สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
ปลาทับทิมสามรส
ปลาทับทิมสามรส
Categories
อาหารไทย

คั่วกลิ้งซี่โครงหมู เมนูอาหารใต้ เผ็ดร้อนแซ่บถึงใจ

คั่วกลิ้งซี่โครงหมู
คั่วกลิ้งซี่โครงหมู

หากถามถึงอาหารใต้ที่ขึ้นชื่อเรื่องรสเผ็ด แซ่บถึงเครื่องพริกแกง หลายๆ คนคงจะนึกถึง คั่วกลิ้ง ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านของคนใต้ ที่นำเนื้อสัตว์ที่เราชื่นชอบไม่ว่าจะเป็น หมู ไก่ เนื้อวัว มาคั่วกับพริกแกงจนแห้ง ให้เข้าเนื้อ มีรสจัดและเข้มข้น นิยมรับประทานคู่กับผัก และในวันนี้เราก็มีเมนูคั่วกลิ้งมาแนะนำนั่นก็คือ “คั่วกลิ้งซี่โครงหมู” เสริมทัพด้วยการกินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ บอกเลยว่าฟินสุดๆ พิเศษสุดๆ กับเมนูจานนี้ด้วยการทำพริกแกงแบบสดๆ ด้วยมือเราเอง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราไปติดตามขั้นตอนการทำกันเลย

ส่วนผสมหลักของเมนูคั่วกลิ้งซี่โครงหมู

เมนูคั่วกลิ้งซี่โครงหมู เป็นอาหารภาคใต้ ส่วนผสมหลักก็คือพริกแกง และเนื้อสัตว์หรือ ซึ่งวัตถุดิบเหล่านี้หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป แต่ที่พิเศษสุดๆ ของเมนูนี้คือเรามีขั้นตอนการทำพริกแกงสดๆมาให้ทุกคนได้ทำตาม ซึ่งเป็นวิธีการทำพริกแกงเองที่ทำได้ง่ายมากๆ ไม่ยุ่งยากแถมยังอร่อย เข้มข้นและเผ็ดแซ่บแน่นอน โดยส่วนผสมหลักมีดังนี้

  1. ซี่โครงหมู 1 กิโลกรัม
  2. พริกชี้ฟ้าแดงแห้งตามความชอบ ใส่มากเผ็ดมากใส่น้อยเผ็ดน้อย
  3. ใบมะกรูดซอย 10 ใบ
  4. กระเทียม 1 หัว
  5. พริกไทยสด 30 กรัม หรือจะใส่ตามใจชอบก็ได้
  6. ขมิ้นหั่นแว่น 30 กรัม
  7. พริกไทยเม็ด 2 ช้อนโต๊ะ
  8. ข่าหั่นแว่น 30 กรัม
  9. ตะไคร้ซอย 3 หัว
  10. เกลือสมุทร 1 ช้อนโต๊ะ
  11. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  12. น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
  13. กะปิ 1/2 ช้อนโต๊ะ
  14. ผิวมะกรูด1/2 ช้อนโต๊ะ
  15. น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
คั่วกลิ้งซี่โครงหมู
คั่วกลิ้งซี่โครงหมู

ขั้นตอนวิธีการทำ

ขั้นตอนแรกคือการทำพริกแกง สูตรโบราณได้ง่ายๆ คือ ใส่พริกชี้ฟ้าแดงแห้งลงไปในครก ตามด้วยกระเทียม ขมิ้นหั่นแว่น พริกไทยเม็ด ข่าหั่นแว่น ตะไคร้ซอย เกลือสมุทร กะปิ และผิวมะกรูด แล้วโขลกให้ละเอียด หรือปั่นให้เป็นเนื้อเดียวกัน

  1. นำกระทะขึ้นตั้งไฟระดับปานกลาง แล้วเทน้ำมันลงไป รอจนน้ำเริ่มร้อน แล้วใส่ซี่โครงหมูลงไปผัดจนแห้ง
  2. ใส่พริกแกงที่ทำไว้ลงไปในกระทะ แล้วปรุงรสด้วยน้ำปลา และน้ำตาลทราย ผัดให้เข้ากัน
  3. ใส่ใบมะกรูดซอย และพริกไทยเม็ดลงไป ผัดให้เข้ากัน และยกออกจากเตา
  4. ตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะทำคน สำหรับเมนูอาหารใต้รสเด็ดเผ็ดร้อน อย่าง “คั่วกลิ้งซี่โครงหมู” รสชาติอร่อยถูกใจระดับภัตตาคาร! อีกทั้งเรายังสามารถใส่เนื้อสัตว์ได้ตามใจชอบไม่ว่าจะเป็น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว และกระดูกหมู ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน

Categories
ขนมหวานไทย

ขนมน้ำดอกไม้ สีสันสดใส อร่อยเหนียวนุ่ม

ขนมน้ำดอกไม้
ขนมน้ำดอกไม้

วันนี้เราขอแนะนำสูตรขนมไทยอย่าง “ขนมน้ำดอกไม้” เป็นขนมไทยโบราณ หรือมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า ขนมชักหน้า เพราะหน้าตาของขนมที่มีหน้าบุ๋ม ลักษณะของขนมตัวนี้เป็นแป้งนุ่ม ขึ้นมันเงา ขนมมีสีอ่อนๆ สวยหน้าตาน่ารัก ที่มีเอกลักษณ์เป็นรอยบุ๋มตรงกลาง ซึ่งสูตรที่เรานำมาแนะนำนี้ มีขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก ทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน เหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลยค่ะ แถมยังอร่อยเหนียวนุ่ม สีสันสดใสชวนน่ากินมากๆ เลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูขนมไทยขนมน้ำดอกไม้

วัตถุดิบส่วนผสมของสูตรขนมไทยอย่าง ขนมน้ำดอกไม้ มีไม่เยอะมาก แต่ก็ต้องใช้ความพิถีพิถันในสรรหาวัตถุดิบมาใช้ เพราะจุดเด่นของขนมตัวนี้ อยู่ที่ความหอมซึ่งมาจากน้ำลอยดอกไม้สด หรือน้ำลอยดอกมะลิ ในการทำน้ำลอยดอกมะลิ ซึ่งดอกมะลิที่ใช้ต้องปลูกเอง ไม่มียาฆ่าแมลง เคล็บลับเด็ดคือต้องเก็บดอกมะลิตอนเย็นๆ โดยเด็ดส่วนที่เป็นกลีบเลี้ยงออก แล้วนำไปลอยลงในภาชนะที่ใส่น้ำต้มสุก ปิดฝาให้สนิท เช้ารุ่งขึ้น ก็นำดอกมะลิออก ก็จะได้น้ำลอยดอกมะลิกลิ่นหอม อย่ารอช้าเรามาดูส่วนผสมและขั้นตอนวิธีทำกันเลยค่ะ

วัตถุดิบส่วนผสม

  1. น้ำลอยดอกมะลิ 1 ถ้วย
  2. น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย
  3. แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
  4. แป้งเท้ายายม่อม 1 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำเปล่า 3/4 ถ้วย
  6. สีผสมอาหาร (ใช้สีจากธรรมชาติก็ได้)
ขนมน้ำดอกไม้
ขนมน้ำดอกไม้

ขั้นตอนวิธีการทำ

  1. เริ่มต้นด้วยการตั้งหม้อ นำน้ำลอยดอกมะลิต้มกับน้ำตาลให้ละลาย จากนั้นก็ปิดไฟแล้วยกออกจากเตาวางพักไว้
  2. ผสมแป้งเท้ายายม่อมกับแป้งข้าวเจ้า แล้วเติมน้ำลงไปทีละนิด จากนั้นก็นวดแป้งให้ละลาย เสร็จแล้วก็เติมน้ำลอยดอกมะลิที่ละลายน้ำตาลแล้ว เทลงไป แล้วคนให้ส่วนผสมเข้ากัน
  3. แบ่งแป้งเป็น 3 ถ้วย ถ้วยละเท่าๆ กัน หยดสีผสมอาหารหรือสีจากธรรมชาติตามความชอบ แล้วคนให้ทั่วเป็นเนื้อเดียวกัน
  4. ตั้งหม้อนึ่งถ้วยตะไลทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นก็หยอดแป้งลงไปในถ้วย นึ่งด้วยระดับไฟแรง 15 นาที
  5. เมื่อแป้งเริ่มสุกแล้วก็ตักขนมน้ำดอกไม้ออกมาจากถ้วย จัดเรียงใส่จากพร้อมเสิร์ฟได้เลยค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ สำหรับเมนูขนมหวานอย่างขนมน้ำดอกไม้ เมนูนี้มีชื่ออยู่ 2 ชื่อคือ ขนมน้ำดอกไม้ และขนมชักหน้า ซึ่งขนมชักหน้าเป็นชื่อที่โบราณเรียกกัน เพราะเวลานึ่งเสร็จแล้วตัวขนมจะบุ๋มลงไป เหมือนกิริยาของคนโกรธแล้วชักหน้าหนี เป็นขนมที่มีรสชาติอร่อยเหนียวนุ่ม สีสันสดใสสวยงาม แถมหอมกลิ่นดอกมะลิ เหมาะในการใช้ประกอบงานบวช งานมงคลสมรส หรืองานขึ้นบ้านใหม่

Categories
ขนมเบเกอรี่

แจกสูตร เค้กมันม่วง เค้กเนื้อนุ่ม สีสวยจากธรรมชาติ ทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน

เค้กมันม่วง
เค้กมันม่วง

เมื่อหลายปีที่ผ่านมาเกิดกระแสใหม่ๆ ในวงการอาหารมากมาย ซึ่งเราคาดว่าเกิดจากค่านิยมในสังคมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทำให้เกิดเมนูใหม่ๆ ขึ้นค่ะ อย่างตอนนี้เทรนผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติกำลังมาแรงเลยค่ะ เราจึงได้หยิบยกสูตรเมนูขนมหวานอย่าง “เค้กมันม่วง” ซึ่งเป็นเค้กที่มีส่วนประกอบของมันม่วงจากธรรมชาติเป็นหลัก  แถมยังมีประโยชน์ดีต่อสุขภาพ มาให้ทุกคนได้ลองทำตามกัน เรามาดูส่วนผสมและขั้นตอนวิธีการทำกันเลยค่ะ!!

ส่วนผสมหลักของเค้กมันม่วง

วัตถุดิบในการทำเมนูเค้กมันม่วงหลักก็มีไม่มากและไม่ยุ่งยากค่ะ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คงจะเป็นมันม่วงที่เป็นผลไม้จากธรรมชาติถือได้ว่าเป็นตัวเด่นของเมนูนี้เลย จะใช้มันม่วงไทยหรือมันม่วงญี่ปุ่นก็ได้ แต่อ่านจากความคิดเห็นของชาวเน็ตใน pantip ต่างบอกว่ามันม่วงญี่ปุ่นจะอร่อยและหวานกว่า ดังนั้นเราจึงขอเลือกมันม่วงจากญี่ปุ่นมาทำ อย่ารอช้า เรามาดูส่วนผสมกันเลย!!

ส่วนผสม เค้กมันม่วง

  1. มันม่วงญี่ปุ่นนึ่งปอกเปลือก 80 กรัม
  2. ไข่ไก่ 1 ฟอง
  3. น้ำมันรำข้าว 25 มิลลิลิตร
  4. กะทิ 60 มิลลิลิตร
  5. น้ำตาลทราย 80 กรัม หรือจะลด-เพิ่ม ได้ตามความชอบเลยค่ะ
  6. กลิ่นวานิลลา 1/4 ช้อนชา
  7. เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
  8. แป้งสาลีหรือแป้งอเนกประสงค์ 120 กรัม
  9. ผงฟู 1 ช้อนชา

ส่วนผสม ไส้เค้กมันม่วง

  1. มันม่วงญี่ปุ่นนึ่งปอกเปลือก 160 กรัม
  2. น้ำตาลทราย 100 กรัม หรือจะลด-เพิ่ม ได้ตามความชอบเลยค่ะ
  3. กะทิ 200 มิลลิลิตร
  4. แป้งกวนไส้หรือแป้งข้าวโพดก็ได้ค่ะ 40 กรัม
เค้กมันม่วง
เค้กมันม่วง

ขั้นตอนวิธีการทำ

  1. เริ่มต้นทำไส้ขนม โดยนำมันม่วงญี่ปุ่นนึ่งใส่เครื่องปั่น เติมน้ำตาลทรายและกะทิ ปั่นจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกันจากนั้นเทใส่กระทะก้นลึก
  2. เติมแป้งสาลี แล้วคนจนแป้งละลาย จากนั้นก็นำขึ้นตั้งไฟใช้ไฟอ่อน แล้วคนตลอดเวลาจนแน่ใจว่าข้นพอดี และตั้งทิ้งไว้ให้เย็นหรือนำเข้าตู้เย็นพักไว้
  3. ทำเค้กมันม่วง โดยปั่นมันม่วงญี่ปุ่นนึ่งสุก ไข่ไก่ น้ำมันรำข้าว กะทิ น้ำตาลทราย กลิ่นวานิลลา และเกลือป่นจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเทใส่ภาชนะผสมพักไว้
  4. ร่อนแป้งและผงฟูใส่ภาชนะผสมอีกใบ จากนั้นใส่ลงไปผสมกับส่วนผสมมันม่วงประมาณ 3 รอบ ระหว่างนั้นก็คนจนแป้งละลาย แล้วพักไว้ 30 นาที
  5. เมื่อพักแป้งครบ 30 นาที ก็คนไล่ฟองอากาศ แล้วตักแป้งมันม่วงใส่พิมพ์คัพเค้กที่รองด้วยถ้วยกระดาษไข แล้วใส่ไส้ขนมตามลงไป และโปะด้วยแป้งมันม่วงด้านบน นำไปนึ่งหลังน้ำเดือด ประมาณ 20 นาทีหรือจนแป้งสุก โดยใช้ไฟแรงช่วงแรกประมาณ 7 นาที จากนั้นปรับเป็นไฟปานกลางถึงอ่อนนึ่งต่ออีก 13 นาทีหรือจนแป้งสุก
  6. เตรียมจัดจานพร้อมรับประทานเค้กมันม่วงสอดใส้ร้อนไป

เพียงเท่านี้เราก็จะได้เค้กมันม่วง แสนอร่อยที่มาพร้อมกับสอดไส้มันม่วง กลายเป็นเค้กสีม่วงสวยๆ ที่น่ากินเป็นอย่างมาก และนี่เป็นสูตรทำเค้กมันม่วงนึ่ง ที่ทำได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก แถมตัวเค้กยังนุ่มอร่อยจนลืมไม่ลงเลยค่ะ

Categories
อาหารสุขภาพ

ก๋วยเตี๋ยวไก่สับใบเมี่ยง เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ ทำง่ายสุดๆ แถมไร้น้ำมัน

ก๋วยเตี๋ยวไก่สับใบเมี่ยง
ก๋วยเตี๋ยวไก่สับใบเมี่ยง

ต้องยอมรับเลยว่าในยุคนี้คำว่า “เพื่อสุขภาพ” กำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรงสุดๆ เลยค่ะ เพราะคนไทยหลายคนหันมาใส่ใจสุขภาพของตัวเองมากขึ้น อาหารแบบเฮลธ์ตี้ คลีนๆ จึงได้รับความนิยมอย่างมาก และทำให้อาหารประเภทนี้มีราคาที่ค่อนข้างสูง วันนี้เอาใจคนรักสุขภาพด้วยเมนู “ก๋วยเตี๋ยวไก่สับใบเมี่ยง” เป็นเมนูที่ทำง่ายไม่ยุ่งยาก รสชาติอร่อย มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แถมเมนูนี้ก็เหมาะกับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เพราะเป็นสูตรคลีนที่ไร้น้ำมัน ใครที่อยากมีหุ่นที่ดี หรือมีสุขภาพที่ดี

ส่วนผสมหลักของเมนูก๋วยเตี๋ยวไก่สับใบเมี่ยง

ก๋วยเตี๋ยวไก่สับใบเมี่ยง” เป็นเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ สำหรับคนรักสุขภาพที่กำลังมองหาเมนูอาหารสุขภาพที่ทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน มีรสชาติที่อร่อย แถมยังอิ่มแบบสบายท้องกำลังดีแบบที่ไม่ได้อิ่มจนหนักท้องมากเกินไป เป็นเมนูที่ไม่ได้ใช้น้ำมันในการประกอบอาหารเลย ซึ่งสูตรที่เรานำมาแนะนำนี้เป็นการปรับเปลี่ยนจากสูตรแบบดั้งเดิม ให้กลายมาเป็นเมนูอาหารคลีน ที่ถูกใจใครหลายๆ คน อย่ารอช้าเรามาดูส่วนผสมและขั้นตอนวิธีทำกันเลยค่ะ

วัตถุดิบและส่วนผสม

  1. ไก่สับ 200 กรัม
  2. เต้าหู้ขาว 50 กรัม
  3. ใบเมี่ยงญวน 50 กรัม
  4. หอมใหญ่ 50 กรัม
  5. แครอท 50 กรัม
  6. ต้นหอมซอย 50 กรัม
  7. ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ
  8. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
  9. พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะ
  10. น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
  11. น้ำจิ้มไก่ตามความชอบ
ก๋วยเตี๋ยวไก่สับใบเมี่ยง
ก๋วยเตี๋ยวไก่สับใบเมี่ยง

ขั้นตอนวิธีการทำ

  1. นำหอมใหญ่ และแครอทมาผัดรวมกันสักครู่ จากนั้นตามด้วยใส่ไก่สับลงไป ผัดจนกว่าไก่สับเริ่มสุก แล้วให้ปรุงรสชาติด้วยซอสหอยนางรม เกลือ และพริกไทย ตามด้วยใส่เต้าหู้ขาว และต้นหอม ผัดจนทุกอย่างเข้ากัน ตักขึ้นจากกระทะ ใส่จานเตรียมไว้
  2. นำแผ่นใบเมี่ยงญวน มาแช่ในน้ำประมาณ 5 – 10 วินาที
  3. นำไส้ที่ผัดเตรียมไว้ตักใส่ใบเมี่ยงญวน ที่แช่น้ำแล้ว พับปลายด้านที่อยู่ติดกับตัวเราขึ้นไปคลุมไส้ จากนั้นพับด้านข้างทั้งสองข้างเข้าหาตรงกลาง ม้วนปลายใบเมี่ยงญวน ที่อยู่ติดกับตัวเราไปจนถึงปลายอีกด้าน
  4. นำก๋วยเตี๋ยวไก่สับใบเมี่ยงที่ม้วนเตรียมไว้มาจัดเสิร์ฟใส่จาน และเสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มไก่ หรือน้ำจิ้มตามที่ทุกคนชอบได้เลยค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะทุกคน สำหรับเมนูอาหารไทยเพื่อสุขภาพอย่างก๋วยเตี๋ยวไก่สับใบเมี่ยง มีขั้นตอนวิธีการทำที่ง่ายไม่ยุ่งยากสามารถทำได้ที่บ้าน แถมยังอร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ วัตถุดิบส่วนผสมก็หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป เหมาะกับคนที่ควบคุมน้ำหนัก และคนรักสุขภาพที่สุดเลยค่ะ

Categories
อาหารนานาชาติ

ไก่ตุ๋นไวน์แดง เมนูหรูหรา สุดคลาสสิกจากฝรั่งเศส

ไก่ตุ๋นไวน์แดง
ไก่ตุ๋นไวน์แดง

ใครที่เข้าครัวทำอาหารในวันนี้เรามีเมนูสุดพิเศษ จากดินแดนเมืองน้ำหอมประเทศฝรั่งเศส มาแนะนำอย่างเมนู “ไก่ตุ๋นไวน์แดง” เป็นเมนูสุดคลาสสิคที่หรูหรา แต่สามารถทำกินเองง่ายๆ ได้ที่บ้าน อาหารจานนี้เหมาะมากๆ กับมื้อพิเศษกับคนพิเศษ หรือในงานปาร์ตี้เลี้ยงฉลองกับแก๊งเพื่อนก็เก๋ไก๋ไม่ตกเทรนแน่นอน เมนูนี้เป็นของดีมีระดับ หากไปกินตามร้านอาหารหรูหรา เมนูจานนี้จะมีราคาที่ค่อนข้างสูง แต่ไม่ได้เป็นเพราะไก่หรอกนะคะ ที่ทำให้ราคาแพงหูฉี่แบบนี้ มันเกิดจากราคาของไวน์ที่เอามาตุ๋นนั้นต่างหาก ราคาของอาหารเมนูนี้จึงแพงตามราคาของไวน์ที่เอามาทำนั่นเอง เรามาดูส่วนผสมและขั้นตอนวิธีการทำกันเลยดีกว่า

ส่วนผสมหลักของเมนูไก่ตุ๋นไวน์แดง

เมนูไก่ตุ๋นไวน์แดง หรือในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่ากอโกแว็ง (coq au vin) เป็นอาหารฝรั่งเศส ประเภทต้มชนิดหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยถือกำเนิดจากแคว้นเบอร์กันดี วัตถุดิบส่วนผสมก็มีไม่มาก ทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน ซึ่งส่วนผสมหลักๆ ก็มีดังนี้

  1. น่องไก่ติดสะโพกหรืออกไก่ 4 ชิ้น
  2. เบค่อน 2 ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา
  4. เห็ดแชมปิญอง 3 ช้อนโต๊ะ
  5. มันฝรั่งปอกเปลือก 5 ลูก
  6. แครอท 1 หัว หั่นเต๋า
  7. หอมหัวใหญ่ 1 หัว หั่นเต๋า
  8. เซเลอรี่ 1 ถ้วย
  9. พาสลี่ย์สับ 1/2 ถ้วย
  10. มะเขือเทศ 2-3 ลูก
  11. โรสแมรี่ ไธม์ พาสลีย์
  12. เห็ดแบบที่ชอบ 2 ถ้วย ผ่า4ส่วน
  13. ไวน์แดง 750-1,000 มิลลิลิตร
  14. เกลือ 1 ช้อนชา
  15. พริกไทย ตามใจชอบ
ไก่ตุ๋นไวน์แดง
ไก่ตุ๋นไวน์แดง

ขั้นตอนวิธีการทำ

  1. เริ่มปรุงไก่ด้วยเกลือ พริกไทย ตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอก นำไก่ไปจี่ให้ขึ้นสีสวยทั้งสองด้าน แล้วนำขึ้นมาพักไว้
  2. ใช้กระทะใบเดิม ใส่เบค่อนผัดลงไปให้คายน้ำมันออกมา จากนั้นต่อด้วยหอมใหญ่ เซเลอรี่ แครอท เห็ด มะเขือเทศ โรสแมรี่ ไธม์ และพาสลีย์ แล้วผัดให้นิ่มงวดเข้ากัน จากนั้นนำชิ้นไก่ลงในกระทะ
  3. ใส่ไวน์แดงแล้วตั้งให้เดือด จากนั้นหรี่ไฟลงอ่อนๆ ตั้งเคี่ยวประมาณ 1 ชั่วโมง ปรุงรสด้วย เกลือ พริกไทย พอเปื่อยดี ก็เตรียมใส่จานพร้อมเสิร์ฟ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะทุกคน สำหรับวิธีทำเมนูจานอร่อยหรูสไตล์ฝรั่งเศสอย่างไก่ตุ๋นไวน์แดง เมนูนี้ไม่ได้มี แค่ไก่ตุ๋นนะ แต่ยังมีเป็นแบบเนื้อตุ๋นไวน์แดงอีกด้วย หากใครที่อยากจะลองทำเมนูนี้เราของแนะนำเพิ่มเติมว่าอย่าเคี่ยวเนื้อด้วยไฟแรง เพราะจะทำให้เนื้อกระด้าง และรสชาติไม่เข้าเนื้อ ควรเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ รับรองความอร่อยเข้าถึงเนื้อแน่นอน สำหรับใครที่ทำแล้วก็อย่าลืมแชร์ความอร่อยมาให้เราได้ชื่นชมด้วยนะคะ

อ่านเพิ่มเติม > รวม 10 สูตร เมนูไก่ ยอดนิยม พร้อมวิธีแสนง่ายที่สามารถทำเองที่บ้านได้

Categories
อาหารไทย

แกงอ่อมกระดูกหมูอ่อน อาหารพื้นบ้านชาวล้านนา

แกงอ่อมกระดูกหมูอ่อน
แกงอ่อมกระดูกหมูอ่อน

หากพูดถึงแกงอ่อม หลายๆ คนอาจจะนึกถึงอาหารอีสาน แต่อาหารในชื่อเดียวกันนี้ก็ยังไปตรงกับชื่ออาหารประจำท้องถิ่นของชาวล้านนาอย่าง “แกงอ่อมกระดูกหมูอ่อน” ถึงทั้งสองอย่างจะมีชื่อคล้ายกัน แต่วิธีการทำก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะเมนูนี้ถือว่าเป็นอาหารชั้นดีอย่างหนึ่งของชาวล้านนา โดยใช้เนื้อหมูและเครื่องใน เป็นส่วนผสมหลัก ซึ่งชาวล้านนานิยมใช้เลี้ยงแขกในเทศกาลงานเลี้ยงต่างๆ เล่ามาถึงตรงนี้แล้วหลายๆ คนคงอยากที่จะลิ้มรสเมนูนี้แล้ว และวันนี้เราก็มีขั้นตอนการทำมาให้ทุกคนได้ทำตามกันแล้ว ไปติดตามกันเลย

ส่วนผสมหลักของเมนูแกงอ่อมกระดูกหมูอ่อน

วัตถุดิบการทำ แกงอ่อมกระดูกหมูอ่อน หลักๆ ก็มีไม่มาก และไม่ยุ่งยาก สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป เป็นเมนูที่คนภาคเหนือชื่นชอบ และสิ่งที่ทำให้แกงอ่อมนี้แตกต่างจากแกงอ่อนอีสานก็คงจะเป็นแกงอ่อมไม่ใส่ปลาร้า เหมาะกับคนเหนือที่อยู่ต่างจังหวัดแล้วคิดถึงบ้าน ขั้นตอนการทำก็ง่ายๆ ทำได้ไม่ยุ่งยาก อย่ารอช้าเรามาดูส่วนผสมและขั้นตอนวิธีทำกันเลยค่ะ

แกงอ่อมกระดูกหมูอ่อน
แกงอ่อมกระดูกหมูอ่อน

วัตถุดิบส่วนผสม

  1. กระดูกหมูอ่อน หรือ เนื้อสัตว์อื่นๆ ตามใจชอบ 300 กรัม
  2. พริกลาบเหนือ ใส่ตามความชอบ
  3. หัวหอมแดง 5 หัว
  4. กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
  5. รากผักชี 4 ต้น
  6. ต้นหอม ผักชี ผักชีฝรั่ง ใส่ตามความชอบ
  7. ใบมะกรูดฉีก 10 ใบ หรือใส่ตามความชอบ
  8. น้ำเปล่า 1 และอีกครึ่ง ถ้วยตวง
  9. น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
  10. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
  11. เกลือ 1 ช้อนชา
  12. ผงปรุงรส 1 ช้อนชา
  13. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

ขั้นตอนวิธีการทำ

  1. นำ พริกลาบ, รากผักชี, หัวหอมแดง และกะปิ มาตำให้ละเอียด หรือ ปั่นให้เข้ากัน
  2. จากนั้นตั้งกระทะให้ร้อน แล้วใส่น้ำมันลงไป พอเริ่มน้ำมันร้อน ให้ใส่เครื่องที่ตำไว้ลงไปผัดให้ได้กลิ่นหอม แล้วใส่กระดูกหมูอ่อน ลงไปผัดให้สุก
  3. หลังจากนั้น ก็เติมน้ำลงไปตามด้วยใบมะกรูดที่ฉีกไว้ รอจนกว่าน้ำเดือด แล้วปิดฝา ตุ๋นไฟอ่อนไปประมาณ 30 นาที หรือจนกว่าหมูจะนุ่ม
  4. พอครบเวลาก็เปิดฝา ปรุงรสด้วย น้ำปลา เกลือ น้ำตาล ผงปรุงรส ชิมและปรุงรสได้ตามที่ชอบ จากนั้นก็ปิดไฟ แล้วใส่ ต้นหอม ผักชี ผักชีฝรั่ง ที่หั่นแล้วลงในกระทะ แล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นก็ตักใส่ถ้วย พร้อมเสริฟ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับขั้นตอนการทำ แกงอ่อมกระดูกหมูอ่อน ถือได้ว่าเป็นอาหารพื้นบ้านชาวล้านนาที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน เป็นเมนูง่ายๆ ทำได้ที่บ้าน แถมอร่อยถูกปาก ทำกินได้ทั้งครอบครัว หรือจะทำขายก็ได้กำไรงาม แนะนำเพิ่มเติมคุณไม่จำเป็นต้องใส่แค่กระดูกหมู แต่คุณสามารถเลือกใส่เครื่องใน หรือเนื้อสัตว์เพิ่มได้ตามความชอบ

Categories
อาหารนานาชาติ

นาซิ เลอมัก อาหารนานาชาติของมาเลเซียยอดนิยมที่น้อยคนรู้จัก

นาซิ เลอมัก
นาซิ เลอมัก

สวัสดีจ้า วันนี้เรามีอาหารนานาชาติ อย่างประเทศมาเลเซีย นั่นก็คือ นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) เรียกได้ว่าเป็นอาหารมาเลเซีย มีลักษณะเป็นข้าวหุงนำมากับกะทิ และใบเตย พร้อมด้วยเครื่องเคียง 4 อย่าง ประกอบด้วย แตงกวาหั่น ปลากะตักทอดกรอบไข่ต้มสุก และถั่วอบ ที่สำคัญเมนูนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในภาคใต้ของไทยอีกด้วย เมนูนั้นคืออะไรตามมาดูเลย

วิธีการทำนาซิ เลอมัก อาหารมาเลเซียสุดฮิต

เมนูของอาหารมาเลเซียในวันนี้ที่เราจะมาแจกสูตรกันก็คือ …. นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) มีส่วนผสมดังนี้

  • ข้าวสาร จำนวน 2 ถ้วย
  • ใบเตย จำนวน 3 ใบ
  • น้ำกะทิ จำนวน 2 ถ้วย
  • เกลือ ปริมาณ 1/8 ช้อนชา
  • หอมแดงหัวเล็ก 4 หัว ซอยบาง ๆ
  • น้ำเปล่า จำนวน 2 ถ้วย
  • ปลาทอด
  • กระเทียม ใช้แค่ 1 หัว ก็พอจ้า จากนั้นนำมาซอยบาง ๆ
  • หอมหัวใหญ่สีม่วง จำนวน 1/2 หัว ซอยบาง ๆ
  • กะปิ 1 ช้อนชา
  • เกลือ ¼ ช้อนชา
  • น้ำตาล 1 ช้อนชา
  • พริกแห้ง จำนวน 10 เม็ด
  • น้ำมะขามเปียกจำนวน ¼ ถ้วย
  • น้ำมันพืช 1 ½ ช้อนโต๊ะ
  • ไข่ต้ม 1 ลูก ผ่าครึ่ง
  • ถั่วลิสงคั่ว
  • แตงกวา

ขั้นตอนการทำนาซิ เลอมัก มีดังนี้จ้า       

  • ก่อนอื่นเรามาเริ่มต้นด้วยการนำข้าวสารไปซาวน้ำ และมาใส่หม้อ
  • ตามด้วยน้ำกะทิ, น้ำเปล่า, เกลือ และใบเตยลงไป
  • ทำการหุงข้าวจนสุก
  • แล้วพักไว้

มาดูขั้นตอนการทำเครื่องเคียงกันบ้างค่ะ

  • อันดับแรกเรามาเริ่มจากการโขลกพริกแห้ง โดยนำพริกแห้งที่เตรียมไว้มาใส่ลงไปในครกค่ะ จากนั้นโขลกห้ละเอียด
  • ตั้งกระทะโดใช้ไฟกำลังพอดี เทน้ำมันพืชลงในกระทะ
  • ใส่หอมแดง กระเทียม พริกแห้ง และหอมใหญ่ซอย ผัดไปเรื่ออย ๆ จนเริ่มมีกลิ่นหอมและสีเหลืองกำลังพอดี
  • เติมความเปรี้ยวด้วยน้ำมะขามเปียก และเพิ่มความกลมกล่อมด้วเครื่องปรุงอื่น ๆ (เกลือ และน้ำตาลทราย) ผัดให้เข้ากัน
  • ใช้ไฟอ่อนทำการเคี้ยวไปเรื่อย ๆ พอเริ่มเข้ากันแล้วทำการยกลงออกจากเตา

นาซิ เลอมัก กับความนิยมในแต่ละท้องถิ่น หรือ ตามความเชื่อ

นาซิ เลอมัก หรือ อาหารมาเลเซียยอดนิยม ในแต่ละท้องถิ่น แต่ละความเชื่อก็มีความนิยมในการรับประทานที่แตกต่างกัน โดยเราจะยกตัวอย่างให้ไดทราบกันคร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ

  • การทำนาซิ เลอมักตามความเชื่อของชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย คล้ายคลึงกับรูปแบบดั้งเดิมของชาวมลายู ต่างกันที่ชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดียส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดูและไม่รับประทานเนื้อวัว
  • ความนิยมในการรับประทานแบบชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน จะมีแบบที่ใช้เนื้อหมูในการปรุง และนั่นก็หมายความว่าการรับประทานแบบนี้ไม่ใช่อาหารฮาลาล
  • ความนิยมในการรับประทานแบบของหมู่เกาะรีเยา นิยมใส่ปลาชิ้นเล็กที่เรียกอีกันตัมบัน
  • ความนิยมในการรับประทานแบบของชาวสิงคโปร์เชื้อสายมลายู นิยมใช้ปลาร้า ที่เรียกอีกันบีลิซ ถั่ว ปลาทอด แตงกวา บางครั้งใส่ไข่
  • ความนิยมในการรับประทานแบบของชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีน นิยมใส่มะรุมทอด ลูกชิ้นปลา และแกงผัก
  • ความนิยมในการรับประทานแบบมังสวิรัติ มักพบในกัวลาลัมเปอร์ โดยแทนที่ปลาหมักด้วยปลาร้าเจ

 

 

Categories
ขนมหวานไทย

ขนมเทียน ขนมไทยยอดนิยมช่วงเทศกาลไทย

ขนมเทียน
ขนมเทียน

สวัสดีจ้าทุกท่าน วันนี้เราก็มาอยู่กับ Chef old school กันอีกแล้ว และเมนูที่เราจะมาแจกสูตรกันแบบไม่กั๊กเลยวันนี้ ก็เป็นเมนูที่เกี่ยวกับขนมไทยนั่นเอง ต้องขอเกริ่นก่อนเลยว่าขนมนี้เรามักคุ้นเคยและพบเห็นกันในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธ หรือ แม้กระทั่งวันสำคัญเกี่ยวกับความเชื่อของคนไทยเชื้อสายจีน เช่น วันตรุษจีน สารทจีน เป็นต้น พูดมาขนาดนี้คงอยากรู้กันแล้วสินะว่าขนมนั้นคืออะไร บอกเลยแล้วกัน “ขนมเทียน” นั่นเอง

สูตรไม่ลับ วิธีทำขนมเทียน

มาเลยจ้า อย่ารอช้า มาทำขนมเทียน เมนูขนมไทยที่ทำได้ไม่ยาก และสามารถทำได้ที่บ้าน ก่อนอื่นเรามาเตรียมองค์ประกอบกันก่อนเลยดีกว่า

  • แป้งข้าวเหนียว ปริมาณ 400 กรัม
  • แป้งข้าวจ้าวปริมาณ 100 กรัม
  • น้ำกะทิ 3 ถ้วย
  • น้ำมันพืช ปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะ
  • ถั่วเขียวผ่าซีกใช้ในปริมาณ 1 ถ้วย
  • กระเทียมเจียว หรือ หอมแดงเจียว 1/4 ถ้วย
  • พริกไทย
  • รากผักชี จำนวน 2 ราก
  • เกลือ ปริมาณ 1 ช้อนชา
  • น้ำตาลปิ๊บ
  • น้ำตาลทราย

ขั้นตอนการทำขนมเทียน มีดังนี้

  1. เทแป้งที่เตรียมไว้ลงไปในภาชนะ (อาจจะใช้เป็นชามขนาดเล็กก็ได้)
  2. นำน้ำตาลปิ๊บมาละลายด้วยน้ำอุ่น จากนั้นนำไปนวดผสมให้เข้ากันกับแป้ง
  3. นำกะทิมา ค่อย ๆ ทำการเทลงไปนวดให้เข้ากันกับแป้ง และทิ้งไว้ประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง
  4. แช่ถั่วเขียวซีกไว้ในเวลา 3 ชั่วโมง จากนั้นนำไปนึ่งให้สุก
  5. เมื่อถั่วสุกแล้วให้ทำการบดถั่วจนละเอียด
  6. นำกระทะมาตั้งเตาไฟ ทำการเจียวกระเทียมให้มีสีเหลืองกำลังพอดี
  7. นำถั่วเขียวที่เตรียมไว้ มาเทลงในกระทะ ตามด้วยน้ำตาล, พริกไทย และ เกลือ จากนั้นผัดไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมทุกอย่างเริ่มแห้ง
  8. นำส่วนผสมต่าง ๆ ที่ผ่านการผัดจนแห้งมาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ และห่อด้วยแป้งนวด
  9. ปิดท้ายด้วยการห่อด้วยใบตองทรงสามเหลี่ยม และนำไปนึ่ง เมื่อสุกก็ยกลงนำไปพักไว้ให้หายร้อนและรับประทานได้เลยค่ะ

ขนมไทยชนิดนี้นิยมใช้ในงานต่าง ๆ เพราะอะไร และมีที่มาอย่างไร ?

จากบทความข้างต้นที่เกริ่นไว้ว่า เรามักจะเห็นขนมเทียนตามเทศกาลต่าง ๆ โดยเฉพาะเทศกาลี่เกี่ยวกับความเชื่อของคนจีน แต่รู้หรือไม่ว่าขนมเทียนนี้ไม่ใช่ขนมของคนจีนมาแต่แรกเริ่มนะ แต่ขนมที่ชาวจีนนำมาดัดแปลง โดยนำขนมไทยมาประยุกต์เป็นไส้ขนมอันแสนอร่อยนั่นเอง และความหมายของขนมเทียน ก็เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าสิริมงคลมาก เพราะหมายถึง ความหวานชื่น และความราบรื่นของชีวิต พร้อมทั้งรูปทรงสามเหลี่ยมเหมือนเจดีย์ ยังแสดงถึงความเป็นสัญลักษณ์มงคลทางศาสนาพุทธอีกด้วย

Categories
อาหารสุขภาพ

สูตร สเต็กปลาดอลลี่ เมนูสุขภาพ สำหรับคนชอบทานปลา

สเต็กปลาดอลลี่
สเต็กปลาดอลลี่

สำหรับทุกท่านที่เป็นสายรักสุขภาพส่วนใหญ่ เราก็มักเลือกทานอาหารที่แคลอรี่ต่ำ ย่อยง่าย ไขมันดีเยอะกว่าไขมันเลว และแน่นอนครับปลาก็เป็นเนื้อสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่เรานิยมนำมาทำอาหาร แต่ไม่ใช่นำมาทอดแบบนั้นนะครับ ส่วนใหญ่เราจะนำมาย่าง หรือนึ่งมากกว่า 

พูดถึงปลาที่นิยมกันก็คงไม่พ้นปลาแซลมอน และปลาดอรี่ไปได้นะครับ ปลาดอรี่เป็นปลาที่หาซื้อง่าย ราคาไม่สูง ที่สำคัญทำได้หลายเมนูเลยครับ แต่เมื่อเราพูดถึงการรักสุขภาพกันแล้ว วันนี้เรามาทำสเต็กปลาดอรี่แบบคลีนทานกันดีกว่าครับ

วัตถุดิบ

  • ปลาดอรี่แล่ 1 ชิ้น น้ำหนักประมาณ 200 กรัม
  • มะนาว 2 ลูก นำมาสำหรับบีบใส่สเต็ก 1 ลูก สไสลด์บางเพื่อตกแต่งในจานสเต็ก
  • บลอคโคลี่ หัวเล็กๆ 1 หัว
  • แครอท 1 หัว
  • กระเทียมจีนสไลด์บาง 1 หัว
  • หน่อไม้ฝรั่ง 5 ต้น
  • พริกไทยดำ ตามชอบ
  • น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือป่น 

ขั้นตอนการทำ

เนื่องจากเมนูนี้อยากทำให้มีความคลีนนะครับ เราจะไม่ปรุงอะไรมาก ให้มีรสชาติของปลาตัดกับรสชาติของมะนาวและเกลือ ก็พอแล้วครับ ที่สำคัญ เวลาจะใช้ปลาดอรี่ปรุงอาหาร ต้องระวังเนื้อปลาด้วยนะครับ เพราะปลาดอรี่สุกง่ายและเละง่ายมากเช่นกันครับ ส่วนกระเทียมสไลด์ ทานกับสเต็กได้กลิ่นกระเทียมหอมๆ เข้ากัน ถามยังช่วยลดคอเรสเตอรอลได้อีกครับ

  1. นำกระทะเชฟรอน ตั้งไฟอ่อน ใส่น้ำมันมะกอกลงไป เพื่อไม่ให้เนื้อปลาแห้ง
  2. พอกระทะเริ่มมีความร้อน ให้นำกระเทียมสไลด์ลงไปผัดก่อน จนกระเทียมเหลือง
  3. นำเนื้อปลาลงกระทะ นาบกระทะให้เหลืองทั้งสองด้าน เวลากลับปลา ค่อยๆ กลับนะครับ
  4. หลังจากเนื้อปลาเหลืองแล้ว ตักขึ้นใส่จาน โรยเกลือและพริกไทยดำน้อยมากตามชอบเลยครับ 
  5. นำมะนาวสไลด์ใส่ลงไปบนตัวปลา เพื่อความสวยงาม และให้มีกลิ่นหอมของมะนาว ดับความคาวของปลาได้ด้วยครับ
  6. นำแครอทมาหั่นท่อน หั่นบลอคโคลี่ หน่อไม้ฝรั่งหั่นเป็นสองท่อนพอครับ 
  7. ตั้งน้ำใส่หม้อ พอน้ำเดือด ใส่ผักทั้งหมดลงไปลวก พอผักสุกให้นำขึ้นมาใส่น้ำเย็น เพื่อให้สีของผักไม่ดรอป นำไปวางเป็น Side dish ในจานสเต็ก ขั้นตอนต่อไปทานได้เลยครับ

เมนูนี้นอกจากจะทานเป็นสเต็กปลาดอรี่แล้ว สามารถนำไปทานกับข้าวไรซ์เบอรี่ได้ด้วยนะครับ ทานคล้ายๆ กับปลาย่างเกลือทั่วไป แต่ถ้าไม่ใช่คนทานเยอะอะไร แค่ปลา 1 ชิ้นกับผักลวก ก็ถือว่าเยอะมากแล้วครับ จะเอาเมนูนี้ไปลองทำกับปลาแซลมอนดูก็ได้นะครับ หรือจะเปลี่ยนจากปลา เป็นอกไก่ก็สามารถทำได้เช่นกัน ใช้การกริลล์เหมือนกัน เลือกแบบที่ชอบได้เลยครับ 

 

Categories
ขนมหวานไทย

สูตร ฝอยทองโบราณ ขนมไทยแสนอร่อยที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมานานแสนนาน

ฝอยทองโบราณ
ฝอยทองโบราณ

ถ้าพูดถึงขนมไทย หรือขนมไทยมงคล บรรดาขนมที่มีคำว่า “ทอง” ต้องขึ้นมาอยู่ในความคิดของทุกท่านเป็นอันดับต้นๆ แน่นอนเลยใช่มั้ยครับ ไม่ว่าจะเป็นทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ทองเอก ดาราทอง เป็นต้น

ขนมไทยส่วนใหญ่ ออกรสชาติหวาน มัน สำหรับผมแล้วไม่ค่อยมีเวลาไปเดินซื้อหาขนมไทยมาทานสักเท่าไหร่ บางครั้งถ้ามีโอกาส ก็อาจจะไปเดินเล่นแถวเกาะเกร็ด      จ. นนทบุรี บ้าง ที่นั่นเป็นแหล่งขนมไทยที่ผลิตกันเป็นล่ำเป็นสันเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งก็เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยว แล้วซื้อกลับไปทาน หรือเป็นของฝากกันนั่นเอง แต่จริงๆ แล้วขนมไทยบางอย่าง ขั้นตอนไม่ได้ยุ่งยาก เราก็สามารถทำทานเองได้นะครับ วัตถุดิบไม่ได้หายากเลย ในครัวของเผลอๆ จะมีของครบทุกอย่างไม่ต้องหาซื้อใหม่ เช่น การทำฝอยทองโบราณตามสูตรที่ผมจะแนะนำนี้นะครับ

วัตถุดิบ 

  • ไข่เป็ด 15 ฟอง
  • ไข่ไก่ 5 ฟอง
  • น้ำตาลทรายขาว 1,050 กรัม
  • น้ำลอยดอกมะลิ 1,500 กรัม
  • ใบเตย

 

 

ขั้นตอนการทำ

การทำขนมไทยนั้น ข้อสำคัญคือความพิถีพิถัน ทุกขั้นตอนสำคัญมาก ทั้งความร้อน ปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ ความสดใหม่และสะอาด ขนมบางอย่างต้องมีการขึ้นรูป ใส่พิมพ์ให้มีความสวยงาม ประณีตขึ้นไปอีก สำหรับฝอยทองนั้น เวลาทำต้องใจเย็นค่อย  ๆ วนให้เป็นสาย เกี่ยวขึ้นมาให้เป็นแพ มีขั้นตอนการทำดังนี้ครับ

  1. นำไข่เป็ดและไข่ไก่ที่เตรียมไว้มาล้างให้สะอาด
  2. ตอกไขทั้งหมดใส่กาละมัง รวมทั้งไข่เป็ดและไข่ไก่
  3. แยกไข่แดงออกจากไข่ขาว นำไข่แดงไปกรองด้วยผ้าขาวบาง จะได้ไข่แดงที่เนียนนุ่ม ตีให้เข้ากันอีกครั้ง
  4. นำน้ำลอยดอกมะลิ 500 กรัม ขึ้นตั้งไฟกลาง ใส่ใบเตยลงไปเพื่อเพิ่มความหอม เติมน้ำตาลทรายขาว 250 กรัม เคี่ยวให้เดือด นำลงมากรองด้วยผ้าขาวบาง (เป็นนำเชื่อมเข้มข้นสำหรับวนไข่แดง)
  5. นำน้ำลอยดอกมะลิ 1,000 กรัม มาตั้งไฟ ใส่ใบเตยลงไปเหมือนการต้มครั้งแรก แต่เพิ่มปริมาณน้ำและน้ำตาลทราย ครั้งนี้ใช้น้ำตาลทราย 800 กรัม เคี่ยวให้เดือด นำลงมากรองด้วยผ้าขาวบาง (เป็นน้ำเชื่อมใสสำหรับแกว่งฝอยทองที่นำขึ้นมาจากกระทะ) 
  6. นำน้ำเชื่อมเข้มข้นที่ทำไว้รอบแรก ขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนเดือด เมื่อเริ่มเดือด ตักไข่แดงที่กรองไว้ใส่ในกรวย
  7. นำไข่แดงในกรวยไปวนในกระทะ ให้เป็นสาย ต้องการแพใหญ่แค่ไหนก็วนเอาตามใจชอบ
  8. หลังจากนั้น ใช้ไม้ปลายแหลมสองอัน เกี่ยวฝอยทองขึ้นมากจากกระทะ แล้วนำลงไปแกว่งในน้ำเชื่อมที่ใส่กว่า แล้วนำจัดวางลงในภาชนะ เป็นอันเรียบร้อย

 

ท่านใดว่าง หรือสนใจอยากลองทำทานดูลองได้นะครับ นอกจากได้ฝึกความใจเย็นแล้ว ยังภูมิใจ ที่ได้ทำขนมไทยทานเองด้วยนะครับ