สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
ปลาทับทิมสามรส
ปลาทับทิมสามรส
Categories
อาหารไทย

ข้าวผัดขี้เมาทะเล เมนูอาหารไทยตามสั่ง รสเด็ดจัดจ้าน อร่อยง่ายๆทำกินเองได้

ข้าวผัดขี้เมาทะเล

ใครที่ชื่นชอบอาหารทะเลไม่ควรพลาดกับเมนูอาหารที่เรานำมาแนะนำในวันนี้ นั่นก็คือข้าวผัดขี้เมาทะเล เป็นเมนูอาหารไทยตามสั่ง รสเด็ดจัดจ้าน ที่เป็นเมนูจานโปรดของใครหลายๆคน ซึ่งเมนูผัดขี้เมานี้ เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย โดยเมนูอาหารนี้เกิดขึ้นจากการผสมผสานอาหารแบบไทยเข้ากับอาหารของชาวจีน ผัดขี้เมาไม่ใช่แค่ผัดกับเส้นเท่านั้น แต่มันยังสามารถนำมาผัดรวมกับเมนูข้าวผัดได้ โดยเป็นข้าวผัดเป็นอาหารไทยที่นำข้าวสวยลงไปผัดคลุกกับซอส น้ำพริก หรือเครื่องปรุงรสต่าง ๆ เพื่อให้ได้รสชาติที่อร่อย และมีการใส่เนื้อสัตว์ชนิดต่าง ๆ ลงไป เช่น หมู, ไก่, ปลาหมึก, ปู, กุ้ง หรือมันกุ้ง แหนม เป็นต้น โดยชื่อข้าวผัดจะเรียกตามเนื้อสัตว์ หรือส่วนผสมที่ใส่ลงไปอย่างเช่นเมนูข้าวผัดขี้เมาทะเลที่เรานำมาแนะนำวันนี้ ซึ่งเป็นการนำเมนูทั้ง 2 อย่างมารวมกันจึงเกิดเป็นเมนูใหม่ที่อร่อยและลงตัวสุดๆเลยค่ะ และยังเป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารที่ขึ้นชื่อของอาหารไทยที่ทั้งคนไทย และชาวต่างชาติพากันชื่นชอบกันเป็นจำนวนมาก จะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้างตามเรามาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูข้าวผัดขี้เมาทะเล

เมนูข้าวผัดขี้เมาทะเล เป็นเมนูอาหารตามสั่งที่มักเสิร์ฟพร้อมกับใบกะเพราทอดกรอบ และไข่ดาว หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Drunken Holy Basil Fried Rice with Seafood and Crispy Egg เป็นอาหารรสจัดจ้านโดดเด่นด้วยเครื่องขี้เมาที่สับละเอียด เพื่อให้กินได้ง่ายขึ้น แถมอร่อยกลมกล่อม และขั้นตอนการทำที่เรียนรู้ได้ง่าย แต่ก่อนที่จะไปดูวิธีการทำข้าวผัดขี้เมาทะเล มาดูส่วนผสมเมนูนี้กันก่อนเลยค่ะ

ส่วนผสมสำหรับทำเมนูข้าวผัดขี้เมาทะเล

  1. พริกชี้ฟ้าสีแดง 5 เม็ด
  2. พริกชี้ฟ้าสีเหลือง 5 เม็ด
  3. กระเทียมไทยกลีบเล็ก 3 หัว
  4. พริกขี้หนูสีเขียวและสีแดง 10 เม็ด
  5. น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
  6. กุ้งชีแฮ้แกะเปลือกเด็ดหัวไว้หางผ่าหลัง 5 ตัว
  7. เนื้อปลากะพงขาวหรือแดงหั่นเป็นชิ้นพอคำ 100 กรัม
  8. ปลาหมึกบั้งเป็นตารางหั่นชิ้น 1 ตัว
  9. เนื้อหอยแมลงภู่ลวก 6 ตัว
  10. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  11. ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ
  12. น้ำส้มสายชู 1 ช้อนชา
  13. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
  14. พริกไทยดำโขลก 1 ช้อนโต๊ะ
  15. ข้าวสวย 2 ถ้วย
  16. กระเพราเด็ดใบ 1 ถ้วย
  17. พริกไทยป่น ½ ช้อนชา
  18. ใบกระเพราทอดกรอบสำหรับตกแต่ง ½ ถ้วย
ข้าวผัดขี้เมาทะเล

ขั้นตอนวิธีการทำข้าวผัดขี้เมาทะเล

ผัดขี้เมาเป็นเมนูอาหารไทยที่มีชื่อเรียกตามวัตถุดิบที่ใส่อย่างเช่น ข้าวผัดขี้เมาหมูสับ ข้าวผัดขี้เมาหมูกรอบ ข้าวผัดขี้เมาไก่ เป็นต้น แต่วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำเมนูข้าวผัดขี้เมาทะเล ซึ่งมีวิธีทำที่ไม่ยุ่งยากเลยค่ะ สามารถทำตามได้ง่ายๆ โดยมีขั้นตอนการทำดังนี้

  1. นำพริกทุกชนิดไปล้างด้วยน้ำสะอาด แล้วแบ่งพริกชี้ฟ้าสีแดงและเหลืองอย่างละ 2 เม็ด ลงมาโขลกกับกระเทียมและพริกขี้หนูเข้าด้วยกันพอแหลก จากนั้นตักใส่ถ้วย พักไว้
  2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันตั้งไฟกลางจนน้ำมันเลยร้อน แล้วใส่เครื่องที่โขลกเตรียมไว้ลงไปผัดให้หอม จากนั้นใส่เนื้อสัตว์ทะเลอย่าง กุ้ง เนื้อปลา ปลาหมึก และเนื้อหอยแมลงภู่ แล้วผัดให้เข้ากันให้สุก
  3. ปรุงรสด้วยน้ำตาล ซีอิ๊วดำ น้ำส้มสายชู น้ำปลา และพริกไทยดำ แล้วผัดให้เครื่องปรุงทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นใส่ข้าวสวยลงไป แล้วเร่งเป็นไฟแรง ผัดจนเข้ากัน ต่อมาใส่ใบกระเพรา พริกชี้ฟ้าสีแดงและเหลืองที่หั่นแฉลบ ผัดอีกครั้งให้เข้ากัน แล้วปิดไฟ
  4. ตักใส่จาน โรยด้วยพริกไทย ตกแต่งด้วยใบกระเพราทอดกรอบ โปะหน้าด้วยไข่ดาวพร้อมเสิร์ฟ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับเมนูข้าวผัดขี้เมาทะเลจานนี้ ขอบอกเลยว่าเมนูนี้นอกจากจะอร่อย รสชาติเด็ดจัดจ้านแล้ว ยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการโดย กุ้งเป็นอาหารอันทรงคุณค่าทางโภชนาการ มีโปรตีนสูง โปรตัสเซียมสูง ปลากะพงเป็นปลาที่มีไขมันต่ำ มีโอเมก้า 3 เยอะมาก ช่วยในการลดน้ำหนัก ส่วนปลาหมึกอุดมไปด้วยไขมัน แต่ก็มีโปรตีนสูง ช่วยสร้างความแข็งแรงแก่ร่างกาย ช่วยในการทำงานของกระดูก กล้ามเนื้อ ผิวหนัง และหอยแมลงภู่ อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก มีปริมาณแคลอรี่ต่ำ ป้องกันโรคเหน็บชา เพิ่มคอลาเจนให้ร่างกาย และยังช่วยบำรุงสายตาและป้องกันมะเร็งบางชนิด แถมใบกระเพราและพริกสดยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และต้านมะเร็งอีกด้วยค่ะ

เว็บตรงฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา

Categories
ขนมเบเกอรี่

ชีสเค้กทอมแอนด์เจอร์รี่ (Tom & Jerry Cheesecake) ชีสเค้กรูปชีสสุดคิ้วท์ จากการ์ตูนเรื่อง Tom & Jerry

ชีสเค้กทอมแอนด์เจอร์รี่

เมื่อช่วงปี 2020ที่ผ่านไม่ว่าจะเปิด youtube, twitter, facebook หรือ instragram หลายคนต่างเคยเห็นเค้กสีเหลืองสดใสรูปทรงสามเหลี่ยม หน้าตาเหมือนเนยแข็งนี้ ถูกแชร์ผ่านโลกโซเชียลเต็มไปหมด โดยเจ้าเค้กก้อนนี้มีชื่อเรียกว่า ชีสเค้กทอมแอนด์เจอร์รี่ (Tom & Jerry Cheesecake) เป็นเค้กที่ฮอตฮิตที่สุดในโลกโซเชียล โดยเฉพาะเกือบทุกคาเฟ่ หรือแม้แต่ร้านเบเกอรี่ต่างๆ ก็ทำชีสเค้กหน้าตาเหมือนชีสของเจ้าหนูเจอร์รี่ จากการ์ตูนสุดคลาสสิกเรื่อง Tom and Jerry โดยจุดเด่นของชีสเค้กนี้ด้านในจะมีส่วนผสมของชีสและครีมทำออกมาหน้าตาเหมือนชีสที่หั่นเป็นสามเหลี่ยม 

สำหรับใครที่ไม่รู้จัก Tom and Jerry วันนี้เราก็มีเรื่องย่อมาเล่าให้ฟัง โดยการ์ตูนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนสุด classic เล่าเรื่องราวของแมวที่ต้องหงุดหงิดรำคาญใจกับหนูตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในบ้านของมัน และคิดหาหนทางกำจัดหนูตัวนี้ด้วยการวางกับดักโดยใช้ชีสก้อนโตเป็นเหยื่อล่อ ขณะที่เจ้าหนูตัวน้อยแสนฉลาดกลับรู้ทันแผนการของเจ้าเหมียว และฉกชีสไปกินได้อย่างอิ่มท้องและปลอดภัย ซึ่งการ์ตูนเรื่องนี้มีมานานแล้วและในปี 2020 ที่ผ่านมาการ์ตูนเรื่องนี้ก็มีอายุครบรอบ 80 ปี แล้วค่ะ

จุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีสเค้กทอมแอนด์เจอร์รี่ฮอตฮิตจนถึงทุกวันนี้เริ่มมาจากเกาหลีตั้งแต่กลางปีที่แล้ว จากเหล่า Influencer และยูทูปเบอร์เกาหลีที่ได้แชร์สูตรและกินโชว์แบบ ASMR โดยคาดว่าจุดเริ่มต้นของ Tom and Jerry Cheesecake เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้วจากคาเฟ่เล็กๆ ชื่อว่า La Douce ตั้งอยู่ย่าน Hapjeong กรุงโซล ประเทศเกาหลี โดยเชฟและทีมทำชีสเค้กนี้เป็นเจ้าแรกๆ เรียกกว่าเป็นออริจินอลที่ดูน่ากินมากๆ หลังจากนั้นเหล่ายูทูปเบอร์ไทยก็ได้เริ่มแชร์วิธีทำและกินชีสเค้กนี้เหมือนกัน ส่งผลให้เจ้าชีสเค้กนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยหน้าตาที่สุดคิ้วท์ที่คล้ายกับ ‘เอมเมนทอลชีส’ หรือ ‘สวิตชีส’ ชีสที่โด่งดังและผลิตจากหมู่บ้านในหุบเขาเอมเมนทัล ทางตะวันออกของกรุงเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และยังคล้ายกับชีสของโปรดของเจ้าหนูเจอร์รี่ จากการ์ตูนสุดคลาสสิกเรื่อง Tom and Jerry จึงไม่แปลกที่ชีสเค้กนี้จะฮอตฮิตในหมู่วัยรุ่น ดังนั้นวันนี้เราจึงมีสูตรวิธีทำเจ้าชีสเค้กทอมเจอร์รี (Tom & Jerry Cheesecake) จาก youtube channel ช่อง VIPS Station มาฝากทุกคน จะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของชีสเค้กทอมแอนด์เจอร์รี่ (Tom & Jerry Cheesecake)

สูตรวิธีทำ ชีสเค้กทอมแอนด์เจอร์รี่ (Tom & Jerry Cheesecake) เป็นสูตรทำขนมโดยไม่ใช้เตาอบ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่ หรือแม้แต่ร้านเบเกอรี่ต่างๆ ก็ต่างทำออกมาขายกันจำนวนมาก โดยชีสเค้กนี้มีลักษณะคล้าย Emmental Cheese ชีสชื่อดังที่มีถิ่นกำเนิดจากหุบเขาเอ็มเมนเทล รัฐแบร์นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งชีสชนิดนี้มีความโดดเด่นคือความแข็งนอกแต่นุ่มใน รสชาติก็จะมัน ๆ เค็ม ๆ มาพร้อมกลิ่นอันโดดเด่น ชีสชนิดนี้มักมาทำเป็นฟองดูจิ้มขนมปัง หรือสไลด์กินบาง ๆ ในแซนวิช หรือแฮมเบอเกอร์ และด้วยรูปร่างที่โดดเด่นนี้เอง จึงทำให้มันกลายเป็นต้นแบบของชีสของโปรดเจ้าหนูเจอรี่ สำหรับโลกของความจริงรูปร่างชีสเค้กนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ก่อนจะไปดูขั้นตอนการทำ เรามาดูส่วนผสมของเจ้าชีสเค้กก้อนนี้กันก่อนเลย

ส่วนผสมของไวท์ช็อคโกแลต

  1. ไวท์ช็อคโกแลต 200 กรัม
  2. สีเจลผสมอาหาร สีเหลืองไข่ 20 หยด

ส่วนผสมของครีมชีส

  1. ครีมชีส 100 กรัม
  2. วิปปิ้งครีม 100 กรัม
  3. ไวท์ช็อคโกแลต 50 กรัม
  4. กลิ่นวานิลลา ½ ช้อนชา

ส่วนผสมของแครกเกอร์

  1. แครกเกอร์รสเค็ม 50 กรัม
  2. เนยจืดละลาย 25 กรัม
ชีสเค้กทอมแอนด์เจอร์รี่

ขั้นตอนวิธีการทำชีสเค้กทอมแอนด์เจอร์รี่ (Tom & Jerry Cheesecake)

หลังจากที่เตรียมส่วนผสมทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว มาดูขั้นตอนการทำชีสเค้กทอมแอนด์เจอร์รี่ (Tom & Jerry Cheesecake) กันต่อเลย สำหรับวิธีทำชีสเค้กนี้ก็มีหลากหลายสูตรให้ได้ลองฝึกทำกัน ซึ่งสูตรชีสเค้กที่เราเลือกมาแนะนำทุกคนนี้มีขั้นตอนการทำที่ไม่ได้ยุ่งยากเลยค่ะ โดยเจ้าเค้กนี้มีเปลือกด้านนอกที่มีสีและหน้าตาเหมือนกับชีสไม่มีผิดเพี้ยนโดยส่วนของด้านนอกนี้ จะใช้แม่พิมพ์ก้อนชีสมาช่วยให้ทำง่ายขึ้น ในขณะที่ตัวเนื้อเค้กด้านในก็จะมีหลายรูปแบบ ซึ่งเราเลือกแบบเนื้อครีมชีสธรรมดาบวกกับไวท์ช็อคโกแลต ส่วนจะมีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ

  1. นำไวท์ช็อคโกแลตไปตุ๋น ประมาณ 5 นาที เพื่อให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน โดยใช้หม้อหรือกระทะใส่น้ำตั้งให้เดือด นำถ้วยภาชนะที่เป็นโลหะใส่ไวท์ซ็อคโกแลตแล้วนำลงไปตั้งในน้ำเดือดคนจนกว่าจะละลาย
  2. นำไวท์ช็อคโกแลตไปตุ๋นเสร็จ มาลดอุณหภูมิ ด้วยการนำโถมาแช่ในน้ำเย็น แล้วนำกลับไปตุ๋นซ้ำอีกรอบ จากนั้นใส่สีเจล (สีเหลืองไข่) ลงไปผสมกับไวท์ช็อคโกแลตที่ตุ๋นเสร็จ ให้ได้สีตามต้องการ
  3. นำไวท์ช็อคโกแลตมาหยอดในพิมพ์ซิลิโคนรูปชีส แล้วกลิ้งให้ไวท์ช็อคโกแลตเคลือบทั่วพิมพ์ดี แล้วเทไวท์ช็อคโกแลตส่วนเกินออก แล้วนำพิมพ์ไปแช่ตู้เย็นให้ไวท์ช็อคโกแลตเซ็ตตัว จากนั้นนำไวท์ช็อคโกแลต (ส่วนของชีสเค้ก) ไปตุ๋นให้ละลาย จากนั้นยกมาพักให้คลายความร้อน ระหว่างรอ ให้นำแคร็กเกอร์มาบด แล้วผสมกับเนยละลาย
  4. นำครีมชีสมาใส่ในชามผสม แล้วใช้ตะกร้อไฟฟ้าตีให้ครีมชีสอ่อนตัวลง จากนั้นเติมวิปปิ้งครีมลงไป แล้วตีต่อให้เนียน จากนั้นเติมกลิ่นวนิลลาลงไป ตามด้วยไวท์ช็อคโกแลต แล้วตีให้ส่วนผสมเข้ากันดี จากนั้นนำใส่ถุงบีบ
  5. ค่อยๆ บีบครีมชีสลงไปในพิมพ์ (ครี่งเดียว) จากนั้นใส่บิสกิตที่ผสมไว้ แล้วตามด้วยครีมชีสอีกชั้น
  6. นำไวท์ช็อคโกแลต (ส่วนที่เหลือจากการทำเปลือก) มาเคลือบปิดทับเป็นชั้นสุดท้าย แล้วปาดให้เรียบ จากนำไปเข้าตู้เย็นอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้ชีสเค้กเซ็ตตัวดี จากนั้นนำออกจากพิมพ์ เพียงแค่นี้ก็จะได้ “ชีสเค้กทอมแอนด์เจอร์รี่” พร้อมรับประทานแล้วค่ะ

เปิดบัญชีคาสิโนขั้นต่ำ100

Categories
ขนมหวานไทย

บัวลอยน้ำขิง เมนูขนมหวานเพื่อสุขภาพ สำหรับฤดูหนาว

บัวลอยน้ำขิง

สายรักสุขภาพ แต่ชื่นชอบการกินของหวานอย่างบัวลอยต้องไม่พลาดกับสูตรเมนูขนมหวานที่เรานำมาฝากวันนี้อย่างเมนูบัวลอยน้ำขิง ถือว่าเป็นเมนูที่ผสมผสานระหว่างความเป็นไทยและจีนรวมอยู่ด้วยกันได้อย่างลงตัวมากๆเลยค่ะ ซึ่งเมนูนี้มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน และได้เผยแพร่เข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่สมัยอดีต มีวิธีทำที่พิถีพิถันในเรื่องรสชาติ สีสัน ความสวยงาม กลิ่นหอม รูปลักษณะชวนรับประทาน แถมยังใช้วัตถุดิบการทำที่มีคุณภาพ และมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วยค่ะ เชื่อกันว่าบัวลอยน้ำขิง เหมาะสำหรับทานช่วงฤดูหนาว เพราะน้ำขิงเผ็ดร้อนที่ซดช่วยทำให้โล่งจมูกคล่องคอและแก้หวัดได้ ยังมีงาดำบดที่ช่วยเพิ่มโปรตีนช่วยให้ร่างกายอบอุ่นอีกด้วย บัวลอยน้ำขิง เป็นอีกหนึ่งเมนูครองใจสำหรับคนรักสุขภาพ ซึ่งวันนี้เราก็ไม่พลาดที่จะแนะนำสูตรบัวลอยน้ำขิงให้ทุกคนได้ลองทำตามกันได้ง่ายๆ ไม่ต้องไปหาซื้อที่ไหนไกล สามารถทำกินเองได้ที่บ้าน ส่วนจะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูบัวลอยน้ำขิง

บัวลอยน้ำขิง หรือที่ภาษาจีนเรียกว่ายุเหวียนเซียว หรือ ทังยุเหวียน เป็นเมนูขนมหวานเพื่อสุขภาพสูตรคลีนที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวผสมกับน้ำแล้วปั้นเป็นรูปทรงกลมสวยงาม ไส้มีรสหวานหอมโดยเฉพาะไส้งาดำ ทำให้เมนูนี้มีกลิ่นงาอ่อนๆ เข้ากันดีกับน้ำขิงกลิ่นหอม และมีรสหวานอ่อนๆ เหมาะสำหรับรับประทานร้อนๆ ในฤดูฝน หรือฤดูหนาว และนิยมรับประทานในงานมงคล เช่น งานแต่งงาน หรืองานขึ้นบ้านใหม่ ซึ่งมีส่วนผสมทั้งหมดดังนี้ 

ส่วนผสมสำหรับทำแป้งบัวลอย

  1. แป้งข้าวเหนียว 3 ถ้วย
  2. แป้งข้าวจ้าว 1 ถ้วย
  3. น้ำสะอาด สำหรับผสมแป้ง 1 ถ้วย
  4. ใบเตย 5 ใบ สำหรับต้มบัวลอย

ส่วนผสมสำหรับทำไส้งาดำ

  1. งาดำประมาณ 2 ถ้วย
  2. น้ำตาลทรายขาวประมาณ 1 ถ้วย
  3. น้ำตาลทรายแดงประมาณ 1 ถ้วย

ส่วนผสมสำหรับทำน้ำขิง

  1. น้ำตาลปิ๊ป 3 ช้อนโต๊ะ
  2. ขิงแก่ 1 ½ แง่งใหญ่
  3. น้ำสะอาด สำหรับต้มน้ำขิงงาดำประมาณ 3 ถ้วย
  4. เกลือ ½ ช้อนชา
บัวลอยน้ำขิง

ขั้นตอนวิธีการทำเมนูบัวลอยน้ำขิง

หลังจากที่เราได้เตรียมวัตถุดิบสำหรับทำเมนูบัวลอยน้ำขิงเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาลงมือทำแล้วค่ะ ซึ่งวิธีทำบัวลอยน้ำขิงก็ง่ายมากๆเลยค่ะ แต่ด้วยความที่เป็นเมนูเพื่อสุขภาพเลยต้องพิถีพิถันในเรื่องการปรุงรสชาติ โดยบัวลอยน้ำขิง 1 ถ้วยให้พลังงานทั้งสิ้น 160 กิโลแคลอรี ซึ่งมีวิธีการทำดังนี้

วิธีทำเมนูบัวลอยน้ำขิง

  1. เริ่มเตรียมไส้งาดำ โดยการคั่วงาดำให้หอม จากนั้นนำมาบดให้ละเอียด แล้วนำมาผัดกับน้ำตาลปี๊บ จนน้ำตาลปี๊บละลาย แล้วพักไว้ก่อน
  2. เริ่มเตรียมทำแป้งบัวลอย โดยการนำแป้งข้าวเหนียว ผสมกับแป้งข้าวเจ้า และน้ำเปล่า แล้วนวดให้แป้งเข้ากันดี 
  3. ปั้นแป้งบัวลอย โดยนำไส้งาดำไปใส่ แล้วปั้นเป็นลูกๆขนาดเท่าลูกปิงปอง จากนั้นเตรียมหม้อต้มน้ำความร้อนปานกลาง แล้วใส่ใบเตยลงไป เมื่อน้ำเริ่มเดือดให้นำแป้งบัวลอยที่ปั้นแล้ว ใส่ลงไปต้มด้วย ถ้าบัวลอยลอยขึ้นมาแสดงว่าสุกแล้ว จากนั้นให้นำบัวลอยที่สุกมาพักในน้ำเย็นก่อน ระหว่างนั้นก็เริ่มทำน้ำขิง
  4. เตรียมทำน้ำขิง โดยต้มน้ำ ใส่ขิง น้ำตาลปิ๊ป และเกลือ ลงไปต้มจนน้ำเริ่มเดือด จากนั้นชิมจนได้รสชาติน้ำขิง ที่พอใจแล้ว เพียงเท่านี้ก็จะได้เมนูบัวลอยน้ำขิงแสนอร่อย ทานง่าย พร้อมจัดเสิร์ฟแล้วค่ะ

เคล็ดลับการทำขนมบัวลอยน้ำขิง

  1. การเตรียมแป้งสำหรับปั้นบัวลอยความสำคัญอย่างมาก ต้องใส่ส่วนผสมให้พอดี โดยใช้แป้ง 2 ชนิด ที่มีคุณสมบัติต่างกัน คือแป้งข้าวเหนียว และ แป้งข้าวจ้าว จะทำให้ได้ความเหนียวนุ่มของแป้งที่พอดี
  2. แนะนำสำหรับไส้ให้ใช้ งาดำคั่ว และโขรกละเอียด นำมาผัดกับน้ำตาลน้ำตาลปี๊บ เนื่องจากมีความหวาน และมีความเหนียว นำมาปั่นไส้ง่าย 
  3. การปั้นบัวลอย ให้รีดเป็นแผ่น โดยมีความหนาที่พอดี ไม่หนา หรือบางเกินไป บัวลอยปั้นให้กลมๆ หรือจะทำเป็นรูปทรงอะไรก็ได้ตามใจชอบ
  4. ขิง สำหรับนำมาทำน้ำขิง ให้เลือกใช้ขิงแก่ เนื่องจากขิงแก่ ให้รสเผ็ด และให้กลิ่นหอมขิงได้ดี
  5. สำหรับไส้ หากหางาดำไม่ได้ สามารถใช้ ถั่วเขียวแทนได้ โดยหากนำถั่วเขียวมามาล้างให้สะอาด จนน้ำล้างถั่วเขียวใส ขั้นตอนนี้สำคัญ หากน้ำล้างไม่ใสถั่วเขียวจะมีกลิ่น จากนั้นนำไปแช่น้ำ 3 ชั่วโมง แล้วนำไปนึ่งให้สุก และนำไปโขรก จากนั้นนำไปผัดกับน้ำตาล หากนำมาทำไส้ถั่วเขียว ให้ใส่พริกไทยลงไปด้วย จะเพิ่มรสชาติของไส้ได้อย่างดีค่ะ
  6. การต้มบัวลอย ให้ต้มด้วยน้ำเชื่อมเดือดๆ ความหวานของน้ำเชื่อมจะทำให้แป้งบัวลอย มีความหวานน่ารับประทานยิ่งขึ้นค่ะ

เป็นอย่างไรกับบ้างคะทุกคนสำหรับเมนูบัวลอยน้ำขิง แป้งบัวลอยห่องาดำเน้น ๆ กินกับน้ำขิงร้อน ๆ หอม ๆ ซดคล่องคอ นอกจากจะอร่อยกลมกล่อม รสหวานอ่อนๆ และหอมกลิ่นขิงแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งเมนูของหวานเพื่อสุขภาพ โดยสรรพคุณของงา ช่วยบรรเทาโรคต่างๆ ทั้งรักษาผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ทำให้ผมดกดำ เพิ่มเม็ดเลือด ช่วยให้ระบบหัวใจแข็งแรง ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ช่วยในการขับถ่าย อีกทั้งวิตามินบีที่อยู่ในงา ช่วยบำรุงปลายประสาท ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย และต้านอนุมูลอิสระได้ดีมากๆ ส่วนน้ำขิงมีสรรพคุณ ช่วยขับเหงื่อ ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ช่วยขับลม แก้ท้องอืด แก้ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร รวมถึงช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น สำหรับใครที่กำลังอยากจะลองทำบัวลอยน้ำขิงกินเองก็อย่าลืมนำสูตรที่เราแนะนำไปลองทำกันนะคะ

สล็อต joker ฝาก-ถอน ไม่มี ขั้นต่ำ

Categories
ขนมหวานไทย

เต้าส่วน เมนูขนมหวานจากถั่วเขียว อร่อย หวาน มัน หอมกลิ่นกะทิ

เต้าส่วน

หลายคนคงทราบกันดีว่าอาหารจีนทั้งคาวและหวานเข้ามีมีอิทธิพลในไทยพร้อมกับการอพยพของชาวจีน จนถึงปัจจุบัน ซึ่งอาหารส่วนใหญ่ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในสังคมไทยไปแล้ว ซึ่งวันนี้เราก็มีเมนูของหวานจากจีนมีได้พัฒนาและดัดแปลงสูตรให้เข้ากับวิถีความเป็นอยู่ของไทยอย่าง “เต้าส่วน” ขนมหวานรสเลิศคู่สุขภาพของจีนที่กลายมาเป็นของว่างที่ถูกปากคนไทยได้ตลอดทั้งปีมาแนะนำทุกคนค่ะ ซึ่งเต้าส่วนมาจากภาษาจีนว่า 豆爽 (โต้วส่วง) คำว่า ส่วง หมายถึงการใส่แป้งละลายในน้ำเพื่อให้เหนียวข้นขึ้น เต้าส่วนคือขนมหวานที่ทำจากถั่วเขียวเลาะเปลือกต้มน้ำตาล ใส่แป้งมันกวนให้ข้นหนืด เต้าส่วนเดิมทีไม่ใส่กะทิ แต่ช่วงหลังมานี้เริ่มนำมาราดกะทิ ซึ่งคาดว่าเป็นการประยุกต์ให้เข้ากับวัฒนธรรมของไทยแดนมะพร้าวที่นิยมใส่กะทิในของหวาน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็กลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวกันสุดๆ เลยค่ะ ส่วนวัตถุดิบและขั้นตอนการทำเต้าส่วนเป็นอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูเต้าส่วน

เต้าส่วน หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Mung Bean Pudding เป็นขนมไทยเนื้อสัมผัสเหนียว ๆ ยืด ๆ กรุบ ๆ รสชาติอร่อยลงตัวทั้งหวานมันได้รสเค็มนิด ๆ จากหน้ากะทิ แถมขั้นตอนการทำก็ง่ายมากๆเลยค่ะ อุปกรณ์น้อย วัตถุดิบก็หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป โดยส่วนผสมหลักที่ขาดไม่ได้เลย คือ ถั่วเขียว สำหรับเคล็ดลับความอร่อยของเมนูขนมหวานนี้ คือ การเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพ และการปรุงรสชาติ หากทำตามสูตรที่เรานำมาแนะนำเนื้อถั่วเขียวจะเนียนสุกพอดี ยังมีความเป็นเม็ดถั่วเขียวอยู่ น้ำแป้งเหนียวกำลังพอดี และความหวานตัดกับน้ำกะทิได้อย่างลงตัว โดยสูตรนี้มีส่วนผสมสำหรับทำเต้าส่วนดังนี้

ส่วนผสมสำหรับทำเต้าส่วน

  1. ถั่วเขียวกระเทราะเปลือกผ่าซีก 1 กิโลกรัม
  2. น้ำเปล่า 3 ลิตร
  3. ใบเตย 3 ใบ
  4. น้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม
  5. เกลือป่น 1 ช้อนชา (สำหรับน้ำเต้าส่วน)
  6. แป้งมันสำปะหลัง 2 ช้อนโต๊ะ
  7. แป้งเท้ายายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ
  8. น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง (สำหรับใช้ผสมแป้ง)
  9. หัวกะทิกล่อง 1 ลิตร
  10. เกลือป่น 1 ช้อนชา (สำหรับน้ำราดกะทิ)
เต้าส่วน

ขั้นตอนวิธีการทำเมนูเต้าส่วน

หลังจากที่เราได้จัดเตรียมส่วนผสมสำหรับทำเต้าส่วนเรียบร้อยหมดแล้ว ก็ถึงเวลาต้องลงมือทำกันแล้วค่ะ ซึ่งวิธีทำเมนูขนมหวานเต้าส่วนก็ง่ายนิดเดียวเองค่ะ เพียงแค่ต้องใส่ใจกับทุกขั้นตอนแค่นี้ก็จะได้เต้าส่วนที่แสนอร่อยถูกปากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนจะมีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ

วิธีทำเต้าส่วน

  1. เริ่มจากการเตรียมถั่วเขียวก่อนเลยค่ะ โดยนำถั่วเขียวไปแช่น้ำและคัดเอาเม็ดถั่วที่ลอยน้ำออกให้หมด จากนั้นล้างให้สะอาด แล้วแช่ถั่วเขียวในน้ำเปล่าประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นนำถั่วเขียวไปนึ่งในหม้อนึ่งด้วยความร้อนปานกลาง ใช้เวลานึ่งประมาณ 30 นาที จนถั่วเขียวสุก จากนั้นให้นำถั่วเขียวมาพักให้เย็นก่อน (หากถั่วเขียวยังไม่สุกให้นึ่งจนกว่าจะสุก)
  2. เตรียมหม้อต้ม โดยต้มน้ำให้เดือด นำใบเตยลงไปต้มด้วยปรับไฟอ่อนๆ ให้น้ำมีกลิ่นหอมใบเตย แล้วจึงเติมน้ำตาลทราย และเกลือลงไป จากนั้นเคี้ยวให้ได้ที่ แล้วลองชิมให้ได้รสน้ำเชื่อมที่กลมกล่มจนพอใจ
  3. เตรียมแป้ง โดยนำน้ำ 1 ถ้วยตวง ผสมกับแป้งท้าวยายม่อม และแป้งมันสัมปะหลัง คนผสมแป้งให้ละลาย แล้วพักเอาไว้ก่อน
  4. สำหรับหม้อน้ำเชื่อมเอาใบเตยออก จากนั้นเร่งไฟให้เดือดกวนน้ำเชื่อมเร็วๆ ค่อยๆหยอดน้ำผสมแป้งลงไปทีละนิดกวนจนน้ำเชื่อมเหนียวได้ที่ จากนั้นปิดไฟ แล้วนำถั่วเขียวนึ่งลงไปใส่ แล้วกวนต่อให้ถั่วเขียวนึ่งทั่วน้ำเชื่อม พักให้เต้าส่วนเย็นก่อน
  5. เตรียมน้ำกะทิ โดยต้มหัวกะทิด้วยไฟอ่อนๆ และใส่เกลือป่นลงไป เคี้ยวให้กะทิพออุ่น อย่าให้กะทิแตกมัน จากนั้นก็พักน้ำกะทิเอาไว้ก่อน
  6. ตักเต้าส่วนใส่ชาม และราดด้วยน้ำกะทิ เพียงแคนี้ก็จะมีของหวานเต้าส่วนที่พร้อมรับประทานได้แล้วค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับสูตรเมนูของหวานเต้าส่วนที่เรานำมาแนะนำ นอกจากความอร่อยกลมกล่อม หวาน มันเค็มนิด ๆ แล้ว เต้าส่วนยังมีประโยชน์โดยถั่วเขียวที่เป็นส่วนผสมหลักเป็นถั่วที่มีไขมันต่ำ โปรตีนสูง และมีค่า GI ต่ำ (Glycemic index) เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สำหรับใครที่กำลังอยากจะลองทำเมนูเต้าส่วนก็อย่าลืมนำสูตรที่เราแนะนำไปลองกันนะคะ ขอบอกเลยว่าหากนำสูตรนี้ไปลองทำให้คนในครอบครัวกินรับรองว่าอร่อยถูกปากทุกคนแน่นอนค่ะ

ฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

Categories
อาหารนานาชาติ

หย่าเก่ย ขาหมูตุ๋นสมุนไพร ฉบับเวียดนาม รสเข้มข้น

หย่าเก่ย

เมนูขาหมูตุ๋นสมุนไพร (หย่าเก่ย) แบบฉบับเวียดนาม เป็นอาหารเวียดนาม อีกหนึ่งอัตลักษณ์ของคนไทยเชื้อสายเวียดนาม ที่มีหน้าตาและรสชาติคล้ายกับพะโล้หมูบ้านเรา แต่เมนูนี้ไม่มีส่วนผสมของผงพะโล้นะคะ ส่วนสีก็ใช้การเคี่ยวน้ำตาลให้ไหม้แทนสีพะโล้และก็แทนซีอิ้วหวาน เป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารนานาชาติที่เราอยากแนะนำทุกคนให้ลองทำรับประทานที่บ้าน เพราะเมนูนี้ถือว่าเมนูที่แต่ละขั้นตอนการทำเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบการทำอาหารที่บ้าน หรือคนที่เริ่มทำเมนูหย่าเก่ยเป็นครั้งแรก นิยมทำรับประทานในเทศการรวมญาติต่างๆ วันตรุษญวน วันไหว่บรรพบุรุษ ส่วนใหญ่มักทานแบบห่อกับผักกาดหอมหรือใบชะพลู(ผักอีเลิด) ต้นหอมผักชี ทานกันเป็นคำ ๆเข้าถึงรสชาติสุดๆเลยค่ะ หรือจะทานคู่กับข้าวสวยร้อนก็ฟินสุดๆเลยค่ะ เรามาดูส่วนผสมและขั้นตอนการทำกันเลยนะคะ

ส่วนผสมหลักของเมนูขาหมูตุ๋นสมุนไพร (หย่าเก่ย)

ขาหมูตุ๋นสมุนไพร หรือภาษาเวียดนามจะเรียกกันว่า”หญ่าเก่ย” เป็นอาหารเวียดนาม โดยสูตรที่เรานำมาแนะนี้สูตรดั่งเดิม แบบฉบับเวียดนาม มีส่วนผสมของเครื่องสมุนไพรอย่างพริกไทยเม็ดและก็พริกแห้งซึ่งทำให้มีรสชาติที่เผ็ดรสเข้มข้น หอมกลิ่มสมุนไพรต่างๆ เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด และ แต่งรสชาติ ด้วย กะปิ น้ำตาล และ เต้าเจี้ยว ส่วนเนื้อหมูที่เลือกใช้คือส่วนที่เป็นขาหมู หรือหากใครไม่ชอบขาหมูสามารถเลือกใช้เนื้อหมูส่วนอื่นได้ เช่น กระดูกอ่อน หมูสามชั้น เอ็นหมู แทนได้แล้วแต่ความชอบเลยค่ะ เมนนี้มีขั้นตอนการทำที่ง่ายมากๆ แต่ก่อนที่เราจะไปดูวิธีทำขาหมูตุ๋นสมุนไพร (หย่าเก่ย) เรามาดูส่วนผสมทั้งหมดของเมนูนี้กันเลยค่ะ

ส่วนผสมสำหรับทำเมนูขาหมูตุ๋นสมุนไพร (หย่าเก่ย)

  1. เนื้อส่วนขาหมู หั่นเป็นชิ้นพอคำ 1 ถ้วย
  2. ข่านำมาซอยเป็นแผ่น 1 หัว
  3. ตะไคร้หั่นเป็นท่อน 4-5 ต้น
  4. ใบมะกรูด ฉีก 5-8 ใบ (ให้เอาแกนใบออกจะทำให้น้ำแกงไม่ขมแกนใบ)
  5. กะปิ 2 ช้อนโต้ะ (ใช้กะปิคลองโคลน)
  6. น้ำตาล 4 ช้อนโต้ะ
  7. ซอสน้ำมันหอย 2 ช้อนโต้ะ
  8. น้ำปลา 1 ช้อนโต้ะ
  9. เต้าเจี้ยวบดอย่างดี 2 ช้อนโต้ะ
  10. เหล้าขาว 3 ช้อนโต้ะ
  11. น้ำเปล่า 1 ถ้วย
หย่าเก่ย

ขั้นตอนวิธีการทำขาหมูตุ๋นสมุนไพร (หย่าเก่ย)

สำหรับวิธีทำเมนูอาหารเวียดนามขาหมูตุ๋นสมุนไพร ให้อร่อยกลมกล่อม หอมกลิ่มสมุนไพร รสเข้มข้น มีขั้นตอนที่แสนง่ายสามารถทำกินเองได้ที่บ้าน โดยเคล็ดลับความอร่อยของเมนูนี้คือการเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ การปรุงรสชาติ และการตุ๋นขาหมูให้เปื่อย ส่วนจะมีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้างมาดูกันเลยค่ะ

  1. เริ่มจากการให้ขูดขนขาหมูออกให้หมดก่อน แล้วหั่นเป็นชิ้นๆ ขนาดพอคำ ให้ขนาดหนาเล็กน้อย เนื่องจากการต้มต้องใช้เวลานาน หากหั่นบาง เนื้อหมูจะเปื่อยก่อนที่หนังหมูจะเปื่อยได้
  2. หมักหมู โดยใส่ส่วนผสมอย่าง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กะปิ น้ำตาล ซอสน้ำมันหอย น้ำปลา เต้าเจี้ยว และเหล้าขาว หมักให้เข้ากัน และแช่เย็นไว้ประมาณ 1 คืน จะได้เนื้อหมูที่มีรสชาติอร่อย
  3. จากนั้นตั้งหม้อต้มใส่น้ำให้เต็มหม้อ และนำส่วนผสมที่หมักไว้ลงไปต้ม แต่เคี้ยวด้วยไฟปานกลาง หากน้ำแห้งแล้ว แต่ หมูยังไม่เปื่อย ให้เติมน้ำลงไปเพิ่ม อย่าปล่อยให้น้ำแห้งจนไหม้
  4. เคี้ยวไปเรื่อย ๆ จนน้ำลดลงเหลือครึ่งหม้อ สังเกตได้ว่า เนื้อหมูเริ่มนุ่ม น้ำซุปเค้มข้น ก็เป็นอันเสร็จ สามารถตักเสิร์ฟพร้อมรับประทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ และผักกาด ต้นหอม ผักชี เข้ากันๆ ยิ่งกัดโดนพริกไทยเม็ด ข่า ตะไคร้ ยิ่งได้รสชาติทั้งเผ็ดทั้งหอมเครื่องสมุนไพร พริกแห้งเป็นลูกโดดแต่ละคำที่ได้ทานเข้าไปรับรองว่าไม่ผิดหวังในรสชาติเมนูขาหมูตุ๋นสมุนไพร (หย่าเก่ย)แน่นอนค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับเมนูอาหารเวียดนามขาหมูตุ๋นสมุนไพร (หย่าเก่ย) เป็นเมนูอาหารเวียดนามที่สามารถเก็บไว้รับประทานได้นานตามที่ต้องการ เพราะเมนูนี้สามารถเก็บใส่ตู้เย็นไว้ได้เป็นเดือนๆเลยค่ะ ส่วนน้ำซุปก็อร่อยกลมกล่อม หอมกลิ่นสมุนไพร แถมยังสามารถนำไปต้มใส่ไก่, เป็ด หรืออาหารอย่างอื่นได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเมนูเดียวสามารถทำกินได้อีกหลายเมนูเลยค่ะ รับรองว่าเมนูขาหมูตุ๋นสมุนไพร (หย่าเก่ย) ที่เรานำมาฝากอร่อยถูกปากคนที่ได้ลิ้มลองรสชาติแน่นอนค่ะ

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

Categories
อาหารสุขภาพ

พาสต้าอโวคาโดครีมซอส เมนูอาหารสำหรับคนรักสุขภาพ สไตล์ยุโรป

พาสต้าอโวคาโดครีมซอส

วันนี้เอาใจคนที่รักเมนูเส้นสุดเข้มข้นด้วยเมนูอาหารสไตล์ยุโรปอย่างพาสต้าอโวคาโดครีมซอส เมนูเส้นสปาเก็ตตี้นุ่ม ๆ คลุกเคล้ากับอะโวคาโดครีมซอส ถือเป็นอีกหนึ่งอาหารเพื่อสุขภาพ โดยสูตรที่เรานำมาฝากนี้เป็นสูตรเร่งด่วนทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน รสชาติอร่อยสุดฟินเหมือนได้ไปนั่งรับประทานที่ร้านอาหารโปรด ซึ่งเมนูนี้มีไฮไลท์อยู่ที่ซอสอะโวคาโดครีมมี่สุดเข้มข้นเข้ากันได้ดีกับรสชาติของกระเทียมที่อยู่ในส่วนผสม เป็นเมนูที่เด็กทานได้ ผู้ใหญ่ทานดี

พาสต้า เป็นอาหารอิตาลีที่ประกอบด้วยเส้นที่ทำจากแป้งสาลี น้ำ ไข่ เกลือ และ น้ำมันมะกอก จากนั้นจึงนำมารีดเป็นแผ่นและตัดเป็นเส้น แล้วนำไปประกอบอาหารโดยการต้ม รับประทานกับซอสหลากหลายประเภท ปัจจุบันมีการผลิตเส้นสำเร็จรูปแบบอบแห้งในลักษณะอุตสาหกรรม ถูกใช้แพร่หลายมากกว่าเส้นแบบสดเนื่องจากสะดวกไม่ต้องใช้เวลาและความชำนาญมากในการจัดเตรียม ซึ่งวันนี้เราจะเลือกอะโวคาโดครีมซอสมาคลุกเคล้ากับเส้นพาสต้า เหมาะสำหรับคนรักสุขภาพ เพราะผลอะโวคาโด มีคุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าผลไม้ชนิดอื่น จึงถือว่าเป็น “อาหารเพื่อสุขภาพ” เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และสารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ส่วนจะมีวัตถุดิบและขั้นตอนการทำเมนูพาสต้าอะโวคาโดครีมซอสอย่างไรบ้าง ตามเข้าครัวมาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูพาสต้าอโวคาโดครีมซอส

เมนูพาสต้าอโวคาโดครีมซอส มีส่วนประกอบที่สำคัญอย่าง “อะโวคาโด” (Avocado) หรือ “ลูกเนย” ผลไม้พื้นเมืองของเม็กซิโก และมิชชันนารี ได้ถูกนำมาปลูกในประเทศไทยครั้งแรกที่จังหวัดน่าน จนตอนนี้เป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะกับสาวกสาย “สุขภาพ” ผลอะโวคาโดนั้นนิยมนำมาใช้ประกอบอาหารเนื่องจากมีกลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ผสมอะไรอร่อย และที่สำคัญมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากๆ แถมยังมีประโยชน์ด้านความสวยความงามอีกด้วยค่ะ จึงไม่แปลกที่เมนูอะโวคาโดนี้จะถูกใจคนรักสุขภาพหลายคน แต่ก่อนจะไปดูวิธีการทำเมนูพาสต้าอโวคาโดครีมซอส เรามาดูวัตถุดิบและส่วนผสมของเมนูนี้กันก่อนเลยค่ะ

ส่วนผสมสำหรับทำเมนูพาสต้าอโวคาโดครีมซอส

  1. เส้นสปาเก็ตตี้ 2 ถ้วยตวง
  2. กุ้งปอกเปลือก 100 กรัม
  3. อะโวคาโด 2 ถ้วยตวง
  4. น้ำมันมะกอก ¼ ถ้วยตวง
  5. ชีสพาร์เมซาน 2 ช้อนโต๊ะ
  6. เกลือ 1 ช้อนชา
  7. เกลือเล็กน้อย สำหรับต้มเส้นสปาเก็ตตี้
  8. นมสด 3 ถ้วยตวง
  9. พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะ
  10. กระเทียบสับหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ
  11. ใบพาร์สลีย์สับ 2 ช้อนโต๊ะ
พาสต้าอโวคาโดครีมซอส

ขั้นตอนวิธีการทำเมนูพาสต้าอโวคาโดครีมซอส

หลังจากที่เตรียมวัตถุดิบในการทำเมนูพาสต้าอโวคาโดครีมซอส เสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อมาถึงขั้นตอนการทำเมนูอาหารเพื่อสุขภาพนี้แล้วโดยวิธีทำของแต่ละขั้นตอนก็ง่ายๆ สามารถทำกินเองที่บ้าน ซึ่งใช้เวลาในการทำซอสอะโวคาโด และทำเส้นเส้นสปาเก็ตตี้ให้สุกประมาณ 15-20 นาทีเองค่ะ เหมาะสำหรับคนที่เร่งรีบไปทำงานในตอนเช้าสุดๆเลย จะมีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้างมาดูกันเลย

ขั้นตอนการทำเมนูพาสต้าอโวคาโดครีมซอส

  1. ตั้งหม้อต้มน้ำผสมเกลือเล็กน้อย พอน้ำเดือดให้ใส่เส้นสปาเก็ตตี้ต้มประมาณ 7 นาที เมื่อครบเวลาแล้วตักขึ้นไปแช่น้ำเย็น เพื่อไม่ให้เส้นสุกจนเกินไป 
  2. นำกระเทียมสับลงไปผัดกับน้ำมันมะกอกสักครู่ จนเริ่มได้กลิ่นหอม จากนั้นนำเนื้ออะโวคาโด ใบพาร์สลีย์สับ ชีสพาร์เมซาน และนมสดใส่ลงไป แล้วผัดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน
  3. จากนั้นปรุงรสด้วย เกลือ พริกไทย และเติมกุ้งปอกเปลือกตามลงไป ผัดจนกระทั่งกุ้งสุก จึงค่อยเติมเส้นสปาเก็ตตี้ลงไปคลุกเคล้าให้อะโวคาโดครีมซอสเคลือบเส้นจนทั่ว โดยเราสามารถปรับเปลี่ยนความเข้นข้นของอะโวคาโดครีมซอสได้ หากใครชอบแบบที่มีน้ำซอสขลุกขลิกก็สามารถเติมนมสดเพิ่มได้ หรือสำหรับใครที่ชอบแค่พอมีซอสเคลือบเส้นก็สามารถลดปริมาณนมสดลงได้ค่ะ
  4. เพียงแค่นี้ก็จะได้พาสต้าอโวคาโดครีมซอสที่เสร็จแล้ว พร้อมจัดเสิร์ฟใส่จาน โดยโรยหน้าเมนูด้วยชีสพาร์เมซาน และพาร์สลีย์ ก็พร้อมรับประทานแล้วค่ะ

คุณค่าทางโภชนาการ

เมนูพาสต้าอโวคาโดครีมซอส เป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่คุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ เพราะมีส่วนผสมที่สำคัญอย่างผลอะโวคาโด ที่ประกอบไปด้วยสารอาหารและแร่ธาตุมากมาย เหมาะสำหรับเป็นผลไม้ของคนที่รักสุขภาพ โดยพบว่าในอะโวคาโดมีวิตามินอีที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สวยงามไม่แก่เร็ว ป้องกันหวัด และเลือดออกตามไรฟัน วิตามินเอบวกกับสารเบต้าแคโรทีนบำรุงสายตา มีสารต้านอนุมูลอิสระชะลอความแก่ และมีโปรตีนสูงกว่าผลไม้ชนิดอื่น แต่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ ประกอบกับมีวิตามินบีแก้อาการเหน็บชา โพแทสเซียมและโฟเลสช่วยลดความดันโลหิต ที่สำคัญคือเป็นไขมันดี ช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในเลือด มีเส้นใยอาหารสูง กินแล้วลดน้ำหนักได้ดี และที่สำคัญสามารถนำอะโวคาโดมาดัดแปลงเป็นส่วนประกอบในเมนูอาหารคลีนได้ตามที่ต้องการเลยค่ะ