่ะ ทุกคนสามารถทำทานกันเองที่บ้านได้ วัตถุดิบที่ต้องใช้จากข้างต้นก็หาซื้อง่าย ซึ่งการทำอาหารสามารถดัดแปลงวัตถุดิบได้ตามความชอบของคุณเลย หรือจะปรุงให้รสชาติออกมาในแบบที่คุณชอบทานก็ได้ค่ะ 

วิธีทำยำคอหมูย่างรสเด็ด

  1. ล้างทำความสะอาดผัก และเนื้อสันคอหมูให้เรียบร้อย จากนั้นเริ่มต้นด้วยการหั่นสันคอหมูทำให้เป็นแผ่นหนาประมาณ ½  นิ้ว แล้วนำมาหมักด้วยน้ำปลาและน้ำผึ้ง นวดให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดี ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนนำไปย่างไฟอ่อนๆ หรือเข้าเตาอบ ให้พอสุก อย่าให้ถึงกับแห้ง จากนั้นนำมาสไลด์เป็นแผ่นบางๆ
  2. ทำส่วนผสมของน้ำยำ ใส่น้ำปลา น้ำตาลเคี่ยว (ใช้ทรายหรือน้ำตาลปี๊บก็ได้) น้ำมะนาว และพริกป่น ใส่เผ็ดได้ตามความชอบเลยค่ะ และคนให้ส่วนผสมเข้ากัน แล้วชิมรสชาติกันเลยรสชาติน้ำยำจะออกเผ็ด แซ่บ เปรี้ยว หวานตาม จากนั้นใส่หอมแดงซอยลงไป ตามด้วยคอหมูย่างที่เตรียมไว้ คลุกให้เข้ากัน ถ้าแห้งเกินไปให้ใส่น้ำต้มสุกลงไป 1-2 ช้อน
  3. ใส่ข้าวคั่ว ต้นหอมผักชีซอย ผักชีฝรั่งซอย และใบสะระแหน่ แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากันอีกครั้ง จัดลงจาน แต่งด้วยใบสะระแหน่ เสิร์ฟคู่กับผักแกล้มอย่างแตงกวายิ่งเพิ่มความอร่อยและมีประโยชน์เข้าไปอีกค่ะ

เคล็ดลับการทำเมนูยำคอหมูย่างให้อร่อยคูณสอง

ความอร่อยของเมนูยำคอหมูย่างนี้ นอกจากสูตรทำน้ำยำรสเด็ดแล้ว ยังมีการเลือกส่วนเนื้อหมูที่นำมาใช้ทำอีกด้วย ซึ่งเนื้อหมูที่เราแนะนำควรเป็นส่วนสันคอหมูจะดีที่สุด เพราะมันจะติดมันมาด้วยและมีความนุ่มในตัว อาจจะต้องใช้เวลาหมักและนวดพอประมาณ เพื่อจะให้น้ำหมักเข้าเนื้อได้ดี ถ้าจะให้ดีควรหมักทิ้งไว้สักคืน หรือหากใจร้อนก็ใช้เวลาหมักสักครึ่งชั่วโมงก็นำมาย่างเลยก็ได้ค่ะ

เมนูนี้เหมาะสำหรับเป็นอาหารยามว่างมากกว่าที่จะเป็นกับข้าว แต่ไม่แนะนำให้ทานตอนเช้าหรือว่าตอนตื่นนอน เพราะว่าเมนูยำทั้งหลายนั้นมันมีพริกเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นจึงมีรสชาติที่เผ็ดจัดจ้าน จึงไม่เหมาะแก่มื้อเช้า เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพของคุณแน่นอนค่ะ และอาจจะทำให้ท้องเสียได้อีกด้วยนะคะ

Categories
ขนมหวานไทย

ขนมไข่ปลาฟักทอง ขนมไทยโบราณหาทานยาก อร่อยนุ่มหนึบ

ขนมไข่ปลาฟักทอง
ขนมไข่ปลาฟักทอง

หากใครเคยไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดแถบสุพรรณบุรี อ่างทอง อาจจะเคยเห็นขนมไข่ปลา ซึ่งเป็นขนมไทยสไตล์พื้นบ้านในแถบจังหวัดที่มีการปลูกต้นตาล และหลายคนอาจจะเคยซื้อชิมมาแล้วบ้าง เจ้าขนมชนิดนี้ถือจะมีชื่อที่แปลกเหมือนอาหารคาว แต่ความจริงแล้วมันคือขนมหวานที่อร่อยมาก ๆค่ะ โดยขนมไข่ปลามีจุดเด่นที่รูปทรงที่มีเอกลักษณ์เป็นวงกลมและมีเส้นไขว้พาดกันคล้ายรูปล้อเกวียน แถมยังมีกลิ่นหอมเนื้อตาลประกอบกับความเหนียวนุ่ม หวาน มัน เค็ม กำลังดี ด้วยเหตุนี้ขนมไข่ปลาจึงอร่อยถูกใจผู้ที่ได้ลิ้มลอง บอกเลยว่าอร่อยไม่แพ้ขนมไทยเมนูอื่น ๆเลยค่ะ อีกทั้งขนมนี้ยังเหมาะสำหรับทำเลี้ยงรับรองแขก ใช้เป็นขนมถวายพระในงานบุญ หรือทำเป็นอาชีพก็ได้ ด้วยความที่มีลักษณะเป็นสีเหลือง คล้ายกับสีทองคำ มีรูปร่างที่คล้ายวงกลมหรือวงจักร จึงทำให้ได้อีกชื่อหนึ่งว่า ขนมกงเกวียน มีความหมายถึงการหมุนไปข้างหน้า หรือการก้าวไปข้างหน้า เช่นเดียวกับพระธรรมจักรจึงจัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งขนมไทยมงคลที่น่าสนใจไม่น้อยเลยค่ะ

ซึ่งวันนี้เราก็มีวิธีทำขนมไข่ปลามากฝากทุกคน แต่ช่วงนี้เนื้อตาลหาซื้อยากมากเลยค่ะ เราจึงขอประยุกต์ใช้ฟักทองแทน เพราะหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป ขนมไข่ปลาฟักทองมีขั้นตอนในการทำขนมที่ง่ายไม่ยุ่งยากเลยค่ะ จะมีส่วนผสมและขั้นตอนอร่อยไรบ้างตามเรามาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูขนมไข่ปลาฟักทอง

ขนมกง หรือ ขนมไข่ปลา เป็นขนมพื้นเมืองชนิดหนึ่งของทางพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย แถบจังหวัดสมุทรสาครที่ทำมาจากแป้งข้าวเหนียวหรือแป้งสาลี และเนื้อลูกตาลมาใช้เป็นส่วนผสม เพราะมันมีเนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม หวานกำลังดี แต่ในปัจจุบัน หาทานค่อนข้างยากมากเลยค่ะ ดังนั้นวันนี้เราจะดัดแปลงทำเป็นขนมไข่ปลาฟักทอง โดยสูตรนี้จะเป็นการนำฟักทองมาประยุกต์ใช้แทนเนื้อลูกตาล ซึ่งมีส่วนผสมดังต่อไปนี้

วัตถุดิบและส่วนผสมขนมไข่ปลาฟักทอง

  1. ฟักทองสุกบด 330 กรัม
  2. แป้งข้าวเหนียว 250 กรัม
  3. แป้งข้าวเจ้า 50 กรัม
  4. แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ 
  5. น้ำกะทิ 1 ถ้วยตวง
  6. เกลือป่น ½  ช้อนชา
  7. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ (สำหรับผสมแป้ง)
  8. น้ำตาลทราย 500 กรัม
  9. น้ำเปล่า 800 มิลลิลิตร
  10. ใบเตย 6 ใบ
  11. งาขาวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
  12. มะพร้าวทึนทึกขูด 60 กรัม
ขนมไข่ปลาฟักทอง
ขนมไข่ปลาฟักทอง

ขั้นตอนวิธีการทำขนมไข่ปลาฟักทอง

เมนูขนมไทยโบราณอย่างขนมไข่ปลา แต่วันนี้เรามีสูตรการทำขนมไข่ปลาฟักทองมาชวนทุกคนทำตามกัน ซึ่งหลายคนอาจเคยลิ้มลองรสชาติกันมาบ้างแล้ว สมัยนี้หาซื้อทานยากมาเลยค่ะ เพราะส่วนใหญ่สูตรและวิธีทำขนมไทยนั้นค่อยข้างมีความละเอียดและซับซ้อน หลายคนจึงเลือกหาซื้อกินดีกว่า แต่เรามีขั้นตอนการทำขนมไข่ปลาฟักทองที่ทำง่ายไม่ยุ่งยาก สามารถทำทานเองได้ที่บ้าน โดยมีขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้ 

วิธีทำขนมไข่ปลาฟักทอง

  1. เริ่มแรกปอกเปลือกฟักทอง แล้วหั่นเป็นชิ้นและล้างให้สะอาดใส่จาน จากนั้นนำไปนึ่งให้สุก 
  2. เมื่อฟักทองสุกดีแล้ว ให้นำลงภาชนะแล้วบดให้เละ และพักไว้ให้เย็น
  3. หลังจากฟักทองเริ่มเย็นตัวแล้ว ให้ผสมฟักทองกับแป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้า แป้งมัน เกลือ น้ำตาลทราย หลักจากนั้นคลุกให้เข้ากัน
  4. หลังจากนั้นนำน้ำใส่หม้อต้ม ตามด้วยน้ำตาลทราย และใบเตย ตั้งด้วยไฟปานกลางจนหอมใบเตยจึงตักออก (หรือจะยังไม่ตักออกก็ได้ค่ะ)
  5. ระหว่างรอน้ำเชื่อมเดือด ให้ปั้นแป้งที่ผสมในข้อ 3 ให้เป็นรูปไข่ปลาสลิดเตรียมไว้ (หรือจะปั้นไปต้มไปก็ได้ค่ะ)
  6. เมื่อปั้นแป้งเสร็จแล้ว ให้นำแป้งที่ปั้นลงต้มในน้ำเชื่อมที่เดือด แล้วรอจนตัวไข่ปลาลอย จึงตักขึ้นใส่ถาดสแตนเลส พักไว้ให้เย็น
  7. จัดใส่จานเสิร์ฟ พร้อมโรยมะพร้าวทึนทึกขูด และงาขาวคั่ว (มะพร้าวทึนทึกควรคลุกกับเกลือเล็กน้อยก่อนนำไปโรยหน้าขนม)

จบไปแล้วสำหรับวิธีทำขนมไข่ปลาจากฟักทอง ขนมไทยโบราณที่เป็นที่รู้จักของคนรุ่นหลัง เป็นอีกหนึ่งขนมหวานที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันอนุรักษ์ พัฒนารูปแบบ เพิ่มช่องทางการขาย และประชาสัมพันธ์ช่วยให้ขนมไข่ปลากลับมาเป็นที่นิยมได้อีกครั้งค่ะ แถมยังมีรสชาติที่อร่อย เหนียวนุ่ม หวาน มัน เค็ม กำลังดี ถูกปากคนไทยแน่นอนค่ะ

Categories
อาหารสุขภาพ

น้ำพริกปลาทูคั่วแห้ง สูตรโบราณ ครบถ้วนด้วยคุณค่าทางอาหาร

น้ำพริกปลาทูคั่วแห้ง
น้ำพริกปลาทูคั่วแห้ง

ใครที่ชื่นชอบน้ำพริกปลาทูไม่ควรพลาดบทความนี้ เพราะวันนี้เรามีอีกหนึ่งสูตรเมนูน้ำพริกมาฝาก ซึ่งสูตรที่เรานำมานี้เป็นน้ำพริกปลาทูคั่วแห้ง สูตรโบราณที่มีประโยชน์ครบถ้วนเต็มไปด้วยคุณค่าทางอาหาร แถมทานแล้วไม่อ้วน เหมาะสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักด้วยค่ะ อีกทั้งยังเป็นอาหารที่หาทานได้ง่าย แต่บางร้านรสชาติอาจไม่ถูกปากคุณนัก ดังนั้นวันนี้เรามาเริ่มทำเมนูน้ำพริกปลาทูคั่วแห้งไปพร้อม ๆกันเลยค่ะ

หลายคนคงทราบกันดีว่าเจ้าเมนูน้ำพริกนี้มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยมีการปรุงด้วยการนำสมุนไพร พริก กระเทียม หัวหอม เครื่องเทศกลิ่นแรง มาโขก บด รวมกัน อีกทั้งยังสามารถเพิ่มเนื้อสัตว์ใส่ลงไปด้วยก็ได้ค่ะ เมนูนี้ใช้สำหรับเป็นน้ำจิ้ม ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมรับประทานคู่กับผักลวด ผักสด ในปัจจุบันเมนูน้ำพริกได้รับความนิยมอย่างมากมีการนำน้ำพริกชนิดต่าง ๆ มาดัดแปลงเป็นอาหารหลากหลายประเภท รวมถึงนำมาผัดกับข้าว เช่น ข้าวผัดน้ำพริกนรก ข้าวผัดน้ำพริกปลาทู เป็นต้น

ส่วนผสมหลักของเมนูน้ำพริกปลาทูคั่วแห้ง

เมนูน้ำพริกปลาทูคั่วแห้งมีส่วนผสมในการทำไม่เยอะมากนัก แต่อาจจะมีขั้นตอนการทำที่เยอะ แต่เชื่อเถอะค่ะว่ามันคุ้มค่าในการทำมาก ๆเลยค่ะ สมัยนี้มีร้านขายเมนูนี้จำนวนมาก โดยแต่ละร้านจะมีสูตรที่แตกต่างกันบ้าง แต่วันนี้เราได้นำน้ำพริกปลาทูคั่วแห้ง สูตรโบราณมาแนะนำบอกเลยว่าอร่อยถูกปากใครหลายๆคนแน่นอนค่ะ แถมยังเป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารแคลอรี่น้อย ประมาณ 77 กิโลแคลอรี่ และมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายเลยค่ะ

น้ำพริกปลาทู ส่วนใหญ่จะใส่ปลาทูนึ่งเข้าไปตำร่วมด้วย แต่วันนี้เราจะใช้ปลาทูห่อใบตองแล้วนำไปปิ้งเพื่อให้ได้กลิ่นหอม แล้วปรุงรสให้ออกเผ็ด เปรี้ยว เค็ม รับประทานคู่กับผักสด ผักต้ม นานาชนิด ซึ่งมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังนี้

วัตถุดิบและส่วนผสมน้ำพริกปลาทูคั่วแห้ง

  1. ปลาทูย่าง 4 ตัว
  2. พริกจินดาสีแดงสด 20-25 เม็ด
  3. พริกหยวก 5 เม็ด
  4. หัวหอม 5 หัว
  5. กระเทียมกลีบใหญ่ 10 กลีบ
  6. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
  7. น้ำตาลทราย  ½  ช้อนโต๊ะ
  8. ใบตองสำหรับห่อปลาทู
  9. ไม้จิ้มฟัน (เอาไว้กลัดใบตอง)
  10. น้ำมันพืช
  11. ต้นหอม 1 ต้น
  12. ผักแกล้มตามความชอบ
น้ำพริกปลาทูคั่วแห้ง
น้ำพริกปลาทูคั่วแห้ง

ขั้นตอนวิธีการทำน้ำพริกปลาทูคั่วแห้ง

สำหรับเมนูน้ำพริกปลาทูคั่วแห้ง อยู่คู่สำรับของคนไทยมาช้านาน เมนูนี้มีวิธีทำที่ค่อนข้างเยอะ โดยจะใช้การปรุงน้ำพริกให้อร่อยด้วยการใช้ครก เพราะครกเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการปรุงอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ไทย และเชื่อว่าการตำอาหารด้วยครกจะทำให้อาหารอร่อย เพราะการตำจะทำให้รสชาติและสารต่างๆ ในพืชผักที่ถูกตำออกมา ทำให้ได้รสชาติดีกว่าการใช้เครื่องปั่น ซึ่งน้ำพริกปลาทูคั่วแห้งมีขั้นตอนการทำดังนี้

  1. เริ่มต้นด้วยการล้างผักผักแกล้มที่ซื้อมาทั้งหมดผ่านน้ำสะอาด หลังจากล้างผักเรียบร้อยให้ตั้งกระทะโดยใส่น้ำมันพืชลงไปเล็กน้อยเพื่อไม่ให้กระทะไหม้ แล้วทำการใส่พริกหอมแดงและกระเทียมลงไปคั่วให้สุกหรือให้มีกลิ่นไหม้เล็กน้อย จากนั้นให้นำไปพักไว้ แล้วนำพริกหยวกลงไปคั่วต่อให้สุกเหมือนกัน
  2. จากนั้นนำปลาทูที่ซื้อมาห่อด้วยใบตองแล้วนำไม้จิ้มฟันมาขัดหัวท้ายไว้ แล้วนำไปย่างหรือนำลงจี่ไฟในกระทะ ให้ใบตองไหม้เล็กน้อย โดยจะมีกลิ่นหอมของใบตอง
  3. นำพริกจินดาสีแดงสด กระเทียม และหัวหอมแดงที่คั่วเสร็จเรียบร้อยแล้ว มาแกะเปลือกเอาส่วนที่ไหม้ออก แล้วแกะพริกหยวกที่คั่วไว้ โดยเอาส่วนเปลือกที่ไหม้ออกเช่นกัน และเอาไส้ของพริกหยวกและเม็ดด้านในออกด้วย หลังจากนั้น แล้วนำไปตำให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันจนเป็นเนื้อละเอียด
  4. เมื่อตำทุกอย่างเข้ากันจนละเอียดดีแล้ว ให้ทำการแกะเนื้อปลาทูที่เราย่างหรือจี่ไว้ โดยแกะเอาเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อปลา จากนั้นนำลงไปตำเข้ากับส่วนผสมที่เตรียมไว้ (ในข้อ4) ให้เข้ากันจนละเอียด
  5. ต่อมาทำการปรุงรสชาติน้ำพริกด้วย น้ำตาลทราย น้ำปลา และมะนาว ให้ได้รสชาติตามความชอบ
  6. เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ตักน้ำพริกปลาทูคั่วแห้งใส่ถ้วย แล้วโรยหหน้าด้วยต้นหอมซอย เพื่อสร้างความหอมและสร้างสีสันให้ดูหน้ารับประทาน

เมนูน้ำพริกปลาทูคั่วแห้งเหมาะสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนัก เพราะทานแล้วไม่อ้วน และเหมาะสำหรับทุกคน เพราะปลาทูที่เป็นส่วนผสมหลักนี้มีประโยชน์มากมาย ทั้งช่วยบำรุงสมอง ช่วยให้หลับสนิท และผ่อนคลาย เป็นอาหารช่วยสร้างสมดุลการนอน เพราะมีทริปโตแฟน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการนอน โดยเมื่อร่างกายต้องการใช้งานจะเปลี่ยนทริปโตเฟนสารเป็นสื่อประสาทที่ชื่อว่า เซโรโทนิน ซึ่งมีส่วนเสริมสร้างฮอร์โมน ช่วยให้หลับลึก รวมถึงเปลี่ยนเป็นสารเมลาโทนินที่ส่งผลให้ง่วงนอน นอนหลับง่าย และทำให้ตื่นนอนด้วยความรู้สึกสดชื่น

Categories
ขนมหวานไทย

ขนมกรวยโบราณ แป้งนุ่ม อร่อยหวานมัน หอมกลิ่นกะทิ

ขนมกรวยโบราณ
ขนมกรวยโบราณ

สาวกขนมหวานไม่ควรพลาดกับเมนูขนมกรวยโบราณ เป็นขนมไทยที่มีชื่อตามลักษณะของขนมที่ได้นำเอาขนมใส่ลงในกรวยใบตองแล้วนึ่งให้สุก หรืออาจจะเรียกตามส่วนผสมที่ใส่ในกรวยก็ได้ เช่น ขนมฟักทอง ขนมเผือก ขนมกล้วยและอีกอย่างคือขนมถ้วยหน้ากะทิ ถึงแม้ว่าขนมถ้วยจะนำไปนึ่งใส่ในถ้วย แต่เมื่อใดที่ขนมถูกนำไปนึ่งใส่กรวยก็จะเรียกว่าขนมกรวยได้เช่นกัน 

ขนมกรวย เป็นขนมไทยโบราณที่ชาวไทยพุทธและมุสลิมนิยมทํารับประทานกันมากในสมัยก่อน ส่วนในปัจจุบันขนมชนิดนี้เริ่มหารับประทานได้ยาก คนรุ่นใหม่อาจจะไม่ค่อยรู้จักกันสักเท่าไรนัก แต่มันมีวิธีการทำที่ง่ายมาก ๆเลยค่ะ รสชาติความหวานจากตัวขนม ตัดกับรสเค็มจากหน้าขนม แถมอร่อย หวาน มัน หอมกลิ่นกะทิ ถูกปากใครหลายๆคนแน่นอนค่ะ ขนมกรวยจึงเป็นอีกหนึ่งขนมไทยโบราณที่ควรส่งเสริมมุ่งเน้นให้อนุรักษ์ไว้ ส่วนจะมีขั้นตอนวิธีทำอย่างไรบ้าง ตามเรามาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูขนมกรวยโบราณ

ขนมกรวยโบราณ เป็นอีกหนึ่งเมนูขนมไทยมีส่วนผสมและขั้นตอนวิธีทำที่ไม่ได้ยุ่งยากนัก โดยขนมชนิดนี้มีส่วนประกอบที่เป็นส่วนผสมหลัก 3 ชนิด คือ แป้ง น้ำตาล และมะพร้าว ซึ่งเป็นส่วนผสมที่หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป แถมยังใช้ต้นทุนต่ำ ลักษณะของขนมชนิดนี้จะมี 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นตังขนมที่ทําจากแป้งข้าวจ้าว แป้งมัน แป้งข้าวโพด และน้ำตาลทราย และส่วนที่เป็นหน้าขนม จะประกอบด้วย กะทิ แป้งและเกลือ โดยการหยอดแป้งขนมลงในกรวยใบตองและนําไปนึ่งให้สุก ซึ่งสูตรขนมกรวยที่เรานำมาแนะนำนี้มีวัตถุดิบและส่วนผสมทั้งหมดดังนี้

วัตถุดิบและส่วนผสมสำหรับทำตัวขนม 

  1. แป้งข้าวเจ้า 110 กรัม
  2. แป้งถั่วเขียว 1 ช้อนโต๊ะ 
  3. น้ำตาลปี๊บ 150 กรัม 
  4. เกลือ ½ ช้อนชา 
  5. กะทิ 500 มิลลิลิตร
  6. ใบเตย 2 – 3 ใบ 

วัตถุดิบและส่วนผสมสำหรับสำหรับทำหน้าขนม

  1. แป้งข้าวเจ้า 3 ช้อนโต๊ะ
  2. กะทิ 240 มิลลิลิตร
  3. เกลือ 1 ช้อนชา 
ขนมกรวยโบราณ
ขนมกรวยโบราณ

ขั้นตอนวิธีการทำขนมกรวยโบราณ

สำหรับวิธีทำเมนูขนมกรวยโบราณให้อร่อยชวนน่ารับประทานก็ง่ายมาก ๆเลยค่ะ สูตรที่เรานำมานี้สามารถทำรับประทานได้ 6-8 คนเลยค่ะ แต่ก่อนจะลงมือทำขนมกรวยเราต้องเตรียมกรวยใบตองสำหรับใส่ขนมก่อน ซึ่งมีวิธีทำกรวยใบเตย และขั้นตอนการทำขนมกรวยโบราณดังนี้

วิธีการเตรียมทำกรวยใบตอง

  1. เริ่มแรกตัดใบตองประมาณ 2-4 ก้าน แล้วเช็ดทำความสะอาด จากนั้นทำการฉีกใบตองขนาดกว้างประมาณ 8.5 เซนติเมตร
  2. ต่อมาตัดแบบด้วยกระดาษเป็นครึ่งวงกลมโดยมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 16.5 เซ็นติเมตร แล้ววางทาบลงบนใบตอง
  3. ตัดใบตองให้เป็นครึ่งกลมตามแบบระดาษครึ่งวงกลมที่เตรียมไว้ แล้วม้วนใบตองที่ตัดแล้วให้เป็นรูปกรวยโดยมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เซนติเมตร
  4. เมื่อม้วนเป็นรูปกรวยแล้วเกล็ดด้วยไม้กลัดที่ปากกรวย

ขั้นตอนการทำขนมกรวยโบราณ

  1. ผสมแป้งข้าวเจ้า และแป้งถั่ว ใส่ในภาชนาผสม โดยเติมน้ำลงทีละน้อย แล้วลงมือนวดอย่างน้อย 10 นาที จากนั้นเติม น้ำตาลปี๊บ และน้ำเล็กน้อย นวดต่อไปจนเข้ากันดี แล้วพักไว้ 10 นาที
  2. ทำส่วนหน้าขนมโดยการผสมแป้ง กะทิ และเกลือ แล้วคนให้เข้ากัน
  3. ตั้งลังถึงต้มน้ำให้เดือด อย่าใส่นํ้ามาก เพราะหากน้ำเริ่มเดือด น้ำจะท่วมขนมได้
  4. เสียบกรวยใบตองที่ทำไว้ลงในรูของลังนึ่ง โดยให้เหลือรูว่าง เพื่อให้ไอน้ำพลุ่งขึ้นข้างบนได้ด้วย หยอดแป้งที่ผสมแล้วลงในกรวยประมาณ ¾ ของกรวย แล้วยกขึ้นนึ่งประมาณ 5 นาที จากนั้นหยอดส่วนหน้ากะทิข้างบนปากกรวยให้เต็มกรวยพอดี แล้วนึ่งต่ออีกประมาณ 4 นาที จึงยกลงจากหม้อนึ่ง พักไว้จนขนมเย็นสนิทจึงจัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟ

เทคนิคเคล็ดลับที่ทำให้ขนมกรวยโบราณอร่อยมากยิ่งขึ้น

  1. ส่วนผสมของแป้งเมื่อผสมแล้วต้องเหลวไม่ข้นมาก
  2. เวลาผสมแป้งค่อยๆ ตะล่อมแป้งให้เข้ากันโดยใช้พายไม้หรือช้อนไม้ช่วย
  3. ตอนนึ่งขนมให้ใส่น้ำ ½  ของลังถึง ถ้าใส่น้ำมาก นอกจากจะเดือดท่วมขนมแล้ว จะทำให้ขนมแฉะ ไม่น่ารับประทานอีกด้วยค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะทุกคนสำหรับสูตรการทำขนมกรวยโบราณที่เรานำมาฝาก ขอบอกเลยว่าสูตรนี้เมื่อคุณแกะขนมออกจากห่อใบตองแล้วเนื้อแป้งของขนมจะไม่ติดใบตองแน่นอนค่ะ แถมเนื้อขนมก็สีขาวนวล หอมกลิ่นกะทิ และกลิ่นแป้งอ่อนๆ ยิ่งได้ลิ้มลองรสชาติของขนมที่หวาน มัน เค็มเล็กน้อยก็อร่อย เหมาะสำหรับเสิร์ฟเป็นขนมหวานในหลายๆโอกาส

Categories
อาหารนานาชาติ

โมโม่ เกี๊ยวสอดไส้ สไตล์เนปาล

โมโม่ เกี๊ยวสอดไส้ สไตล์เนปาล
โมโม่ เกี๊ยวสอดไส้ สไตล์เนปาล

ถ้าให้พูดถึงแหล่งอาหารที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานคงหนีอาหารจากประเทศอินเดีย ซึ่งอาหารอินเดียส่วนใหญ่จะฉ่ำไปด้วยเครื่องเทศ และให้ปัจจุบันการกินอาหารอินเดียไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลายประเทศต่างก็มีร้านอาหารอินเดียโผล่มาให้หยุบหยับมากมาย โดยเฉพาะในประเทศไทยมีตั้งแต่ร้านอาหารอินเดียริมทาง ไปจนถึงร้านอาหารอินเดียระดับสุดพรีเมียม ซึ่งวันนี้เราก็มีเมนูอาหารอินเดียมาแนะนำอย่างโมโม่ เป็นอาหารขึ้นชื่ออย่างแพร่หลายในทุกหย่อมหญ้า ลามไปยันเนปาล มีลักษณะเป็นเกี๊ยวสอดไส้ผัก หรือเนื้อสัตว์สับ 

ครั้งแรกที่เห็นหน้าตาของเมนูนี้ หลายคนคงคิดว่านี่เป็นอาหารจีนหรือญี่ปุ่น ด้วยหน้าตาที่ดูละม้ายคล้ายกับเสี่ยวหลงเปาหรือติ่มซำบางชนิด แต่จริงๆแล้วเมนูนี้ได้รับอิทธิพลมาจากอาหารของชมพูทวีปกับเครื่องเทศอินเดียและสมุนไพร ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากและสามารถพบได้ในร้านค้าทุกประเภทตั้งแต่ร้านอาหารไปจนถึงร้านขายของริมถนน 

ส่วนผสมหลักของเมนูโมโม่

เนื่องจากเมนูโมโม่ หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Momos เป็นอาหารสไตล์เนปาล ด้วยความที่เนปาลเป็นประเทศที่อยู่ระหว่างอินเดียกับจีน จึงไม่แปลกนักที่จะได้รับถ่ายทอดวัฒนธรรมทางอาหารมาบ้าง ซึ่ง Momos จะมีลักษณะหน้าตาคล้ายกับเกี๊ยวหรือเสี่ยวหลงเปาของจีน ที่ห่อด้วยแผ่นแป้งบางๆใส่ไส้ที่ทำจากเนื้อหรือผักตามความชอบ แล้วจับจีบออกมาได้หลายรูปแบบตั้งแต่แบบซาลาเปาไปจนถึงแบบเกี๊ยวซ่า จึงไม่แปลกที่หลายคนจะเรียกเจ้าเมนูนี้ว่าเกี๊ยวเนปาล โดยมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังนี้

วัตถุดิบและส่วนผสมโมโม่ 

  1. หมูสับ ½  กิโลกรัม
  2. หัวหอมแดงซอย 1 ถ้วย
  3. ต้นหอมซอย 1 ถ้วย
  4. หัวหอมซอย 1 ถ้วย
  5. ผงมาซาล่า 1 ช้อนชา
  6. เกลือ 1 ช้อนชา
  7. ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา
  8. พริกไทยดำบด 2 ช้อนชา
  9. พริกแห้งปั่น 3-4 ช้อนโต๊ะ
  10. งาขาวคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
  11. ขิงซอย 2 ช้อนชา
  12. เนยหรือน้ำมันพืช 1 ถ้วย
  13. น้ำเปล่าใช้สำหรับนวดแป้ง
  14. แป้งเอนกประสงค์ 300 กรัม
  15. ผักชีซอย 1 ถ้วย
  16. มะเขือเทศสับ 1 ถ้วย 
โมโม่ เกี๊ยวสอดไส้ สไตล์เนปาล
โมโม่ เกี๊ยวสอดไส้ สไตล์เนปาล

ขั้นตอนวิธีการทำเมนูโมโม่

โดยทั่วไปแล้วเมนูโมโม่จะมี 2 ประเภทคือแบบนึ่งและแบบทอด โดยปกติ Momos จะเสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้ม (ในท้องถิ่นเรียกว่าchutney/achhar ) ซึ่งจะใช้มะเขือเทศเป็นส่วนประกอบหลัก เมนูนี้จะมีหลายวิธีทำ สามารถทานคู่กับเครื่องจิ้มรสออกเปรี้ยว หวานเผ็ด ใส่ในน้ำซุป หรือราดซอสเผ็ด (C-Momo) ก็ได้ ซึ่งวันนี้เราเลือกใช้วิธีแบบนึ่ง โดยมีขั้นตอนวิธีการทำดังต่อไปนี้

  1. เริ่มแรกต้องทำการนวดแป้งก่อน โดยใส่แป้งอเนกประสงค์ เติมน้ำมัน 3-4 ช้อนโต๊ะ ค่อยๆเติมน้ำทีละนิด แล้วเริ่มนวดให้แป้งแน่น อย่าทำให้แป้งนิ่มเพราะจะทำให้เป็นทรงเกี๊ยวได้ยาก จากนั้นคลุมแป้งด้วยผ้าขาวชื้น พักแป้งไว้ประมาณ 30 นาที
  2. ทำไส้โมโม่ โดยตั้งกระทะก้นหนาใส่น้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ ตั้งไฟปานกลาง แล้วนำเนื้อหมูสับ จนเนื้อหมูเริ่มสุก แล้วใส่หัวหอมแดงซอย ต้นหอมซอย หัวหอมซอยตามลงไปผัดรวมกัน จากนั้นปรุงรสด้วยผงมาซาล่า เกลือ พริกไทยดำบด และซีอิ๊วขาว ผัดต่อประมาณ 2-3 นาที แล้วพักให้เย็นสนิท
  3. นำแป้งที่พักไว้มาห่อเหมือนติ่มซำแบบจีบ โดยแบ่งแป้งเป็นก้อนเท่าๆกัน แล้วนำก้อนแป้งแต่ละลูกวางบนกระดานที่โรยแป้งเล็กน้อย ม้วนแป้งโดว์แต่ละลูกเป็นวงกลมบาง ๆ ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-4 นิ้ว (ขอบต้องบางและตรงกลางต้องหนา) ทาน้ำด้วยปลายนิ้วของคุณหรือด้วยแปรงทาขนมขนาดเล็กตามเส้นรอบวง ต่อมาใส่ไส้ที่ผัดแล้วลงบนตรงกลางแป้งประมาณ 2-3 ช้อนชา จากนั้นยกขอบด้านหนึ่งขึ้นแล้วเริ่มจับจีบ
  4. ตั้งหม้อเตรียมนึ่ง เรียงโมโม่ที่ทำไว้ลงในหม้อ ปิดฝานึ่งประมาณ 10 นาที หรือจนกว่าแป้งชั้นนอกจะโปร่งใส อย่าทำให้สุกเกินไปเพราะแป้งชั้นนอกจะหนาแน่นและเหนียว เวลาในการนึ่งอาจแตกต่างกันไปตามความหนาของแป้งที่ห่อ
  5. ในส่วนของซอส เริ่มจากตั้งกระทะใส่น้ำมัน 4-5 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยการใส่มะเขือเทศสับ พริกแห้ง และขิงซอย ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทยดำ ผงมาซาล่า จากนั้นนำมาผัดรวมกับงาขาวคั่ว แล้วค่อยๆเติมน้ำเปล่าจนได้เป็นซุป
  6. ราดซุปลงบนโมโม่ ตกแต่งด้วยผักชี เพียงแค่นี้ก็พร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ

สิ่งที่ทำให้โมโม่อร่อยขึ้นอยู่ที่วิธีการเตรียมและส่วนผสมที่ใช้ ตัวอย่างเช่นหากแป้งสดและมีคุณภาพดีแน่นอนว่าคุณจะได้โมโม่ที่ดีและอร่อย บางคนใช้น้ำอุ่นในการนวดแป้ง การใส่ไส้ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์หรือผักควรสับให้ละเอียดเข้ากันและปรุงรสด้วยขิงหรือกระเทียม และควรรับประทานตอนมันร้อน รับรองว่าอร่อยแน่นอนค่ะ

Categories
ขนมเบเกอรี่

ขนมชิกิริปัง ขนมปังตัวการ์ตูนแสนน่ารัก เนื้อนุ่มหอมกลิ่นนม

ขนมชิกิริปัง
ขนมชิกิริปัง

เทรนด์ทำขนมแบบใหม่มาแล้วค่ะ ครั้งนี้เป็นเจ้าขนมปังตัวการ์ตูนแบบ3Dน่ารักมุ้งมิ้งที่มีชื่อเรียกว่าขนมชิกิริปัง ที่หลายคนอาจจะเคยเห็นผ่านทาง Instagram กันมาบ้างแล้ว เจ้าขนมปังนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมากจากชาวญี่ปุ่น โดยจะเห็นได้จากโลกอินสตารแกรมที่คนญี่ปุ่นได้มีการโพสต์การทำขนมปังรูปตัวการ์ตูนกันจำนวนมาก พร้อมทั้งใส่ tag #キャラちぎりパン #3Dちぎりパン

ขนมปัง chigiri-pan (ちぎりパン) หรือที่บ้านเราเรียกกันว่า “ขนมปังแพ” เป็นขนมปังที่ฉีกรับประทาน โดยปกติแล้วขนมปังชนิดนี้จะไม่มีไส้หรือรสชาติพิเศษอะไร แต่จะเน้นความสร้างสรรค์ที่ใส่ลงในขนมปัง ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในฐานะขนมปังโฮมเมดที่ดูเรียบง่าย แต่มีความเป็นมืออาชีพมาก ส่วนใหญ่แล้วผู้คนมักจะทำเป็นรูปตัวการ์ตูน เพื่อให้ตัวขนมปังดูน่ารัก และน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น วันนี้เราก็มีวิธีการทำเจ้าขนมปังชิกิริปังที่สุดแสนจะน่ารักนี้ให้ออกมาอร่อย เนื้อนุ่มหอมกลิ่นนมมาฝากทุกคน จะเป็นอย่างไรกันบ้างตามเรามาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูขนมชิกิริปัง

Chigiri-Pan หรือขนมชิกิริปัง คือขนมปังที่ฉีกรับประทาน เป็นหนึ่งในขนมแบบใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่คนทำขนมปังออนไลน์ ด้วยความที่เป็นขนมปังเนื้อนุ่มและฟู แถมยังสามารถสร้างสรรค์ใส่ไอเดียการออกแบบลงไปที่ตัวขนมปังได้ตั้งแต่ทรงสี่เหลี่ยมดั้งเดิมไปจนถึงตัวการ์ตูน 3 มิติหรือธีมงานรื่นเริงตามครีเอทีฟและจินตนาการของคุณอีกด้วยค่ะ เรียกได้ว่าเป็นขนมปังแฟนซีเลยก็ได้ค่ะ ซึ่งสูตรที่เรานำมาแนะนำวันนี้เป็นสูตรการทำขนมชิกิริปังรูปกระต่ายน่ารักๆ สไตล์ญี่ปุ่น โดยมีวัตถุดิบส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

วัตถุดิบและส่วนผสมเมนูขนมชิกิริปัง

  1. แป้งขนมปัง 500 กรัม (แนะนำยี่ห้อ หงส์ขาว)
  2. แป้งสปันจ์เค้ก สำเร็จรูป อิมพีเรียล 40 กรัม 
  3. น้ำตาลทราย 86 กรัม
  4. นมผง 9 กรัม
  5. ยีสต์แห้งสำเร็จรูปทำขนมปัง 11 กรัม
  6. ไข่ไก่ 86 กรัม หรือประมาณ 2 ฟอง
  7. นมสดอุ่นในไมโครเวฟ 30 วินาที 54 กรัม 
  8. วิปปิ้งครีมแท้ยี่ห้อ Anchor 59 กรัม 
  9. เนยเค็ม 49 กรัม (ช่วยทำให้ขนมปังไม่มีกลิ่นหืน)
  10. สารเสริมคุณภาพขนมปัง KS505 ตราอิมพีเรียล 5 กรัม (ช่วยย่นระยะเวลาแป้งโดว์ให้ฟูเร็วและทำให้เนื้อนิ่มได้นาน)

ขั้นตอนวิธีการทำขนมชิกิริปัง

สำหรับขนมชิกิริปังโดยพื้นฐานแล้วมีวิธีทำ 3 ขั้นตอนซึ่งแต่ละขั้นตอนถือว่าเป็นกุญแจสำคัญในการทำขนมปัง Chigiri-Pan และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือการเรียงชิ้นแป้งให้แยกจากกันในรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า เพื่อช่วยให้แป้งไม่ติดกันเมื่ออยู่ในเตาอบ ขนมชิกิริปังมีขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

ขั้นตอนที่ 1 วิธีทำ Tangzhong (แป้งเปียก) ส่วนผสมในขั้นตอนนี้จะช่วยทำให้ขนมปังนุ่มขึ้น

  1. นำแป้งขนมปังผสมกับน้ำ นำไปตั้งไฟระดับกลาง แล้วคนให้เข้ากัน โดยสังเกตว่าคนไปแล้วเกิดเป็นรอยเส้นที่เกิดจากอุปกรณ์ที่ใช้คนชัดเจนนั่นแปลว่าใช้ได้แล้ว
  2.  ตักใส่ชามแล้วปิดด้วยพลาสติกแรปพักไว้ให้เย็น
ขนมชิกิริปัง
ขนมชิกิริปัง

ขั้นตอนที่ 2 วิธีทำ Hokkaido Milk Toast

  1. นำส่วนผสมที่เป็นของเหลวทั้งหมดมาผสมกัน โดยใส่นมสดอุ่น ไข่ไก่ วิปปิ้งครีม และแป้งเปียก มาผสมให้เข้ากันในชามผสม ตามด้วยส่วนผสมที่เป็นของแห้งอย่างน้ำตาล แป้งขนมปัง แป้งสปันจ์เค้ก ยีสท์แห้ง นมผง และสารเสริมขนมปัง
  2. นวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน (ใช้เครื่องผสมอาหารก็ได้ค่ะ) เมื่อเข้ากันดีแล้วค่อยๆ เทเนยเค็มลงไป จากนั้นนวดต่อ แล้วลองจับดูจนแป้งไม่ติดมือใช้เวลาประมาณ 40 นาที
  3. จากนั้นมาเริ่มปั้นตกแต่งให้เป็นรูปกระต่ายตามที่ต้องการ โดย
  4. จากนั้นแบ่งแป้งที่นวดแล้วมาผสมสีที่ต้องการ แล้วนวดต่อจนได้สีสวย เอาพลาสติกปิดไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แป้งโดว์จะเริ่มฟูขึ้นเป็นสองเท่า

ขั้นตอนที่ 3 วิธีการขึ้นรูปขนมปัง

  1. ต่อมาเริ่มปั้นตกแต่งให้เป็นรูปกระต่ายตามที่ต้องการ โดยแบ่งแป้งโดว์เป็นขนาด 120 กรัมปริมาณ 4 ลูก ที่เหลือพักเอาไว้ทำหู แขน รวมทั้งขากระต่าย นำแป้งโดว์ขนาด 120 กรัม ปริมาณ 1 ลูกมาผสมสีเหลืองให้เหมาะ และก็ทำแป้งสีชมพูเหมือนกัน (เปิดเตาอบวอร์มไว้ที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส)
  2. แบ่งแป้งโดว์สีเหลืองแล้วก็สีชมพูซึ่งเป็นตัวกระต่าย ลูกละ 30 กรัม ได้ทั้งหมด 4 ลูก ปั้นเป็นก้อนกลมๆวางไว้สับหว่างกัน แบ่งระยะเว้นวรรคเท่ากัน หุ้มด้วยพลาสติกใสเพื่อกันลมเข้า หลังจากนั้นนำแป้งโดว์สีขาว (ท่อนหัวกระต่าย) มาตัดแบ่งลูกละ 30 กรัม ได้ทั้งหมดทั้งปวง 4 ลูก ปั้นแล้ววางให้ได้ระยะพอดิบพอดี จากนั้นพักแป้งด้วยการคลุมพลาสติกเอาไว้ประมาณ 20 นาที หลังจากนั้นมาทำส่วนหู แขน รวมทั้งขากระต่ายต่อจนครบค่ะ
  3. แบ่งแป้งขนาด 3 กรัม ปริมาณ 36 ก้อน เอามาปั้นเป็นก้อนกลม นำไปวางจัดให้มีความสวยงามในถาด แล้วก็แบ่งแป้ง  5 กรัม ปริมาณ 16 ก้อน เอามาปั้นเป็นแท่งยาวๆทำเป็นหูกระต่าย
  4. ก่อนนำไปอบให้ปิดด้วยกระดาษฟอยล์ เพราะเดี๋ยวหน้ากระต่ายจะไหม้ค่ะ (แนะนำให้ปิด 2 ชั้นเลยค่ะ) อบที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส เวลา 30 นาที ส่วนหูกระต่ายให้แยกอบที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 นาทีค่ะ 
  5. เมื่อทุกอย่างสุกหมดแล้วให้นำเส้นสปาเกตตีคั่วแห้งมาทิ่มประกอบชิ้นส่วนต่างๆเข้ากับตัวกระต่ายเลยค่ะ เพียงแค่นี้เราก็จะไปขนมปังแสนน่ารักนี้แล้วค่ะ
Categories
อาหารสุขภาพ

โภชนาการที่จำเป็นของนักว่ายน้ำ อาหารนักว่ายน้ำก่อนและหลังแข่ง

โภชนาการที่จำเป็นของนักว่ายน้ำ อาหารนักว่ายน้ำก่อนและหลังแข่ง
โภชนาการที่จำเป็นของนักว่ายน้ำ อาหารนักว่ายน้ำก่อนและหลังแข่ง

การว่ายน้ำให้เร็วนั้นต้องออกแรงมากทั้งทางร่างกายและจิตใจซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้นักว่ายน้ำในการแข่งขันสนใจสิ่งที่เข้าสู่ร่างกาย จึงไม่น่าแปลกใจที่การให้สารอาหารที่เหมาะสมแก่ร่างกายของคุณในการดำเนินการฟื้นฟูและ อาหารนักว่ายน้ำ การตั้งค่าอาหารใหม่นั้นมาพร้อมกับรางวัลมากมาย

อาหารนักว่ายน้ำ สิ่งที่ร่างกายต้องการ คาร์โบไฮเดรต สำหรับนักว่ายน้ำ

มีตัวเลือกอาหารเพื่อสุขภาพมากมายสำหรับนักว่ายน้ำ แต่เวลาเป็นสิ่งสำคัญในการรับผลประโยชน์ ในขณะที่อาหารนักว่ายน้ำ นักว่ายน้ำต้องการอาหารที่มีโปรตีนครบถ้วน แต่ก็ยากที่จะย่อยอาหารเหล่านี้ในระหว่างการออกกำลังกาย ดังนั้นแม้ว่าอาหารที่มีโปรตีนสูงจะเป็นทรัพย์สินที่มีค่า แต่การรับประทานโปรตีนจำนวนมากระหว่างออกกำลังกายอาจเป็นหายนะได้ สถาบันโภชนาการและการกำหนดอาหารเตือนว่าการบริโภคอาหารที่ย่อยยากหรือแม้แต่อาหารที่มากเกินไปจะส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการว่ายน้ำในวันแข่งขันหรือระหว่างการฝึกซ้อม เพื่อช่วยคุณในการถอดรหัสว่าเมื่อใดควรรวมอาหารเหล่านี้ลงในอาหารของคุณได้ดีที่สุดให้ใช้คำแนะนำต่อไปนี้ ท้ายที่สุดแล้ววิธีการควบคุมอาหารแบบใดที่ดีที่สุดสำหรับคุณจะต้องมีการทดสอบส่วนบุคคลและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

เตรียมตัวก่อนแข่งว่ายน้ำ / แข่งขัน: พยายามกินขนมหรืออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนสูงพร้อมโปรตีนที่ย่อยง่าย ตัวอย่าง: ขนมปังเนยถั่วชิ้นหนึ่ง

ระหว่างว่ายน้ำ / แข่งขัน: นักว่ายน้ำควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายซึ่งมีคาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก ตัวอย่าง: แอปเปิ้ลกล้วยลูกเกดพาวเวอร์บาร์และเพรทเซิล

หลังว่ายน้ำควรกินอะไร / แข่งขัน: โปรตีนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการฟื้นฟูกล้ามเนื้ออย่างเหมาะสมและควรรวมกับคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนไขมันที่ดีต่อสุขภาพและวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ตัวอย่าง: สปาเก็ตตี้มีทบอลกับสลัดเครื่องเคียง

โภชนาการที่จำเป็นของนักว่ายน้ำ อาหารนักว่ายน้ำก่อนและหลังแข่ง
โภชนาการที่จำเป็นของนักว่ายน้ำ อาหารนักว่ายน้ำก่อนและหลังแข่ง

10 อาหารนักว่ายน้ำ ที่จะรวมเข้ากับอาหารของคุณ

  • ถั่วและเมล็ดพืช: อาหารเหล่านี้เต็มไปด้วยไขมันที่ดีต่อสุขภาพไฟเบอร์โปรตีนแมกนีเซียมและวิตามินอีลองใช้พวกมันกับซีเรียลชั้นบนโยเกิร์ตหรือหยิบเพียงหยิบมือ หากคุณไม่แพ้พีแคนและวอลนัทก็มีวิตามินและกรดหลายชนิดที่ช่วยให้อารมณ์สมดุลและระดับพลังงานสูง
  • ถั่ว: เต็มไปด้วยเส้นใยโปรตีนเหล็กสังกะสีและแมกนีเซียมถั่วเป็นอาหารที่มีประโยชน์มากมายสำหรับมื้ออาหารที่หลากหลาย ย่างให้เป็นของว่างกรุบกรอบผสมลงในเบอร์ริโตหรือสลัดหรือโยนลงในจานพาสต้า
  • ผลเบอร์รี่: แครนเบอร์รี่บลูเบอร์รี่ราสเบอร์รี่แบล็กเบอร์รี่และสตรอเบอร์รี่เป็นอาหารที่เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ลองผสมในสมูทตี้ของคุณเพื่อให้ได้รสชาติที่เข้มข้นขึ้นหรือทานแบบธรรมดาก็ได้เพื่อความอร่อยที่เท่าเทียมกัน
  • ดาร์กช็อกโกแลตที่ไม่ได้ทำให้หวาน: ดาร์กช็อกโกแลตเมื่อบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะจะมีพลังต้านอนุมูลอิสระที่ยอดเยี่ยมโดยไม่ต้องเติมน้ำตาล
  • โยเกิร์ตไขมันต่ำไม่เพียง แต่เป็นแหล่งแคลเซียมวิตามินดีโพแทสเซียมและโปรตีนที่ดี แต่ยังให้พลังงานที่ยาวนานและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ หากคุณต้องการโปรตีนมากขึ้นให้มองเข้าไปในพันธุ์กรีก
  • นมหรือนมถั่วเหลือง: ผลิตภัณฑ์นมเป็นแหล่งแคลเซียมโพแทสเซียมโปรตีนและวิตามินดีตามธรรมชาติหากคุณแพ้หรือชอบนมถั่วเหลืองให้ซื้อรุ่นเสริมแคลเซียมและวิตามินดีทั้งสองตัวเลือกเป็นเครื่องดื่มฟื้นฟูหลังการออกกำลังกายที่ดี
  • ผักใบเขียวเข้ม: ผักเช่นคะน้าผักโขมและกระหล่ำปลีมีธาตุเหล็กและแคลเซียมสูง เพื่อเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กจากผักให้มากที่สุดให้จับคู่กับอาหารที่มีวิตามินซีสูงหรือเสิร์ฟพร้อมเนื้อสัตว์
  • ผักและผลไม้สีส้ม: อาหารเหล่านี้เต็มไปด้วยวิตามิน C, E, A และโพแทสเซียม ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะขอบคุณ!
  • รัสเซ็ตและมันฝรั่งหวาน: มันฝรั่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ดีต่อสุขภาพของอาหารที่สมดุล มันฝรั่งรัสเซ็ตอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระในขณะที่มันเทศมีเบต้าแคโรทีนสูงซึ่งช่วยส่งเสริมความอดทน อย่าไปคลุกเนยกับครีมเปรี้ยว
  • แอปเปิ้ล: แอปเปิ้ลวันละผลอาจทำให้หมอไม่อยู่ได้ การบริโภคแอปเปิ้ลเป็นประจำเชื่อมโยงกับการต่อสู้กับอนุมูลอิสระที่เพิ่มขึ้น โมเลกุลที่ไม่เสถียรเหล่านี้พยายามสร้างพันธะกับโมเลกุลอื่นเพื่อเพิ่มความเสถียร เมื่ออนุมูลอิสระจับตัวกับเนื้อเยื่อของร่างกายจะทำให้กระบวนการชราเร็วขึ้นและอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อสุขภาพในระยะยาวได้ อนุมูลอิสระยังเชื่อมโยงกับมะเร็งและโรคแพ้ภูมิตัวเอง สารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันอนุมูลอิสระจากการสร้างพันธะ
โภชนาการที่จำเป็นของนักว่ายน้ำ อาหารนักว่ายน้ำก่อนและหลังแข่ง
โภชนาการที่จำเป็นของนักว่ายน้ำ อาหารนักว่ายน้ำก่อนและหลังแข่ง

อาหารนักว่ายน้ำ ในการแข่งขันต้องการแคลอรี่เท่าใด โปรแกรม อาหารสำหรับ นักกีฬา ?

อาหารนักว่ายน้ำ ปริมาณพลังงานที่คุณต้องการขึ้นอยู่กับการฝึกขนาดน้ำหนักและมวลกล้ามเนื้อของคุณ อย่างไรก็ตามตามเกณฑ์มาตรฐานนักว่ายน้ำ 60 กก. จะเผาผลาญแคลอรี่ระหว่าง 800-1000 แคลอรี่ในการฝึกซ้อมเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เพิ่มสิ่งนี้ให้กับความต้องการแคลอรี่เฉลี่ยต่อวันของคุณ – ประมาณ 1800 แคลอรี่สำหรับผู้หญิงและ 2,000 สำหรับผู้ชาย – และคุณสามารถคำนวณได้คร่าวๆว่าคุณต้องกินเท่าไรต่อวัน

แต่อย่าลืมว่าไม่มีความต้องการหรือแผนการฝึกซ้อมของนักว่ายน้ำ 2 คนที่เหมือนกันดังนั้นควรหาวิธีรับประทานอาหารและวิธีการควบคุมอาหารที่เหมาะกับคุณ การประเมินระดับพลังงานและความหิวเป็นวิธีที่ดีในการออกกำลังกายหากคุณได้รับแคลอรี่เพียงพอตลอดทั้งวัน

อาหารนักว่ายน้ำ นักว่ายน้ำในการแข่งขันต้องกินอะไร?

เบอร์เกอร์ก่อนการแข่งขันอาจเป็นตัวเลือกของนักว่ายน้ำชั้นยอดก่อนการประชุม แต่ก็ไม่น่าจะเหมาะกับพวกเราที่เหลือ อาหารที่อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (โฮลเกรนผักสีเขียวถั่วและมันเทศเป็นต้น) และโปรตีนลีน (ไก่และปลา) จะให้พลังงานที่คุณต้องการเพื่อให้ได้ผลดีที่สุดในสระว่ายน้ำ

ตั้งเป้าให้ทานคาร์โบไฮเดรตเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของมื้ออาหารของคุณและตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีโปรตีน (เพื่อช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อหลังว่ายน้ำ) ทุกครั้งพร้อมกับผักและไขมันที่ดีเช่นอะโวคาโดเม็ดมะม่วงหิมพานต์เมล็ดฟักทองหรือเนื้อมะพร้าว

Categories
อาหารไทย

ผัดพริกแกงหมูใส่ถั่ว ทำง่าย อร่อย ใคร ๆ ก็ทำได้

ผัดพริกแกงหมูใส่ถั่ว
ผัดพริกแกงหมูใส่ถั่ว

หากคุณคิดถึงเมนูยอดฮิตที่กินแล้วอิ่มไว เข้ากับข้าวร้อน ๆ อยากให้คุณคิดถึง ผัดพริกแกงหมูใส่ถั่ว ผัดพริกแกงหอมกรุ่นน่าทานที่จะทำให้คุณนั้นมีความสุขที่ได้กิน เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาตามหาสูตรเด็ดของเมนูนี้กัน เพื่อให้คุณได้ลองทำสูตรนี้กัน

ผัดพริกแกงหมูใส่ถั่ว อร่อยเด็ด ปรุงรสง่าย

ผัดพริกแกงหมูใส่ถั่ว สูตรปรุงง่าย อร่อยเด็ดที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยคุณสามารถปรุงรสได้ตามชอบใจด้วย อย่างไรก็ตาม คุณจะต้องรู้ส่วนผสมขั้นพื้นฐานด้วย จะได้เพิ่มหรือลดส่วนผสมได้ตามที่ต้องการ สำหรับใครที่อยากลองทำดู แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร วันนี้เรามีส่วนผสมและวิธีการทำมาฝากกันด้วย  

ส่วนผสม และ วิธีทำของ ผัดพริกแกงหมูใส่ถั่ว มีวิธีการทำอย่างไรบ้าง

สำหรับส่วนผสมของ ผัดพริกแกง นี้จะเป็นส่วนผสมสำหรับผู้ทาน 2-3 คน แต่ถ้าทานคนเดียว อาจจะต้องลดส่วนผสมลงบ้าง ส่วนผสมของ ผัดพริกแกงหมูใส่ถั่ว มี -ถั่วฝักยาว20 ฝัก -หมูหั่น300 กรัม -น้ำมัน2 ช้อนโต๊ะ -พริกแกงเผ็ด1-2 ช้อนโต๊ะ -น้ำตาลทราย3-4 ช้อนชา -ผงปรุงรส1/2 ช้อนชา -น้ำปลา1 ช้อนโต๊ะ และ น้ำสะอาด1/2 ถ้วย สำหรับการทำเมนูนี้จะใช้เวลาในการทำไม่นาน เริ่มแรก คุณจะต้องใส่น้ำมันในกระทะ ใส่พริกแกงเผ็ด หมูหั่นลงไป และ ผัดหมูให้สุกด้วย หลังจากนั้นให้ใส่ถั่วฝักยาว และ น้ำสะอาด ปรุงรสด้วย น้ำตาลทราย ผงปรุงรส และ น้ำปลา อย่าลืมตักใส่จาน จะมีไข่ดาว หรือ ผักอื่น ๆ เป็นผักเคียงก็ได้ รับรองเลยว่า เมนูจานนี้ของคุณจะอร่อยมากกว่าที่คิดแน่นอน 

ผัดพริกแกงหมูใส่ถั่ว ของอร่อยเด็ดที่คุณไม่ควรพลาด

สำหรับใครที่ชื่นชอบเมนูอาหารไทยที่ทำได้ง่าย กินแล้วอิ่มท้อง รสหวานเค็มกำลังพอดี เราอยากให้คุณได้ลองทานเมนู ผัดพริกแกงหมูใส่ถั่ว ผัดพริกแกง ที่คุณสามารถประยุกต์สูตรให้เหมาะสมกับจำนวนคนทาน และ ความชอบส่วนตัวได้  ถ้าคุณทานแล้วรู้สึกอร่อย และ ลองให้คนอื่นทานแล้วหลายคนชื่นชอบ คุณอาจจะทำขายก็ได้

 นี่คือ สูตร ผัดพริกแกงหมูใส่ถั่ว ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตนเอง ปรับเปลี่ยนสูตรให้เหมาะสมตามต้องการ อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณชอบเมนูนี้ คุณจะต้องทำบ่อย ๆ เพื่อให้คุณเกิดความชำนาญ มั่นใจในการทำมากยิ่งขึ้น ยิ่งใครที่ต้องการทำขาย การฝึกทำบ่อย ๆ จะช่วยให้คุณเข้าถึงสูตรได้อย่างเต็มที่