Categories
ขนมหวานไทย

จาวตาลเชื่อม เมนูขนมหวานจากเมล็ดอ่อนลูกตาล อร่อยหอมหวาน

จาวตาลเชื่อม

เอาใจคนที่ชอบกินของหวานด้วยสูตรขนมหวานอย่างจาวตาลเชื่อม หรือลูกตาลเชื่อม ขนมไทยโบราณรสชาติหวานแบบฉ่ำ ๆ นุ่ม และหอม โดยขนมหวานนี้ทำจากจาวตาลที่นำไปเชื่อมกับน้ำตาลทรายเคี่ยว ซึ่งจาวตาลที่นำมาใช้ คือ ต้นอ่อนตาลโตนด โดยใช้ส่วนที่สามารถกินสด ๆ ได้ แต่ถ้าหากเป็นจาวตาลอ่อน ๆ จะมีรสชาติหวานกรอบอร่อย และนิยมนำไปเชื่อมทำเป็นขนมไทยเชื่อม ซึ่งการเชื่อมจาวตาลที่นิยมทำมี 2 แบบคือ จาวตาลเชื่อมเปียกแบบฉ่ำน้ำตาล และจาวตาลเชื่อมแห้ง ซึ่งจาวตาลเชื่อม เป็นอีกหนึ่งขนมไทยโบราณที่ในสมัยนี้หากินยากมาก แถมราคาก็แพงใช่เล่นเลยค่ะ แต่ถ้าทำกินเองได้ก็จะคุ้มสุด ๆอีกเช่นกันค่ะ ดังนั้นวันนี้เราก็มีสูตรขนมจาวตาลเชื่อมโบราณ พร้อมเคล็ดลับความอร่อยมาแนะนำทุกคน แถมยังสามารถนำไปทำเป็นอาชีพเสริมได้ค่ะ เพราะจาวตาลเชื่อมมีราคาที่ค่อนข้างสูง ซึ่งอาจจะช่วยสร้างรายได้เสริมกำไรงามได้เลยล่ะค่ะ ส่วนจะมีวัตถุดิบและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของขนมจาวตาลเชื่อม

จาวตาลเชื่อม หรือลูกตาลเชื่อม เป็นขนมไทยโบราณที่ใช้จาวตาลและน้ำตาลทรายเป็นส่วนผสมหลัก โดยการเคี่ยวน้ำเชื่อมให้ใสแล้วใส่จาวตาลลงไป เคี่ยวต่อจนน้ำเชื่อมใสเหนียวเป็นเงามันวาว ซึ่งถือเป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่ง ทำให้เก็บไว้ได้นานขึ้นและใช้เป็นขนมที่รับประทานได้ทั่วไป แถมยังมีรสชาติที่อร่อย หวานกรอบ หอมกลิ่นน้ำลอยดอกมะลิ และยังเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานอีกด้วยค่ะ โดยมีวัตถุดิบและส่วนผสมดังนี้

ส่วนผสมสำหรับทำขนมจาวตาลเชื่อม

  1. จาวตาลสด 7 กิโลกรัม
  2. น้ำตาล 4 กิโลกรัม
  3. น้ำลอยดอกมะลิ 4 ถ้วยตวง
จาวตาลเชื่อม

ขั้นตอนวิธีการทำขนมจาวตาลเชื่อม

หลังจากที่เตรียมส่วนผสมสำหรับทำขนมจาวตาลเชื่อมเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาเริ่มลงมือทำกันแล้วค่ะ ซึ่งวิธีทำสำหรับเมนูขนมหวานอย่างจาวตาลเชื่อมก็ง่ายมากๆ สามารถทำกินได้ที่บ้าน หรือจะจะขายสร้างรายได้เสริมที่ดีงามสุดๆเลยค่ะ เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบการทำขนมหวาน หรือสำหรับมือใหม่หัดเริ่มทำขนมจาวตาลเชื่อมครั้งแรกค่ะ โดยมีขั้นตอนการทำดังนี้

วิธีทำขนมจาวตาลเชื่อม

  1. จาวตาลสดมักจะมีไข สีขาวๆเคลือบอยู่ ต้องล้างทำความสะอาด จนไขออกหมด โดยใช้ใบตองฉีกๆ (ใช้ใบตะไคร้ ใบไผ่แทนได้ค่ะ) และขัดผิวของจาวตาลจะช่วยให้เมือกขาวๆ ของจาวตาลออกง่ายขึ้นค่ะ จากนั้นล้างน้ำอีก 3-5 รอบ จนกว่าไขจะออกหมด

เมื่อจาวตาลขาวสะอาด ให้ใช้อุปกรณ์ปลายแหลมจิ้ม เพื่อให้น้ำเชื่อมซึมเข้าจาวตาลดี (ระวังอย่าให้จาวแตกออกจากกัน)

  1. ตั้งน้ำให้เดือด แล้วนำนำจาวตาล ลงไปต้มประมาณ 15 นาที จากนั้นใส่น้ำตาลลงไป ต้มต่อให้เป็นน้ำเชื่อม แล้วเติมน้ำลอยดอกมะลิลงไปด้วย จากนั้นก็ต้มเชื่อมจาวตาลต่อ 20 นาที สังเกตุให้ลูกตาลเหลืองนุ่ม
  2. เมื่อครบเวลา หรือลูกตาลเหลืองนุ่มได้ที่ และตรวจดูว่าจาวตาลเริ่มอิ่มตัวกับน้ำเชื่อมหรือยัง เขี้ยวต่อไปเรื่อยจนจาวตาลอิ่มน้ำเชื่อม แล้วตักออกให้สะเด็ดน้ำ (อย่าคนแรงระวังจาวตาลแตก) 
  3. เพียงเท่านี้คุณก็จะได้ขนมจาวตาลเชื่อมแสนอร่อยแช่เย็นชื่นใจพร้อมเสิร์ฟ

เคล็ดลับความอร่อยของขนมจาวตาลเชื่อม

  1. การล้างเมือกของจาวตาล ด้วยการใช้ฟางในการขัดจะช่วยขัดเมือกของจาวตาลได้ดี
  2. การล้างจาวตาล ด้วยสารส้มจะช่วยให้จาวตาลสะอาด และต้องล้างด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด ไม่ให้เหลือสารส้มด้วยนะคะ
  3. ต้องตัดส่วนของรากจาวตาลออก เนื่องจากส่วนนั้นจะแข็งไม่เหมาะสำหรับนำไปรับประทาน
  4. น้ำลอยดอกมะลิ ให้ใส่สุดท้าย เพื่อเพิ่มความหอมของจาวตาลเชื่อม

เป็นอย่างไรบ้างคะสำหรับสูตรขนมจาวตาลเชื่อม นอกจากความอร่อย หวาน นุ่ม และหอมกลิ่นน้ำลอยดอกมะลิแล้ว เมนูของหวานนี้ยังเป็นอีกเมนูขนมไทยที่หาทานยากมาก แถมยังมีประโยชน์ โดยจาลตาลจะค่อย ๆ ละลายนิ่วในถุงน้ำดีทีละน้อยๆ สังเกตได้จากภาวะท้องอืด อาหารไม่ย่อย จะค่อยๆลดลง สำหรับใครที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี ลองรักษาด้วยการกินจาลตาลดูนะคะ ส่วนสำหรับที่กำลังอยากจะลองทำขนมจาวตาลเชื่อมก็อย่าลืมนำสูตรที่เรานำมาฝากไปลองทำดูนะคะ

Categories
อาหารสุขภาพ

ซาลาเปาผักกาดยัดไส้อกไก่สับ เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ ไส้แน่น อร่อยถูกปากทุกเพศทุกวัย

ซาลาเปาผักกาดยัดไส้อกไก่สับ

สาวๆ หนุ่มๆ คนไหนที่กำลังลดน้ำหนัก และออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ สิ่งที่ต้องระมัดระวังที่สุดนั่นคือเรื่องการกินค่ะ โดยหนึ่งในส่วนผสมอาหารคลีนที่มีโปรตีนสูงและมีประโยชน์ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่หลายคนเคยได้ยินมาบ้างคงหนีไม่พ้น “อกไก่” ดังนั้นวันนี้เราจึงมีเมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่มีส่วนผสมหลักเป็นอกไก่มาแนะนำทุกคน โดยเมนูนี้มีชื่อเรียกว่า “ซาลาเปาผักกาดยัดไส้อกไก่สับ” จัดเป็นเมนูอาหารคลีนไร้แป้งโปรตีนสูง ไขมันต่ำ รับประทานแล้วไม่อ้วน มาพร้อมวิธีทำที่ง่ายแสนง่าย แถมยังเป็นอาหารที่มีรสชาติไม่ได้จัดจ้านมาก เพราะการทานอาหารแบบนี้เราจะนึกถึงสุขภาพเป็นหลัก 

สำหรับใครที่อยากเพิ่มความจัดจ้านให้กับเมนูซาลาเปาผักกาดยัดไส้อกไก่สับ สามารถทำได้ง่ายด้วยการนำเอาน้ำจิ้มสุกี้มาทานคู่กับเมนูซาลาเปาผักกาดยัดไส้อกไก่สับก็เข้ากันมากๆเลยล่ะค่ะ โดยปกติแล้วน้ำจิ้มสุกี้นั้นมีหลายสูตรให้เราได้เลือก มีทั้งสูตรแบบดั้งเดิม (แบบโบราณ), สูตรกวางตุ้ง และสูตรเจ เพื่อตอบโจทย์การรับประทานที่หลากหลาย และน้ำจิ้มสุกี้มีให้เลือกหลายหลากยี่ห้อ บางคนก็จะมียี่ห้อน้ำจิ้มสุกี้ที่ชอบกันอยู่แล้ว แต่วันนี้เราจะมาพาทำน้ำจิ้มสุกี้ที่รสชาติถูกใจเราสุด ๆ เพื่อเอาไว้ทานคู่กับเมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่เรานำมาฝาก จะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูซาลาเปาผักกาดยัดไส้อกไก่สับ

การทำอาหารเมนูซาลาเปาผักกาดยัดไส้อกไก่สับถือว่าว่าง่ายเลยที่เดียว เพราะเป็นเมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่หาซื้อวัตถุดิบในการทำไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ไปซื้อที่ตลาดก็มีให้เลือกเยอะแยะไปหมด อย่างแรกที่ขาดไม่ได้เลยคือ ผักกาดขาว หรือหากใครไม่ชอบทานผักกาดขาวก็สามารถใช้ผักอื่นมาห่อแทนได้ค่ะ อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็ต้องเป็นเนื้อไก่หรืออกไก่ แต่หากใครไม่ชอบทานอกไก่ก็สามารถเปลี่ยนเป็นเนื้อสัตว์อย่างอื่นได้ค่ะอย่างเช่นเนื้อหมูสับ สำหรับใครที่อยากทานเพื่อสุขภาพ เราแนะนำให้ใช้เนื้ออกไก่เพราะเนื้ออกไก่จะให้โปรตีนแก่ร่างกายสูง แคลอรี่ต่ำ ส่วนน้ำจิ้มสุกี้ทานคู่กับซาลาเปาผักกาดยัดไส้อกไก่สับนั้นมีหลายสูตรให้เลือก ซึ่งวันนี้เราเลือก “สูตรน้ำจิ้มสุกี้แบบดั้งเดิมหรือแบบโบราณ” เพราะเป็นสูตรที่ส่วนผสมของเต้าหู้ยี้ในปริมาณจำนวนมาก เพื่อให้ได้กลิ่นและรสชาติตามแบบฉบับดั้งเดิม แต่ก่อนจะไปดูขั้นตอนการทำเมนูซาลาเปาผักกาดยัดไส้อกไก่สับกับน้ำจิ้มสุกี้แบบดั้งเดิม เรามาดูวัตถุดิบส่วนผสมทั้งหมดกันก่อนเลยค่ะ

ส่วนผสมสำหรับทำซาลาเปาผักกาดยัดไส้อกไก่สับ

  1. อกไก่สับ 100 กรัม
  2. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
  3. พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
  4. ผักกาดขาว 3 ใบ
  5. แครอทสับ 1 ช้อนโต๊ะ 

ส่วนผสมสำหรับทำน้ำจิ้มสุกี้

  1. ซอสพริก 250 กรัม
  2. ซอสมะเขือเทศ 50 กรัม
  3. กระเทียม 50 กรัม
  4. พริกแดงจินดา 30 กรัม
  5. น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ 
  6. ซีอิ๊วขาว 4 ช้อนโต๊ะ
  7. น้ำตาลทราย 4 ช้อนโต๊ะ 
  8. กระเทียมดอง 3 หัว พร้อมน้ำ 3 ช้อนโต๊ะ 
  9. เต้าหู้ยี้ 30 กรัม พร้อมน้ำ 1 ½ ช้อนโต๊ะ
  10. น้ำเปล่า 100 มิลลิลิตร 
  11. งาขาว 40 กรัม 
  12. น้ำมันงา 3 ช้อนโต๊ะ
ซาลาเปาผักกาดยัดไส้อกไก่สับ

ขั้นตอนวิธีการทำซาลาเปาผักกาดยัดไส้อกไก่สับ

หลังจากที่เตรียมส่วนผสมทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เรามาดูวิธีทำเมนูซาลาเปาผักกาดยัดไส้อกไก่สับ กับวิธีทำน้ำจิ้มสุกี้แบบดั้งเดิมกันต่อเลยค่ะ สำหรับขั้นตอนการทำก็ง่ายมากๆเลยค่ะ เหมาะกับคนที่ชื่นชอบการทำอาหารกินเอง และกำลังลดน้ำหนัก หรือคนที่เริ่มทำเมนูนี้ครั้งแรก รับรองว่าอร่อยถูกปากคนที่ได้ลิ้มลองแน่นอนค่ะ 

ขั้นตอนวิธีการทำน้ำจิ้มสุกี้แบบดั้งเดิม

  1. คั่วงาขาวด้วยไฟอ่อนจนงาขาวสุก และมีกลิ่นหอม จากนั้นนำมาโขลกพอให้แตกแล้วพักใส่ชามเตรียมไว้
  2. เครื่องน้ำจิ้มสุกี้ โดยนำกระเทียม พริกแดงจินดา น้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย กระเทียมดองพร้อมน้ำ เต้าหู้ยี้พร้อมน้ำ และน้ำเปล่า ใส่ลงไปในเครื่องปั่นแล้วปั่นให้ทุกอย่างละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นเทใส่หม้อที่ใช้สำหรับเคี่ยวไว้
  3. นำซอสพริก ซอสมะเขือเทศ และน้ำมันงาเทลงไปในหม้อที่ใส่เครื่องน้ำจิ้มสุกี้ไว้แล้ว จากนั้นคนจนทุกอย่างเข้ากัน
  4. นำหม้อขึ้นตั้งไฟกลางแล้วคนไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้ติดก้นหม้อ เมื่อน้ำจิ้มสุกี้เดือด และหมดกลิ่นน้ำส้มสายชูแล้ว ให้ใส่งาคั่วที่โขลกพอแตกลงไป แล้วคนทุกอย่างผสมให้เข้า จากนั้นพักให้เย็นแล้วเก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิทแช่ตู้เย็นไว้ เมื่อต้องการกินค่อยนำออกมา

ขั้นตอนวิธีการทำซาลาเปาผักกาดยัดไส้อกไก่สับ

  1. นำอกไก่ใส่ชามผสม ปรุงรสด้วย ซีอิ๊ว และพริกไทยป่น แล้วหมักทิ้งไว้เป็นเวลา 10 นาที จากนั้นลวกผักกาดในหม้อ พอผักกาดสุกได้ที่ก็ตักพักไว้ในน้ำเย็น 
  2. วางผักกาดลงในถ้วยที่จะนำเข้าหน้อนึ่ง โดยวางผักกาดให้เป็นหลุมตรงกลาง จากนั้นใส่ไก่สับลงไป แล้วนำไปนึ่งด้วยไฟปานกลางเป็นเวลาประมาณ 15 นาที หากใครสะดวกใช้ไมโครเวฟ ให้ใส่น้ำเปล่าลงไปในถ้วยเล็ก ช่วยให้ไก่และผักกาดไม่แห้ง แล้วนำเข้าไมโครเวฟ โดยใช้ความร้อน 1,100 วัตต์ เป็นเวลา 5 นาที
  3. นำซาลาเปาผักออกจากหน้อนึ่ง แล้วนำมาจัดใส่จากพร้อมเสิร์ฟ โดยการคว่ำถ้วยลงไปในจานที่ต้องการจัดเสิร์ฟ ตกแต่งด้วยแครอทให้สวยงาม ทานคู่กับน้ำจิ้มสุกี้แบบดั้งเดิม

คุณค่าทางโภชนาการ

เมนูซาลาเปาผักกาดยัดไส้อกไก่สับ เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ให้โปรตีนแก่ร่างกายสูง แคลอรี่ต่ำ ทานแล้วไม่อ้วน โดยผักกาดขาวมีสรรพคุณช่วยบำรุงระบบย่อยอาหารและลำไส้ รักษาสมดุลของน้ำในร่างกายรวมถึงระบบขับถ่าย ลดความเสี่ยงของมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน อีกทั้งยังช่วยให้เจริญอาหารรวมถึงดับกระหายอีกด้วย จึงเป็นผักที่เหมาะกับนำมาทำอาหาร, แครอท ช่วยบำรุงสายตา, พริกไทยป่น มีสรรพคุณทางการแพทย์แผนไทย สามารถใช้เป็นยาขับลม ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ กระตุ้นประสาท รักษาไข้มาลาเรีย และอหิวาตกโรค อีกทั้งอกไก่ที่เป็นส่วนผสมสำคัญยังอุดมไปด้วยประโยชน์ ได้แก่

  • มีโปรตีนสูงแต่พลังงานต่ำ ช่วยควบคุมน้ำหนัก เหมาะสำหรับปรุงอาหารของผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก 
  • ช่วยเพิ่มสมรรถภาพกล้ามเนื้อ ช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่ฉีกขาดเสียหาย
  • มีสารแอนคาร์โนซีน และสารแอนเซอรีนสูง ช่วยลดความเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อ
  • มีฟอสฟอรัสสูง ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
  • มีโพแทสเซียม ช่วยเสริมสร้างการทำงานของหัวใจและกล้ามเนื้อ
  • มีซีลีเนียม ช่วยลดการอักเสบของเซลล์ ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง
  • มีวิตามินบี 3 ช่วยเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตมาเป็นพลังงาน ทำให้ร่างกายนำไปใช้ได้มากขึ้น
  • มีลิวซีน ช่วยเพิ่มสมรรถภาพของกล้ามเนื้อ ช่วยให้ออกกำลังกายได้นาน และลดการสลายตัวของกล้ามเนื้อ
Categories
อาหารนานาชาติ

เนื้อย่างบุลโกกิ เมนูอาหารยอดนิยมแบบฉบับ เนื้อย่างเกาหลี

เนื้อย่างบุลโกกิ

อันยองฮาเซโย ใครที่ชื่นชอบอาหารเกาหลีมาฟังทางนี้ค่ะ วันนี้เรามีเมนูอาหารปิ้งย่างสไตล์เกาหลีมาแนะนำอย่าง เนื้อย่างบุลโกกิ (Bulgogi) หมักด้วยซอสเกาหลีเข้าที่ย่างหอมๆ นิยมรับประทานคู่กับกิมจิ และน้ำจิ้มสูตรเด็ด ซึ่งเมนูนี้เป็นอาหารโบราณ ที่มีมาตั้งแต่สมัยยุค  Goguryeo  (Go-gu-ryeo) ต่อมาก็เปลี่ยนชื่อจาก Goguryeo มาเป็น Korea หรือมีมาแล้วตั้งแต่ 1000 ปีทีแล้ว โดย Bul แปลว่า ไฟ Gogi แปลว่า เนื้อสัตว์ เมื่อนำมารวมกัน Bulgogi ก็คือเนื้อย่างเกาหลีนั่นเองค่ะ ปกติแล้วจะใช้เนื้อวัวหมักด้วยซอสเกาหลี และผลไม้ช่วยทำให้เนื้อนุ่ม แต่ถ้าไม่มีเนื้อวัว เราก็จะใช้เนื้อหมูเรียกว่าเรียก Dwaeji Bulgogi (돼지불백)  หรือ เนื้อไก่จะเรียก Dak Bulgogi ( 닭불백) แทนก็ได้ค่ะ โดยบุลโกกิ (bulgogi) มีเอกลักษณ์อยู่ที่เนื้อวัวที่หมักด้วยสาลี่และน้ำมันงาจนหอมและนุ่มเข้าเนื้อ ย่างจนสุกแล้วกินห่อกับผักและน้ำจิ้ม เมนูถือเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ต้องลองหากไปเยือนประเทศเกาหลี แต่หากใครที่อยากกินโดยไม่ต้องบินไปไกลถึงเกาหลี เราก็มีสูตรการทำบุลโกกิมาแนะนำจะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ 

ส่วนผสมหลักของเมนูเนื้อย่างบลุโกกิ และน้ำจิ้มเกาหลี

เนื้อย่างบุลโกกิ (Bulgogi) รสเผ็ดร้อน เป็นอาหารเกาหลี เรียบง่ายที่มักเสิร์ฟคู่กับข้าว หรือห่อผักใบอย่างผักสลัด ให้รสสัมผัส เผ็ดร้อน เค็มกลมกล่อม หวานนิด ได้รสขิง หอมกลิ่นเครื่องเทศเกาหลี เป็นหนึ่งในอาหารขึ้นชื่อของเกาหลีสามารถทานได้ทั้งแบบแห้งและน้ำ พร้อมกับเครื่องเคียงต่างๆ คือ ถั่วงอกดอง วุ้นเส้นปรุงรสสาหร่าย กิมจิ และน้ำจิ้มเกาหลี เมนูบุลโกกินิยมหมักกับผัลไม้อย่างลูกแพรขูดถ้าเป็นบ้านเราจะใช้ ลูกสาลี่แทนที่ใช้สาลี่ขูดเพราะในลูกสาลี่จะมีสาร enzyme ที่ทำให้เนื้อนิ่มขึ้น ภาษาฝรั่งเรียก (Tenderize) แต่หากไม่มีลูกสาลี่จริงๆ ให้ใช้ผลไม้ที่แทนได้คือ Kiwi หรือ สัปปะรด แต่ต้องลดปริมาณลงจากลูกแพรเพราะ 2 ตัวนี้สาร enzyme แรงกว่าลูกแพร

ส่วนผสมสำหรับทำเมนูบลุโกกิ

  1. เนื้อวัว หั่นเป็นชิ้นบางๆ 1 ถ้วย (หั่นเนื้อตามขวางกับลายเนื้อ จะทำให้เนื้อวัวไม่เหนียวเป็นเส้น)
  2. หอมหัวใหญ่ ซอยเป็นเส้น 1 ลูก
  3. สัปปะรดบด 2 ช้อนโต้ะ
  4. ต้นหอม ซอยหยาบๆ 1 ต้น
  5. ขิง บด 2 ช้อนโต้ะ
  6. กระเทียม บด 2 ช้อนโต้ะ (ใช้กระเทียมเม็ดใหญ่ เป็นกระเทียมจีน เนื่องจากกลิ่นของกระเทียม ไม่แรงเกินไป เหมาะสำหรับหมักเนื้อวัว)
  7. น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนโต้ะ
  8. ซอสถั่วเหลือง 2 ช้อนโต้ะ
  9. พริกไทยบด 1 ช้อนโต้ะ (ใช้พริกไทยดำ เนื่องจากพริกไทยดำ เหมาะสำหรับนำมาหมักเนื้อวัว กลิ่นของพริกไทยแรง รสเผ็ดของพริกไทย ช่วยตัดความมันได้ดี)
  10. แครอท หอมใหญ่ ถั่วลันเตา สำหรับย่างกินกับเนื้อย่าง
เนื้อย่างบุลโกกิ

ส่วนผสมสำหรับทำน้ำจิ้มเกาหลี

  1. โคชูจัง (Gochujang) 1 ช้อนโต๊ะ
  2. เต้าเจี้ยวเกาหลี (Doenjang) ½ ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำเชื่อม ½ ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ
  5. งาขาวคั่วเล็กน้อย

ขั้นตอนวิธีการทำเนื้อย่างบลุโกกิ

สำหรับวิธีทำเมนูเนื้อย่างบุลโกกิ (Bulgogi) สูตรที่เรานำมาแนะนำนี้มีขั้นตอนการทำที่ง่ายมากๆเลยค่ะ คุณไม่จำเป็นต้องบินไปกินไกลถึงเกาหลีก็สามารถทำเมนูนี้กินเองที่บ้าน แถมยังอร่อยตามแบบฉบับอาหารปิ้งย่างสไตล์เกาหลีอีกด้วย โดยเนื้อย่างบุลโกกิมีขั้นตอนการทำดังนี้

วิธีทำเมนูเนื้อย่างบุลโกกิ (Bulgogi)

  1. เริ่มต้นด้วยการทำซอสบุลโกกิไว้หมักเนื้อวัว โดยใส่ส่วนผสม ประกอบด้วย เนื้อวัว หอมใหญ่ซอย ต้นหอมซอย ขิงบด กระเทียมบด น้ำตาลทรายแดง ซอสถั่วเหลือง พริกไทยดำบด และสัปปะรดบด ผสมกันแล้วใส่เนื้อวัวลงไปหมักใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
  2. เตรียมทำน้ำจิ้มเกาหลี โดยใส่ส่วนผสมประกอบด้วย โคชูจัง เต้าเจี้ยวเกาหลี น้ำเชื่อม น้ำมันงา และงาขาวคั่ว ลงในภาชนะผสม แล้วคนให้เข้ากัน พักไว้
  3. เตรียมตั้งเตาย่าง อย่าให้ไฟร้อนเกินไปให้ใช้ไฟปานกลาง จากนั้นนำเนื้อวัวที่หมักแล้ว และผักสด ไปย่าง ให้สุกตามใจชอบของผู้ย่างเลยค่ะ
  4. พร้อมเสิร์ฟเนื้อย่างบุลโกกิ ทานคู่กับน้ำจิ้มเกาหลีอร่อยสุดๆเลยค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะทุกคนสำหรับเมนูเนื้อย่างบุลโกกิ (Bulgogi) บอกเลยว่าเมนูนี้ถือเป็นเมนูอันดับต้นๆที่ใครไปเที่ยวเกาหลีต้องได้ลิ้มลองสักครั้ง นอกจากนี้คุณสามารถโรยแต่งหน้าบุลโกกิ (Bulgogi) ด้วยหัวหอมสับเล็กๆ และ งาขาวคั่วได้ค่ะ และเรามีวิธีทานแบบเกาหลีแท้ๆมาฝาก นั่นก็คือ ให้วางเนื้อย่างบุลโกกิ ไว้บนผัก แปะด้วยซอสเกาหลีเล็กน้อยที่เรียกว่า ซัมจัง (Ssamjang) ซึ่งทำมาจากการผสม มิโซะ โคชูจัง น้ำเชื่อม แล้วห่อเอาเข้าปากได้เลยค่ะ หรือจะทานบุลโกกิ กับข้าวก็ดีมากๆเลยค่ะ

Categories
อาหารไทย

แกงเทโพหมู แกงรสชาติเผ็ดแซ่บฉบับไทย หอมอร่อยมันกะทิ

แกงเทโพหมู

ใครที่ชื่นชอบแกงเผ็ดใส่กะทิไม่ควรพลาดเมนูอาหารไทยพื้นบ้านที่เรานำมาแนะนำวันนี้แน่นอนค่ะ เพราะเมนูอาหารที่เรานำมาแนะนำนี้เป็นเมนูอาหารแกงกะทิอีกหนึ่งอาหารจานโปรดของใครหลายๆคน นั่นคือแกงเทโพหมู เป็นแกงเผ็ดชนิดหนึ่งที่ใส่กะทิ ผักบุ้งและหมูสามชั้นเป็นส่วนประกอบหลัก ถ้าย้อนกลับไปดูสูตรดั้งเดิมแกงเทโพนั้นต้องใส่ปลาเทโพเท่านั้น ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดที่สามารถพบเห็นได้หลายพื้นที่ของประเทศไทย แต่ปัจจุบันนิยมใส่หมูสามชั้นเพราะหาซึ่งได้ง่ายกว่า แกงเทโพนี้เป็นแกงกะทิรสเข้มข้น มีรสชาติออกเปรี้ยวจากมะขามเปียกตัดความมันของกะทิ เค็มนำ และหวานเล็กน้อย เป็นรสชาติความอร่อยที่มีความสมดุลและลงตัวมากๆเลยค่ะ แถมกลิ่นหอมมันจากกะทิอีกด้วยค่ะ ยิ่งได้ทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆยิ่งอร่อยฟินสุดๆเลยค่ะ สำหรับวิธีการทำเมนูแกงเทโพหมูนี้ก็ง่าย ไม่ยุ่งยาก สามารถทำกินเองได้ที่บ้าน จะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้างมาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูแกงเทโพหมู

แกงเทโพสามารถเลือกใส่เนื้อสัตว์ได้หลายอย่างตามความชอบ เช่น แกงเทโพปลาเค็ม แกงเทโพไก่ เป็นต้น สำหรับแกงเทโพหมูที่เรานำมาแนะนำนี้เป็นสูตรที่มีส่วนผสมทั้งหมด 2 ส่วน คือ ส่วนผสมแกงเทโพหมู และส่วนผสมพริกแกงเทโพ ส่วนเคล็ดลับความอร่อยของเมนูนี้คือ การเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ และ การปรุงรสชาติ แต่ตอนที่จะไปดูขั้นตอนการทำแกงเทโพหมู เรามาดูส่วนผสมของเมนูนี้กันเลยค่ะ

ส่วนผสมสำหรับทำเมนูแกงเทโพหมู

  1. มะพร้าวขูดประมาณ 500 กรัม (คั้นให้ได้หัวกะทิ 1 ถ้วย และน้ำกะทิ 3 ½ ถ้วย)
  2. ผักบุ้งไทยยอดอ่อน 1 กำ
  3. หมูสามชั้น 200 กรัม
  4. น้ำมะขามเปียกประมาณ 4 – 5 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำตาลปี๊บ ½ ช้อนโต๊ะ
  6. น้ำปลาประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ
  7. เกลือป่น 2 หยิบมือ
  8. มะกรูด 1 ลูก
  9. ใบมะกรูด 4 – 5 ใบใหญ่

ส่วนผสมสำหรับทำพริกแกงเทโพ

  1. พริกแห้ง 10 เม็ด
  2. ข่า 3 แว่น
  3. ตะไคร้หั่นฝอย 2 ต้น
  4. ผิวมะกรูด 1 ช้อนชา
  5. พริกไทยเม็ด 10 เม็ด
  6. หอมแดง 3 หัว
  7. กระเทียม 5 กลีบ
  8. รากผักชีหั่น 3 ต้น
  9. กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
  10. เกลือเม็ด 1 ช้อนชา
แกงเทโพหมู

ขั้นตอนวิธีการทำแกงเทโพหมู

เมนูอาหารแกงเทโพ เป็นอีกหนึ่งเมนูขึ้นชื่อของอาหารไทย ที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างมาก สำหรับวิธีทำเมนูแกงเทโพหมูนี้ สามารถทำตามได้ง่ายๆที่บ้าน ซึ่งสูตรที่เรานำมาแนะนำนี้เป็นสูตรโบราณที่แต่ละขั้นตอนการทำเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับคนอยากทำแกงเทโพหมูกินเองที่บ้าน หรือคนที่เริ่มทำเมนูแกงเทโพหมูครั้งแรก โดยมีขั้นตอนการทำดังนี้

  1. เริ่มต้นทำน้ำพริกแกงก่อน ด้วยการนำพริกแห้งมาแช่น้ำให้นุ่ม แล้วนำไปโขลกกับเกลือเม็ดพอแหลก
  2. ใส่ข่า ผิวมะกรูด รากผักชีและพริกไทยเม็ดลงไป โขลกให้ละเอียด แล้วใส่หอมแดง กระเทียมและกะปิ โขลกส่วนผสมทุกอย่างให้ละเอียด เนียนเข้ากันดี
  3. เตรียมเครื่องปรุง โดยนำหมูสามชั้นมาล้างทำความสะอาด หั่นเป็นชิ้นหนาประมาณ 0.5 เชนติเมตร นำลูกมะกรูดผ่าครึ่ง เอาเมล็ดออก ส่วนใบมะกรูดเลือกใช้ใบแก่หน่อยจะได้มีกลิ่นหอม ล้างน้ำแล้วฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ เตรียมไว้
  4. นำผักบุ้งมาตัดส่วนโคน เลือกเฉพาะส่วนที่ยังอ่อน ล้างน้ำสะอาด เลือกใบเสียออกให้หมด จากนั้น หั่นเป็นท่อน แช่น้ำเตรียมไว้
  5. ตั้งกระทะใช้ไฟกลาง แล้วเทหัวกะทิลงไปในกระทะครึ่งหนึ่ง รอให้กะทิเดือดและแตกมัน ระหว่างนี้หมั่นคนเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้กะทิจับตัวกันเป็นก้อน
  6. พอกะทิแตกมันดีแล้ว ใส่พริกแกงที่เตรียมไว้ลงไปประมาณ 1 ขีด แล้วยีพริกแกงให้เข้ากับกะทิ ผัดไปเรื่อยๆ ถ้าแห้งให้เติมน้ำหางกะทิลงไป จนเริ่มส่งกลิ่นหอม และแตกมันสวยงาม
  7. พอพริกแกงแตกมันใส่หมูสามชั้นลงไป ผัดหมูให้เข้ากับพริกแกง พอหมูเริ่มจะสุก ค่อยๆเทหางกะทิ ที่เหลือลงไป
  8. จากนั้นเร่งไฟให้แรงขึ้น ปรุงรสโดยใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก เกลือป่น และน้ำปลา แล้วชิมดู ให้ได้รสชาติที่เปรี้ยวเค็มหวาน จากนั้นตักใส่ถ้วยเสิร์ฟคู่กับข้าวสวยร้อนๆ
  9. พอน้ำแกงเดือดจัด นำเอาผักบุ้งกับลูกมะกรูดที่เตรียมไว้ใส่ลงไป ใช้ตะหลิวกดให้ผักบุ้งจมน้ำแกง จนผักบุ้งสุกดีใส่ใบมะกรูดใส่ลงไป ราดด้วยหัวกะทิที่เหลืออีก ½ ถ้วยลงไป คนให้เข้ากัน รอเดือด อีกครั้งปิดไฟ ตักใส่ชามรับประทานเป็นกับข้าวสวยร้อนๆ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะทุกคนสำหรับเมนูแกงเทโพหมู ซึ่งเมนูนี้นอกจากความอร่อยกลมกล่อม หอม หวาน มัน ยังเป็นมีหนึ่งเมนูที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อร่างกายอย่างกะปิ มีสารอาหารประเภทไขมัน ที่ให้พลังงานความอบอุ่นแก่ร่างกาย กะทิมีประโยชน์ช่วยละลายวิตามินเอ และเนื้อหมูให้โปรตีนและไขมันสูง ส่วนผักบุ้งไทยมีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตา ทำให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยง เป็นประกายสวยงาม แถมยังช่วยบำรุงรักษาเหงือก ฟัน ให้แข็งแรง ช่วยทำให้ผิวสวยมีสุขภาพดีอีกด้วยค่ะ