สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
ปลาทับทิมสามรส
ปลาทับทิมสามรส
Categories
ขนมหวานไทย

ลูกชุบ เมนูขนมฉบับไทยโบราณ สีสันสุดคัลเลอร์ฟูล

ลูกชุบ

เมนูขนมอย่าง ลูกชุบ เมื่อพูดถึงก็คงไม่มีใครไม่รู้จักเพราะไม่ว่าจะไปเดินตลาดหรือห้างสรรพสินค้าก็ต้องมีร้านตั้งเรียงรายอยู่มากมาย ขนมชนิดนี้เรียกได้ว่าเป็นขนมที่โด่งดังมาตั้งแต่สมัยโบราณเลยทีเดียวใครที่ยังไม่เคยลองชิมถือว่าพลาดมาก รสชาติค่อนข้างหอมหวานมันแถมสีสันของรูปลักษณ์ยังสวยสดใสหลากหลายไปด้วยผลไม้นานาชนิดน่ารับประทาน

ลูกชุบ

เมนูขนมชนิดนี้มีส่วนประกอบหลักเป็นถั่วเขียวกวนและใช้ฝีมืออย่างมากในการลงมือทำแต่ละชิ้น ต้นกำเนิดของขนมชนิดนี้คือประเทศโปรตุเกสใช้เมล็ดอัลมอนด์มาบดให้ละเอียดแล้วนำไปกวน แต่ทางประเทศไทยวัตถุดิบอย่างอัลมอนด์หาได้ค่อนข้างยากและมีราคาแพงจึงนำถั่วเขียวมาทำเป็นส่วนผสมหลักแทนได้ทั้งรสชาติอร่อยแถมราคายังถูกลงอีกด้วย

ลูกชุบ เมนูขนมชื่อดังเต็มไปด้วยวัตถุดิบไทยอย่างมากมาย

เมื่อพูดถึงวัตถุดิบของเมนูชนิดนี้หลาย ๆ คนอาจจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นการนำเมล็ดถั่วเขียวไปปั่นแล้วนำมากวนตามลำดับ ถูกต้องแล้วค่ะตามประวัติลูกชุบแล้วเมนูนี้มีส่วนประกอบหลักคือถั่วเขียนไม่มีเปลือก สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดหรือห้างสรรพสินค้าทั่ว ๆ ไปแถมราคายังค่อนข้างถูกเอามาก ๆ 

ลูกชุบ

การจะทำลูกชุบให้อร่อยได้ต้องพึ่งพาปัจจัยในหลาย ๆ อย่าง ตั้งแต่กระบวนการนึ่งถั่วเขียวไปจนถึงการปั้นออกมาให้เกิดรูปร่างที่สวยงามน่ารับประทาน การนำถั่วไปนึ่งต้องคอยเช็คอย่างสม่ำเสมอว่าเมล็ดถั่วสุกดีแล้วหรือไม่เพราะถ้าหากสุกไม่ทั่วกันเนื้อสัมผัสของขนมจะแข็งกระด้างไม่อร่อย

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในวิธีทำลูกชุบก็คือการเลือกใช้สีผสมอาหาร ถ้าหากใครมีสีผสมอาหารที่สกัดมาจากธรรมชาติก็จะดีมาก ๆ หรือหากใครไม่มีก็ต้องเลือกสรรสีผสมอาหารที่ได้คุณภาพเพราะสีที่ราคาถูกหน่อยเมื่อกินเข้าไปนานาอาจจะไปสะสมอยู่ในร่างกายทำให้ไม่ปลอดภัยได้

ขั้นตอนการรังสรรค์ลูกชุบให้เหมือนฉบับไทยโบราณ

เมนูขนมหวานไทยชนิดนี้แต่ละที่ก็จะมีวิธีที่แตกต่างกันออกไป ถึงแม้ว่ากระบวนการทำและวัตถุดิบจะไม่ได้เยอะอะไรมากมายแต่ก็ต่างมีเคล็ดลับที่ไม่เหมือนกัน จากที่เราได้ทำการศึกษาเรื่องขนมไทยมาอย่างยาวนาน วันนี้เราจึงนำสูตรที่คิดว่าอร่อยกลมกล่อมมากที่สุดมาฝากทุกคนกันค่ะ หากใครกำลังมองหากิจกรรมยามว่างหรือกำลังจะหารายได้เสริมเมนูนี้ก็เหมาะมาก ๆ เช่นเดียวกัน ถ้าพร้อมแล้วตามไปชมกันเลยค่ะ

ลูกชุบ

ส่วนผสมหลัก

  1. ถั่วเขียวกะเทาะเปลือก 500 กรัม
  2. หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
  3. น้ำตาลทราย 310 กรัม
  4. สีผสมอาหาร (สีใดยี่ห้อใดก็ได้ตามชอบ)
  5. ผงวุ้น

วิธีการทำ

ลูกชุบ
  1. ตั้งหม้อซึ้งแล้วรองด้วยผ้าขาวบางในชั้นที่มีรู เมื่อน้ำเดือดได้ที่แล้วให้นำเมล็ดถั่วเขียววางกระจายให้ทั่วซึ้ง หมั่นคอยเช็คอยู่บ่อย ๆ เพื่อไม่ให้ถั่วเขียวดิบหรือเละจนเกินไป
  2. เมื่อถั่วเขียวสุกดีแล้วให้นำไปใส่โถปั่นพร้อมกับหัวกะทิและน้ำตาลทราย ปั่นจนทุกอย่างเข้ากันเป็นอย่างดีและเนื้อเนียนละเอียดไม่มีถั่วเขียวเป็นเมล็ดปะปนอยู่
  3. นำส่วนผสมที่ปั่นละเอียดแล้วเทใส่ลงในกระทะเพื่อกวน กวนจนสามารถปั้นถั่วเขียวเป็นลูกได้ เมื่อเสร็จแล้วให้นำขึ้นมาพักเอาไว้โดยให้ผ้าขาวบางคลุม
  4. นำสีผสมอาหารที่เตรียมไว้มาผสมกับน้ำ โดยแยกสีละถ้วย จะทำไปรูปแบบไหนก็ใช้สีตามที่ชอบได้เลยค่ะ
  5. ทำการปั้นถั่วกวนให้ออกมาเป็นรูปแบบตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ผัก หรือสัตว์ต่าง ๆ ก็จัดเลยค่ะ
  6. เมื่อทำการปั้นเรียบร้อยแล้วของหวานไทยชนิดนี้ค่อนข้างที่จะประณีตก็ตรงที่การทาสีลงไปให้เหมือนของจริง ให้ทำการทาสีสัก 2-3 รอบเพื่อให้สีสันสวยงาม
  7. ตั้งน้ำให้เดือดแล้วนำผงวุ้นใส่ลงไปคนจนกว่าผงวุ้นจะละลาย แล้วนำถั่วกวนที่ทาสีเอาไว้มาจุ่ม แล้วนำไปผึ่งลมจนแห้ง ทำซ้ำแบบนี้ 2-3 รอบเช่นเดียวกันเพื่อความน่ารับประทาน

เมนูขนมแบบไทยโบราณจะกินกี่ครั้งก็ยังคงความอร่อย

ลูกชุบ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับวิธีการทำขนมลูกชุบวัตถุดิบน้อยแถมวิธีทำก็ไม่ยุ่งยากเลยใช่ไหมคะ หากว่าใครกำลังหาอาชีพเสริมสามารถนำสูตรนี้ไปประยุกต์ใช้ได้เลยนะคะจะขายที่ตลาดก็เวิร์คหรือจะขายในโลกออนไลน์ก็เลิศไม่แพ้กัน ขนมชนิดนี้จะทำกินอีกกี่ครั้งก็ยังคงความอร่อยอยู่ตลอดเลยล่ะค่ะ

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
อาหารนานาชาติ

โอเด้ง เมนูอาหารสุดพิเศษ ที่อร่อยลงตัวจนต้องลงมือทำเอง

โอเด้ง

ถ้าหากพูดถึงเมนู โอเด้ง ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้จักและเคลิ้มลองมาบ้าง แต่ก็ยังคงมีผู้คนอีกจำนวนมากที่ยังสงสัยว่าเมนูนี้คืออะไร จริง ๆ แล้วเมนูอาหารชนิดนี้เป็นอาหารต้ม ๆ ชนิดหนึ่ง ที่คนญี่ปุ่นนิยมทำทานกันในช่วงฤดูหนาว มักจะนำหัวไชเท้า ไข่ และลูกชิ้นปลามาต้มในน้ำซุปที่ผสมผสานระหว่างสาหร่ายคมบุและซอสโชยุ รสชาติหอมอร่อยแบบลงตัว

โอเด้ง

แต่เดิมแล้วเมนูอาหารชนิดนี้ถูกทำมาจากเต้าหู้ที่ถูกนำมาตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม ผืนผ้า แล้วนำไปทาด้วยซอสมิสุ จึงเรียกว่าเมนูเด็งกากุ จนเมื่อเวลาผ่านไปได้มีการรวบรวมคำว่าโอะและเด็กกากุเข้าด้วยกัน ก็กลายเป็นที่มาของชื่ออาหารชนิดนี้ ซึ่งกระบวนการ วิธีการทำ เคล็ดลับ ส่วนผสมก็จะแตกต่างออกไปตามแต่พื้นที่ บางที่จะใช้โชยุแบบเข้มข้นบางส่วนบางที่อาจจะใช้โชยุแบบเจือจางลงมาหน่อย หรือบางที่อาจจะใส่เนื้อปลาแห้ง เนื้อไก่ ลงไปในน้ำซุปด้วยเพื่อเพิ่มความอร่อยมากยิ่งขึ้น

วัตถุดิบท้องถิ่นญี่ปุ่นที่นำมาทำให้ โอเด้ง อร่อยมากกว่าที่ไหน ๆ

โอเด้ง

เมื่อพูดถึงวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในการทำเมนูชื่อดังชนิดนี้ แต่ละพื้นที่ในญี่ปุ่นก็จะมีส่วนผสม วิธีการทำ เคล็ดลับต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเมนูนี้จะสามารถหาทานได้อย่างง่ายดายในช่วงฤดูหนาว แต่ร้านอาหารบางร้านก็มีขายในทุก ๆ ฤดูเลยนะ แต่ถ้าได้ซดน้ำซุปร้อน ๆ ท่ามกลางหิมะกำลังตกคงจะได้บรรยากาศแบบสุด ๆ หรือถ้าใครกำลังคิดอยู่ว่าโอเด้งซื้อที่ไหนเราขอบอกเลยว่าตามร้านสะดวกซื้อใหญ่ ๆ ก็มีโอเด้งสำเร็จรูปจำหน่ายเช่นเดียวกันจ้า

โอเด้ง

เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวร้านอาหารชนิดนี้ก็เรียงรายเต็มไปหมดของสองข้างถนนในประเทศญี่ปุ่นซึ่งแน่นอนค่ะว่าอาหารญี่ปุ่นชนิดนี้เป็นที่นิยมเอามาก ๆ ของคนญี่ปุ่นและคนชาติอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน ส่วนผสมหลักของแต่ละร้านก็คงจะหนีไม่พ้นวัตถุดิบท้องถิ่นอย่าหัวไชเท้า ไข่ บุกคอนเนียคุ สาหร่ายคอมบุ ซึ่งในแต่ละสถานที่ทางญี่ปุ่นอาจจะใส่วัตถุดิบเสริมเพิ่มเติมเพื่อให้รสชาติและความอร่อยลงตัวมากยิ่งขึ้น

เมนูแสนอร่อยประจำฤดูหนาวของชาวญี่ปุ่น ใครก็สามารถทำได้

โอเด้ง

วิธีทำโอเด้งที่เป็นเมนูอาหารยอดฮิตชนิดนี้มักจะแตกต่างกันออกไปตามแต่พื้นที่ ส่วนผสมในการใส่ลงไปในน้ำซุปยังหลากหลายต่างกันอีกด้วย แค่เปลี่ยนพื้นที่รสชาติของเมนูนี้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ทางตะวันออกของญี่ปุ่นจะเน้นใช้โชยุที่มีความเข้มข้นและใส่ลงไปจำนวนมาก ส่วนทางตะวันตกจะใช้โชยุที่มีความเจือจางใส่ลงไปไม่มากเท่าไรนัก บางที่สูตรโอเด้งอาจจะใส่เนื้อไก่หรือปลาแห้งลงไปด้วยเพื่อความหอม วันนี้ทางเว็บไซต์ของเราได้ทำการค้นหาสูตรที่ดีที่สุดมาฝากทุกคนกันค่ะ เตรียมวัตถุดิบแล้วไปลุยกันเลย

วัตถุดิบและส่วนผสม

  1. สาหร่ายคอมบุ 3 แผ่น
  2. น้ำเปล่า 9 ถ้วย
  3. ปลาแห้ง 15 กรัม
  4. น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
  5. ซีอิ๊วญี่ปุ่น 3 ช้อนโต๊ะ
  6. มิริน 3 ช้อนโต๊ะ
  7. เกลือ 1 ช้อนชา
  8. สาเก 5 ช้อนโต๊ะ
  9. ไชเท้าหั่นแว่นใหญ่ 8 ชิ้น
  10. ลูกชิ้นปลาญี่ปุ่นสามารถใส่ได้ตามชอบ
  11. บุกคอนยัคตามชอบ
  12. ไข่ต้มซีอิ๊วตามชอบ
โอเด้ง

วิธีทำ

  1. นำสาหร่อยคอมบุไปแช่ในน้ำราว ๆ 30 นาที เมื่อครบตามเวลาแล้วให้นำขึ้นไปตั้งไฟกลาง
  2. เมื่อน้ำในหม้อเริ่มเดือดเล็กน้อยให้ตักสาหร่ายออกแล้วทำการใส่ปลาแห้งลงไปจากนั้นให้ลดไฟลง
  3. เมื่อครบ 10 นาทีแล้วทำการตักปลาแห้งออกจากหม้อ ปรุงรสชาติด้วยเกลือ สาเก มิริน ซีอิ๊วญี่ปุ่น น้ำตาลทราย เมื่อน้ำเริ่มเดือดแล้วจึงใส่หัวไชเท้าหั่นแว่นลงไป
  4. เมื่อหัวไชเท้าสุกได้ที่แล้วให้ทำการใส่บุกลงไปสักพัก แล้วจึงใส่ลูกชิ้นปลาทั้งหลายตามลงไป 

ยกระดับความเป็นอาหารพื้นบ้าน สู่อาหารชื่อดังของญี่ปุ่น

โอเด้ง

การทำโอเด้งง่ายมาก ๆ เลยใช่ไหมคะ หากใครที่ชอบทานอาหารนานาชาติของญี่ปุ่นเมนูนี้ก็นับเป็นอีกเมนูหนึ่งที่สามารถทำรับประทานได้อย่างง่ายดาย หรือถ้าหากว่าใครยังไม่เคยลองทานต้องลองสักครั้งนะคะ บอกเลยว่าทุกคนจะติดใจกับเมนูแสนอร่อยชนิดนี้

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมเบเกอรี่

ทาร์ตไข่ รสกลมกล่อม เนื้อเนียน อร่อยจริง ๆ

ทาร์ตไข่

ทาร์ตไข่ หอมเนยยั่ว ๆ อร่อยทุกครั้งเวลาที่ได้ลิ้มลอง วันนี้เรามีสูตรการทำง่ายๆมาแจก แต่จะอร่อยกว่า สูตรทาร์ตไข่ kfc หรือไม่ ต้องลอง

ส่วนผสม ทาร์ตไข่ 

ทาร์ตไข่เมนูขนมหวานฮิตติดลมบน ตามร้านเบเกอรี่นิยมทำขายให้กับผู้ที่ชื่นชอบในการรับประทานขนมเมนูนี้ ด้วยกลิ่นหอม ๆ จากเนยสดและไข่แดงที่ผ่านการอบมาแล้วเป็นอย่างดี ก็ยิ่งทำให้การกัดกินขนมเมนูนี้ เป็นที่ชื่นชอบมากขึ้น ทำให้ แอดมินไม่รอช้า ขอนำเสนอแนวทางการทำดังนี้

ทาร์ตไข่

และคำถามที่ว่า ถ้าจะซื้อทาร์ตสำเร็จรูปและคาราเมลราดสำเร็จรูปมาจากร้านจำหน่ายอุปกรณ์เบเกอรีรวมถึงร้านค้าส่งขนาดใหญ่ เป็นความคิดที่ดีหรือเปล่า ? ถ้าจะซื้อมา ก็ไม่ผิด เพราะจะทำให้ ทาร์ตไข่ มีขั้นตอนการทำที่น้อยลงมาอีก

วัตถุดิบในการทำทาร์ตไข่

ส่วนผสม แป้งพาย

  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1+1/2 ถ้วยตวง
  •  น้ำมันหมู 1/4 ถ้วยตวง
  •  เนยสด 1/4 ถ้วยตวง
  •  เกลือ 1/2 ช้อนชา
  •  น้ำตาลไอซิ่ง 2 ช้อนโต๊ะ
  •  ไข่แดง 1 ฟอง
  •  น้ำเปล่า 1-2 ช้อนโต๊ะ
ทาร์ตไข่

ส่วนผสม ไส้คัสตาร์ด

  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1+1/2 ถ้วยตวง
  • น้ำมันหมู 1/4 ถ้วยตวง
  • เนยสด 1/4 ถ้วยตวง
  • เกลือ 1/2 ช้อนชา
  • น้ำตาลไอซิ่ง 2 ช้อนโต๊ะ
  • ไข่แดง 1 ฟอง
  • น้ำเปล่า 1-2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

ขั้นตอนที่ 1 แป้ง เกลือ น้ำตาลไอซิ่ง นำมาผสมเข้าด้วยกัน

ขั้นตอนที่ 2 ทำหลุมแป้งเป็นบ่อตรงกลางไว้ ใส่น้ำมันหมู จากนั้นคลุกเคล้าให้เข้ากันหรือจะซื้อ ทาร์ตไข่ สำเร็จรูป

ขั้นตอนที่ 3 แป้งทาร์ตไข่

นำเนยสดมาตัดให้เป็นขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ตามด้วยไข่แดง แล้วเทน้ำเย็นจัดลงไป ตะล่อมส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน นำแป้งไปพักไว้ที่ตู้เย็น 2 ชั่วโมง

ขั้นตอนที่ 4 นำกะละมังที่ใหญ่กว่าโถผสม ตั้งไฟ 

ขั้นตอนที่ 5 นำไข่และน้ำตาลลงในโถที่วางอยู่บนกะละมังที่ร้อนจัด คนให้ส่วนผสม ละลายเข้ากัน ตามด้วยนมสดรสจืด วานิลลา เกลือ

ทาร์ตไข่

ขั้นตอนที่ 6 กรองครีมคัสตาร์ดด้วยกระชอน เพื่อเพิ่มความเนียนให้กับครีมคัสตาร์ด จากนั้น พักครีมคัสตาร์ดจนเนื้อเย็น

ขั้นตอนที่ 7 นำแป้งพายมากรุในถ้วย ให้ขอบแป้งสูงกว่าขอบถ้วยขึ้นมาเล็กน้อย แล้วนำไส้คัสตาร์ดที่เตรียมไว้มาหยอดในถ้วย

ขั้นตอนที่ 8 วอร์มเตา 220 องศา เปิดไฟบนล่าง จากนั้นถึงนำทาร์ตไปอบ ใช้เวลาอบ 20 นาที แป้งก็สุกแล้ว ในส่วนน้ำเชื่อมคาราเมลทาหน้าทาร์ตไข่ สามารถซื้อสำเร็จรูป โดยนำน้ำเชื่อมคาราเมลทาหน้าทาร์ตไข่ จากนั้น เข้าเตาอบอีกครั้ง ใช้แต่ไฟบน หน้าขนมก็สุกแล้ว เตรียมรับประทานได้

ทาร์ตไข่

ทาร์ตไข่เมนูขนมเบเกอรี่อร่อย ๆ กินคู่กับชาร้อน ช่างแสนสุขใจนัก ใครอยากเข้าครัว ลองทำด้วยตัวเองสักครั้ง บอกเลย สูตรนี้สามารถทำได้ ทำแล้วอร่อย จนต้องกินซ้ำ

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
อาหารไทย

ต้มแซ่บ อร่อยยกกำลัง 10 ซดร้อน ๆ อร่อยถึงใจ

ต้มแซ่บ

ต้มแซ่บ เมนูอาหารอีสาน ซดร้อน ๆ แซ่บซี้ดซ้าด ถ้าอยากรู้ว่า ต้มแซ่บใส่อะไรบ้าง ก็มาดูได้ในบทความ ทำไม่ยาก อยากทำเป็น ต้องติดตาม!

ส่วนผสมในการทำ ต้มแซ่บ

ต้มแซ่บ

ต้มแซ่บเมนูอีสานที่ค่อนข้างได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และร้านอาหารอีสานทุกร้าน จะมีเมนูนี้ภายในร้าน เอาไว้ให้ลูกค้าสั่งเสริม กินคู่กับส้มตำและเมนูอีสานอื่น ๆ ในส่วนของการทำนั้น ก็ไม่ได้แตกต่างจากการทำเมนูต้มยำสักเท่าไหร่ ทั้งที่แท้จริงแล้ว เป็นคนละเมนู และเพื่อน ๆ จะรู้คำตอบในบทสรุปของการทำว่า อะไรคือความแตกต่างระหว่างต้มยำกับเมนูที่กำลังกล่าวถึงอยู่ในขณะนี้ ?

วัตถุดิบต้มแซ่บ

ต้มแซ่บ

ส่วนประกอบน้ำซุป

  • น้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์หรือยี่ห้อใดก็ได้ 5 ถ้วยตวง
  • กระดูกหมูอ่อน 300 กรัม
  • ข่าแก่ 2 กรัม
  • ตะไคร้ 15 กรัม (2 ต้น)
  • ใบมะกรูดฉีก 5 ใบ
  • ผงปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือป่น 1 ช้อนชา 
ต้มแซ่บ

ส่วนประกอบเครื่องปรุงรส

  • พริกขี้หนูสวน 10 เม็ด (ปรับลดได้ตามต้องการ)
  • น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ
  • ข้าวคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมะนาว 5 ช้อนโต๊ะ
  • พริกป่น (ปรับลดได้ตามต้องการ)
  • ต้นหอมซอย / ผักชีฝรั่งซอย แล้วแต่เรา

หมายเหตุ : ข้าวคั่วซื้อสำเร็จรูปหรือจะทำเอง โดยการนำข้าวสารที่ยังไม่หุง เอามาตำให้เมล็ดข้าวแตก จากนั้นนำไปคั่วในกะทะร้อน ๆ กระทั่งได้กลิ่นหอม ก็นำมาใช้งานได้

วิธีทำ

ต้มแซ่บ

ขั้นตอนที่ 1 การจะทำต้มแซ่บ ให้อร่อยนั้น เริ่มจากการเตรียมน้ำซุป เอาไว้สำหรับทำ ต้มแซ่บกระดูกอ่อน เพราะถ้าปรุงน้ำซุปให้อร่อยตั้งแต่ต้น เราก็จะได้น้ำซุปสำหรับซดร้อน ๆ คล่องคอ มากินคู่กับคอหมูย่าง หรือ ส้มตำได้ เริ่มจาก เทน้ำสะอาดลงในหม้อที่กำลังตั้งไฟ เติมผงปรุงรส ลงไปในหม้อรวมถึงเกลือป่น เพราะเกลือป่นจะไปเพิ่มความหอมให้กับการเตรียมน้ำซุป

ขั้นตอนที่ 2 รอกระทั่งน้ำเดือด นำกระดูกอ่อน ต้มลงในหม้อ ระหว่างนั้น ก็คอยช้อนฟองสีขาวออกให้หมด

ขั้นตอนที่ 3 กระทั่งช้อนฟองขาวจนหมด ให้ลดความแรงของไฟลงมา ต้มต่อไปจนกระดูกหมูเปื่อย แล้ว ค่อย เติมข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดที่ได้นำมาฉีก จัดการปรุงรสที่ชอบได้เลย 

ขั้นตอนที่ 4 มาถึงขั้นตอนสำคัญ ปรุงรสอย่างไรให้อร่อยเหมือน ต้มแซ่บไก่ แต่เปลี่ยนวัตถุดิบมาเป็นกระดูกอ่อน ทำได้โดยการ เหยาะน้ำปลา พริกขี้หนูสวน ข้าวคั่ว ตามด้วยพริกป่น จากนั้น ปิดไฟได้เลย แล้วถึงค่อยเติมน้ำมะนาว โรยผักชีฝรั่งซอยและต้นหอมซอย ตักซุปขึ้นมาจากหม้อ ก็รับประทานได้แล้ว

ต้มแซ่บ

ต้มแซ่บมีความคล้ายต้มยำ ทว่า ไม่ใช่ เพราะถ้าเป็นต้มยำ จะไม่มีการใส่ข้าวคั่วเป็นอันขาด เพราะต้มยำนั้น จะเน้นไปที่การใส่น้ำพริกเผาตามด้วยนม ก็จะเป็นต้มยำน้ำข้น แต่ถ้าไม่ใส่น้ำพริกเผา ก็จะเป็นต้มยำน้ำใส แตกต่างจากต้มแซ่บที่ต้องมีส่วนผสมของข้าวคั่ว ทำให้เมนูต้มเมนูนี้ มีกลิ่นหอม ทั้งจากน้ำมะนาวสด รวมถึง กลิ่นข้าวคั่ว เหมาะสำหรับซดร้อน ๆ ในช่วงหน้าฝนหรือหน้าหนาว กินกับอะไรก็อร่อย 

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
อาหารไทย

ข้าวหน้าไก่ ข้น ๆ อร่อย กินได้ทุกคน 

ข้าวหน้าไก่

ข้าวหน้าไก่ สูตรเด็ดที่อร่อยเทียบเท่า สูตรข้าวหน้าไก่ฉบับราชวงศ์ อยากรู้ต้องทำแบบไหน เอาเคล็ดลับดี ๆ จากเราไปได้เลย

ข้าวหน้าไก่ ส่วนผสมในการทำ

ข้าวหน้าไก่

ข้าวหน้าไก่เมนูที่กินได้ทุกเพศทุกวัย ทั้งเด็ก คนทำงาน และผู้สูงวัย เป็นเมนูอาหารที่สามารถทำเองได้เลย เพราะส่วนประกอบหลัก เป็นเนื้อไก่ จะเลือกสะโพกไก่ หรือเนื้อตรงบริเวณสันใน อยู่ที่ว่า จะเลือกเนื้อส่วนใด? ซึ่งการทำเมนูดังกล่าว ใช้วัตถุดิบน้อย และสามารถหาซื้อจากตลาดนัดได้เลย

วัตถุดิบข้าวหน้าไก่

ข้าวหน้าไก่

ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบ เน้นวัตถุดิบสดเท่านั้น รสชาติของอาหารเมนูนี้ ถึงจะอร่อย โดยมีวัตถุดิบต้องเตรียมดังนี้

  • น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ๊วดำหวาน 1 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
  • เหล้าจีน 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
  • พริกไทย เล็กน้อย
  • น้ำซุป 2 ถ้วยตวง
  • แป้งมันฝรั่ง 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
  • หนังไก่ 2 ช้อนโต๊ะ
  • พริกชี้ฟ้าสีเขียวและสีแดงหั่นตามขวาง และ ต้นหอม สำหรับทานเป็นเครื่องเคียง

ขั้นตอนการทำ

ข้าวหน้าไก่

ขั้นตอนที่ 1 เตรียมน้ำสต็อคไก่ สำหรับทำ ข้าวหน้าไก่ โดยการนำโครงกระดูกไก่ มาต้มกับรากผักชี กระทียม พริกไทย

ขั้นตอนที่ 2 ชิ้นส่วนที่จะนำมาทำ ข้าวหน้าไก่อบ จะเป็นในส่วนของสะโพก ทำได้โดยการเลาะหนังออกจากชิ้นส่วนสะโพก โดยหนังไก่เก็บไว้ทอดเอาน้ำมัน ในขณะเดียวกันไม่ลืมเลาะเนื้อไก่ออกจากกระดูก นำเนื้อไก่มาหั่นเป็นลูกเต๋า

ขั้นตอนที่ 3 หมักเนื้อไก่ด้วยน้ำตาลทราย ซีอิ้วขาว ซีอิ้วหวาน น้ำมันงา รวมถึงซอสปรุงรสและแป้งมันฝรั่ง หมักทิ้งไว้ 15 นาที เพื่อเตรียม ข้าวหน้าไก่ กินได้อร่อยด้วย

ข้าวหน้าไก่

ขั้นตอนที่ 4 นำหนังไก่ที่เราเลาะออกมาจากส่วนสะโพก ทอดเอาเฉพาะน้ำมัน จากนั้น นำหนังไก่ออกมาจากกะทะ นำเนื้อไก่หั่นเต๋าไปผัด

ขั้นตอนที่ 5 รอกระทั่งไก่เปลี่ยนสี เติมน้ำสต็อคที่เตรียมไว้ ผัดให้เข้ากัน เพิ่มซีอิ้วดำหวานเพื่อสีสันที่สวยงาม ตามด้วยเหล้าจีน ทำให้รสชาติและสีสันเข้มข้นขึ้นสักเล็กน้อย เพราะต้องนำไปกินรวมกับข้าวสวย

ขั้นตอนที่ 6 จากนั้นรอกระทั่งส่วนประสมทั้งหมดเข้ากันและเดือด ต้องการทำให้ส่วนผสมของไก่ข้นและเหนียว เท แป้งมันฝรั่ง ในลักษณะค่อย ๆ เท กระทั่งเหนียวข้น ก็ให้เลิกเทแป้ง

ข้าวหน้าไก่

ขั้นตอนที่ 7 ตักไก่ราดบนข้าวที่เตรียมไว้ใส่จาน นำต้นหอมกับพริกชี้ฟ้าเขียวและแดงมาตกแต่งจาน เตรียมรับประทานได้เลย

ข้าวหน้า ไก่ เมนูที่ทำมาจากไก่ เต็มไปด้วยประโยชน์ ทั้งจากโปรตีนจากไก่ การเลาะหนังไก่ออกแล้วเอาเฉพาะเนื้อ สำหรับผู้ที่กำลังจะควบคุมน้ำหนัก เมนูนี้เหมาะสมยิ่งนัก จะซื้อกินหรือทำกิน เอาที่สะดวก ขอเพียงกินแล้วดีต่อใจและสุขภาพก็อร่อยและเพียงพอแล้ว

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมเบเกอรี่

ชูครีม ไส้แน่น อร่อยอุ่น ๆ กินได้เรื่อย ๆ 

ชูครีม

วันนี้เราจะมาแจกสูตรขนมหวานอย่าง ชูครีม ที่คุณสามารถทำตามได้ง่ายๆ แถมสูตรนี้ยังรับประกันความอร่อย ทำออกมาแล้วอร่อยเหมือนที่ร้านแน่นอน

ส่วนผสมในการทำ ชูครีม

ลักษณะของชูครีม จะเป็นลูกกลม ๆ มีไส้อยู่ข้างใน หลายคนเรียกขนมนี้ว่าแอแคล์ แต่จะเรียกแบบไหน ? เรียกตามถนัดได้เลย เพราะกินแล้ว ก็อร่อย เหมือน ๆ กัน โดยวันนี้ มีเคล็ดลับทำขนมมาฝากดังนี้

ชูครีม

ส่วนผสม ไส้คัสตาร์ดครีม

  • นมสด 2 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลทราย (ส่วนที่ 1) 1/4 ถ้วยตวง
  • เกลือป่นหยิบมือ
  • กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
  • ไข่แดง 4 ฟอง เบอร์ 1 
  • น้ำตาลทราย (ส่วนที่ 2) 1/4 ถ้วยตวง
  • แป้งข้าวโพด 1/4 ถ้วยตวง
  • เนยสดชนิดจืด (นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ประมาณ 30 กรัม )
ชูครีม

ส่วนผสมแป้ง ชูครีม

  • น้ำเปล่า 1 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  • เกลือ 1/2 ช้อนชา
  • เนยสด 110 กรัม
  • แป้งอเนกประสงค์ 1 1/4 ถ้วย (ร่อนเตรียมไว้)
  • ไข่ไก่ 4 ฟอง

วิธีทำ

ชูครีม

1.เทนมสดลงในหม้อ ตามด้วยน้ำตาลทรายส่วนที่ 1 ประมาณ ¼ ถ้วย เกลือป่น และกลิ่นวานิลลา จากนั้น นำไปตั้งไฟ ใช้ไฟอ่อน อุ่นพอให้ร้อน แล้วยกลงจากเตาได้เลย

2.แยกไข่แดงมาตีกับน้ำตาลทรายส่วนที่ 2 ประมาณ ¼ ถ้วย ใช้หัวตีตะกร้อตีจนไข่แดงและน้ำตาลเป็นสีเหลือง ในการจะทำชูครีม ให้อร่อย ใส่แป้งข้าวโพด จากนั้น คนผสมให้เข้ากัน

3.เทนมอุ่นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ผสมกับไข่แดงและน้ำตาลที่เราเตรียมไว้ในหัวข้อที่ 2 คนให้เข้ากัน

4.เทส่วนผสมในข้อที่ 3 กลับลงในหม้ออีกครั้งจากนั้นนำไปอุ่นบนเตาอีกครั้ง

ชูครีม

5.ใช้ไฟอ่อน และคอยคนส่วนผสมไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมทั้งหมดดูข้น ไม่ต้องเร่งไฟ เพราะจะทำให้ครีมที่จะนำมาทำชูครีม แอแคล์ ไหม้ได้

6.กวนจนส่วนผสมได้ที่ เทเนยสดลงไปในหม้อ เป็นเนยที่เราหั่นเป็นชิ้น ๆ กวนหรือคนให้เข้ากัน จากนั้น นำพลาสติกถนอมอาหารมาปิดไว้ รอกระทั่งไส้คัสตาร์ดเย็น

7.เทน้ำลงในหม้อ ตามด้วยน้ำตาล เกลือป่น เนยสด ต้มจนเดือด

8.ใส่แป้งที่เราได้ร่อนเอาไว้แล้วลงในหม้อ คนจนส่วนผสมแป้งไม่ไปติดกับหม้อ นำออกมาจากเตา

ชูครีม

9.นำแป้งที่คลายร้อนแล้ว ตามด้วยไข่ไก่ทีละฟอง แล้วคนให้เข้ากัน แล้วตักแป้งใส่ถุงบีบ จัดการบีบออกมาเป็นก้อน ๆ แล้วเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 200 องศา ใช้ทั้งไฟบนไฟล่าง อบ 10 นาที แล้วลดไฟเหลือ 180 องศาเซลเซียส อบต่อ 10 นาที

10.นำขนมออกมาจากเตา พักให้เย็น เจาะรูตรงบริเวณก้นขนม บีบไส้ครีมที่อยู่ในถุงบีบลงในตัวแป้ง ก็เสร็จแล้ว

เชื่อว่าเด็ก ๆ หลายคนน่าจะชอบเมนูนี้ เพราะกินง่าย และยังอร่อยอีกด้วย ใครที่นิยมชมชอบในขนมเบเกอรี อย่าพลาด สูตรนี้ ประกันความอร่อย

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมเบเกอรี่

คุกกี้ สิงคโปร์ อร่อย ทำขายได้ กำไรดี 

คุกกี้ สิงคโปร์

คุกกี้ สิงคโปร์ อร่อยและมีคุณค่า ทำกินเอง อร่อยเท่า คุกกี้สิงคโปร์ เจ้าอร่อย หรือทำขายเป็นอาชีพเสริมก็ได้เช่นกัน

คุกกี้ สิงคโปร์ ส่วนผสมในการทำ

คุกกี้ สิงคโปร์

คุกกี้มีหลายแบบ เช่น คุกกี้เนย คุกกี้บราวนี่ คุกกี้ช็อคโกแลต และนี่เลย คุกกี้สิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งคุกกี้ที่ให้กลิ่นอายของความเป็นคุกกี้ที่หอม กรุบ ๆ อร่อย ได้ประโยชน์จากเม็ดมะม่วงหิมพานต์รวมถึงไข่แดงที่นำมาทาหน้าคุกกี้ เหมาะสมนำมากินในช่วงพักเบรคเป็นอย่างยิ่ง ในส่วนของเหตุผล ทำไมเรียกคุกกี้นี้ว่า คุกกี้สิงคโปร์ มาจาก สมัยก่อน เวลาทำคุกกี้ชนิดนี้ ใช้แป้งมันที่นำเข้าจากสิงคโปร์มาทำคุกกี้ เลยเป็นที่มาของชื่อคุกกี้ ทั้งที่แท้จริงแล้ว ไม่ได้มาจากสิงคโปร์

วัตถุดิบ

  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 340 กรัม
  • แป้งมัน 120 กรัม
  • น้ำตาลไอซิง 160 กรัม
  • เนยจืด 250 กรัม
  • น้ำมันพืช 60 มิลลิลิตร
  • เม็ดมะม่วงหิมพานต์ผ่าครึ่ง 50 กรัม
  • เทียนอบขนม 1 ชิ้น
  • วัตถุดิบไข่แดงสำหรับทาหน้า
  • ไข่แดง 2 ฟอง
  • เกลือป่น ½ ช้อนชา
  • กลิ่นวานิลลา ½ ช้อนชา 

วิธีทำ

คุกกี้ สิงคโปร์

ขั้นตอนที่ 1 เตรียมวอร์มเตา ตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 160 องศาเซลเซียส ทั้งเตาบนเตาล่าง ในระหว่างนั้นเตรียมทำ คุกกี้สิงคโปร์ โดยผสมแป้งกับไข่แดง สำหรับทาหน้า 

ขั้นตอนที่ 2 นำเนยที่เตรียมไว้มาตีจนเนยขึ้นฟู ในส่วนของน้ำตาลไอซิ่ง ให้ทยอยเท ตีให้เข้ากันอีกครั้ง จากนั้นนำแป้งสาลีเอนกประสงค์ กับ แป้งมัน นำมาร่อนรวมกันลงในอ่างที่ตีเนยกับน้ำตาลไอซิ่งเป็นวิธีการทำ คุกกี้สิงคโปร์ สูตร อร่อย

ขั้นตอนที่ 3 เทน้ำมันลงในอ่างผสม นวดให้เข้ากัน พักแป้งไว้ 15 นาที วิธีทำขั้นตอนต่อมา

คุกกี้สิงคโปร์ วิธีทำ นำ ไข่แดง เกลือป่น กลิ่นวานิลลา ตีและผสมหรือนวดให้เข้ากันอีกครั้งแล้วพักไว้

ขั้นตอนที่ 4 มาถึงขั้นตอนการอบ นำแป้งที่เตรียมไว้ มารีดเป็นแผ่น ความหนาอยู่ที่ 1 ซม.

คุกกี้ สิงคโปร์

ขั้นตอนที่ 5 นำที่กดคุกกี้ที่เตรียมไว้ โดยให้ความห่างของคุกกี้ ห่างกัน 1 ซม จากนั้นนำคุกกี้มาจัดเรียงลงในถาดที่วางกระดาษไขเอาไว้แล้วก่อนหน้านั้น

ขั้นตอนที่ 6  นำไข่แดงมาทาหน้าคุกกี้ แล้ววางเมล็ดมะม่วงหิมพานต์บนคุกกี้ ทาไข่แดงซ้ำ

ขั้นตอนที่ 7 นำคุกกี้เข้าเตาอบ ใช้อุณหภูมิในการอบอยู่ที่ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 20 นาที แล้วนำออกมาจากเตาอบ จากนั้น พักให้เย็น เตรียมรับประทานได้เลย

คุกกี้ สิงคโปร์

การรับประทานคุกกี้ให้อร่อย ควรรับประทานคู่กับชาร้อน ๆ เหมาะกินยามว่าง เป็นของว่าง ของฝากที่จะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า ใครที่อยากกินคุกกี้ โดยไม่ต้องไปไกลถึงสิงคโปร์ ต้องลองนำสูตรดังกล่าวไปทำดู สูตรนี้ ทำได้จริง

อ่านบทความอื่นๆ: