สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
ปลาทับทิมสามรส
ปลาทับทิมสามรส
Categories
ขนมหวานไทย

บัวลอย หลากสีสัน โดนใจ ขนมนุ่ม ๆ มัน ๆ กินอร่อย

บัวลอย

เมนูขนมไทย ที่เราจะมาบอกต่อสูตรความอร่อยก็คือ บัวลอย สูตรเด็ดทำขายได้ สูตรนี้บอก วิธีทำแป้งบัวลอยให้เหนียวนุ่ม ทำแบบไหน ต้องลอง

ส่วนผสมในการทำ บัวลอย

บัวลอย

บัว ลอย ขนมไทยที่มีส่วนผสมของน้ำกะทิเป็นหลัก เป็นขนมไทยที่ทำง่าย แต่อร่อย อีกทั้งยังนำมาดัดแปลง ทำเป็นขนมสีต่าง ๆ ดังที่กำลังจะรีวิวให้เพื่อน ๆ ได้ลองทำขนมดู เชื่อว่า ถ้าทำด้วยตัวเองแล้ว มัดใจใครได้ไม่ยาก

วัตถุดิบในการทำบัวลอย

บัวลอย
  1. แป้งข้าวเหนียว 100 กรัม
  2. แป้งมัน 10 กรัม
  3. สีผสมอาหาร อย่างละ 4 หยด (สีม่วง / สีฟ้า/ สีเขียว / สีเหลือง / สีแดง)
  4. น้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ 8 ช้อนโต๊ะ 
  5. กะทิ 4 ถ้วย (หางกะทิ 2 ถ้วย + หัวกะทิ 2 ถ้วย)
  6. น้ำตาลปี๊บ 100 กรัม
  7. น้ำตาลทราย 80 กรัม
  8. เกลือป่น 1/4 ช้อนโต๊ะ
  9. มะพร้าวอ่อนหั่นชิ้นพอคำ 50 กรัม
  10. ไข่ไก่ 2 ฟอง

วิธีทำ

บัวลอย

ขั้นตอนที่ 1 เป็นขั้นตอนการเตรียมแป้งบัวลอย นำแป้งข้าวเหนียวกับแป้งมันมาผสมในชามผสม ตามด้วยสีผสมอาหาร จากนั้นเทน้ำลงไป คราวละ 1 ชต. ระหว่างนั้น ทำการนวดแป้งไปด้วย ใส่น้ำจนกระทั่งครบ 8 ชต.สังเกตุดู ก็จะพบว่า แป้งมีความเนียนละเอียดและไม่เหลว จากนั้นหาผ้าขาวหรือนำฟิล์มมาแร็ปปิดไว้ เตรียมแป้งทำบัวลอยสีอื่นต่อไป

ขั้นตอนที่ 2 หลังจากผสมและนวดแป้งจนครบทุกสีแล้วนำแป้งมาปั่นเป็นก้อนกลม ๆ ประมาณ 1 ซม. รอน้ำในหม้อต้มเดือดก่อน หยอดแป้งลงไปในหม้อ รอจนแป้งลอยขึ้นมา จากนั้นช้อนแป้งขึ้นมาจากหม้อ พักไว้ในน้ำเย็น อันเป็นวิธีง่าย ๆ ในการทำ บัว ลอย วิธีทำง่าย ๆ

บัวลอย

ขั้นตอนที่ 3 เตรียมหม้อสำหรับต้มน้ำกะทิ จากนั้นตั้งบนเตา เทหางกะทิในหม้อ ตามด้วยน้ำตาลทราย เกลือ น้ำตาลปี๊บ ขั้นตอนนี้ให้ใช้ไฟกลาง คนส่วนผสมทั้งหมดที่เตรียมไว้ให้เข้ากัน ตอกไข่ใส่กะทิ รอไข่สุก ช้อนขึ้นมาจากหม้อ เตรียมไว้ใส่บัวลอย เป็นสูตรบัวลอย ที่มีส่วนผสมของไข่ต้ม

ขั้นตอนที่ 4 ภายหลังตักไข่ขึ้นมาจากกะทิ ให้เทหัวกะทิที่เหลือลงในหม้อที่ได้ต้มหางกะทิไว้แล้ว คนส่วนผสมดังกล่าวให้เข้ากัน ใส่บัวลอยและมะพร้าวอ่อน ต้มต่อ 10 นาที ทั้งนี้เพื่อให้ความหวานและมันที่มาจากกะทิซึมเข้าไปในเนื้อขนม ครบ 10 นาทีเมื่อไหร่ ตักใส่ถ้วย ท็อปด้วยไข่ต้ม และเนื้อมะพร้าว ก็สามารถรับประทานได้แล้ว

บัวลอย

Trick: ช่วงที่กำลังปั้นแป้ง ขนาดแป้งที่นำมาปั้นไม่ควรเกิน 1 ซม. เพราะถ้าขนาดแป้งเกินกว่านั้น เวลาต้ม ตัวขนมจะขยายตัวจนใหญ่เกินไป ทำให้ดูไม่น่ารับประทาน

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมหวานไทย

ขนมตาล สีเหลืองสวย นุ่มและฟู อร่อยจัง

ขนมตาล

ขนมไทยโบราณ ขนมที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อน ขนมตาล ขนมพื้นบ้านแสนอร่อย ลูกตาลสุกทำอะไรได้บ้าง วันนี้มีคำตอบ นำมาทำขนมดังนี้

ส่วนผสมในการทำ ขนมตาล

ขนมตาล

ขนม ตาล เป็นเมนูขนมไทยสีเหลือง ที่มีเนื้อขนมค่อนข้างฟูนุ่ม กินง่าย เคี้ยวกับมะพร้าวขูดโรยเกลือนิด ๆ ออกรสเค็มปะแล่มตัดหวานจากเนื้อขนม เป็นรสชาติที่ค่อนข้างอร่อยและลงตัวยิ่งนัก อีกทั้งยังใช้ผลตาลสุกเพียงไม่กี่ผล ก็สามารถนำมาทำขนมได้แล้ว ถ้าถามว่า ระหว่างเบเกอรี่กับขนมดังกล่าว แบบไหนอร่อย กว่ากัน อยู่ที่ความชอบ จะขนมแบบไหนก็อร่อยทั้งนั้น ถ้าทำกินเอง

วัตถุดิบในการเตรียมเนื้อลูกตาลที่สุกแล้วทำยังไง

  • ลูกตาลสุก 2 ลูกพร้อมน้ำสะอาดสำหรับล้างเนื้อตาล
  • เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
ขนมตาล

วัตถุดิบในการทำหน้ามะพร้าว

  • แป้งข้าวเจ้า 300 กรัม
  • เนื้อตาลยี 200 กรัม
  • หัวกะทิ 600 กรัม 
  • ยีสต์ 2 ช้อนชา
  • ผงฟู 1+1/2 ช้อนชา
  • น้ำตาลทรายขาว 300 กรัม
  • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
  • เนื้อมะพร้าวทึนทึกขูดเส้น ปริมาณตามชอบ

วิธีทำ

ขั้นตอนที่ 1 นำลูกตาล 2 ผลไปล้างให้สะอาด เอาเฉพาะเนื้อตาลใส ๆ ใส่ไว้ในชาม ซึ่งจะเป็นวัตถุดิบในการทำขนมตาล

ขนมตาล

ขั้นตอนที่ 2 ใช้น้ำเกลือล้างเนื้อตาล เพราะเกลือสามารถลดความขมของเนื้อตาลได้ จากนั้นคั้นโดยใช้มือ แล้วยีเนื้อตาลออกมาให้มากที่สุด นำเนื้อตาลไปกรองกับตะแกรง จากนั้นนำมาใส่ในชามอีกใบเพื่อลดความเฝื่อนของ เนื้อลูกตาลสุก

ขั้นตอนที่ 3 ภายหลังวิธียีลูกตาล เรียบร้อยแล้วจนถึงขั้นนำเนื้อตาลมากรองด้วยตะแกรง ก็ยังคงต้อง เทใส่ผ้าขาวบาง 2 ชั้นที่รองด้วยตะแกรงตามด้วยนำชามผสมมารองอีกครั้ง รวบผ้าเข้าหากัน มัดไว้ ทิ้งระยะเวลาประมาณ 1 คืน เพื่อให้น้ำที่อยู่ในเนื้อตาล ไหลออกให้มากที่สุด รอกระทั่งครบเวลา นำเนื้อตาลมาเก็บไว้ในบรรจุภัณฑ์ที่มีฝาปิด

ขั้นตอนที่ 4 ใส่หัวกะทิลงในหม้อตามด้วยเกลือป่น น้ำตาลทราย ขั้นตอนนี้ใช้ไฟอ่อนเท่านั้น รอจนส่วนผสมละลายแล้วปิดเตา พักไว้ให้เย็น

ขนมตาล

ขั้นตอนที่ 5 นำยีสต์และแป้งข้าวเจ้าผสมกัน ใส่เนื้อตาลที่ยีแล้วลงไปคลุกให้ได้ลักษณะคล้ายเม็ดทราย ใช้น้ำกะทินวด ต้องค่อย ๆ เท นวดจนแป้งเนียนและจับตัวเป็นก้อน และนำน้ำกะทิที่เหลือ ละลายแป้งจนเหนียวข้นกระทั่งน้ำกะทิหมดจริง ๆ แล้วนำฟิล์มใสสำหรับแร็ปอาหารมาห่อชามผสมไว้ พักไว้ตรงบริเวณที่มีแดดจัด 3 ชม.

ขั้นตอนที่ 6 เมื่อครบ 3 ชั่วโมง ร่อนผงฟูลงไป คนให้เข้ากัน พักไว้ 10 นาที ตักใส่ถ้วยตะไลแล้วนำไปนึ่งได้เลย ซึ่งก่อนจะนึ่งให้นำพิมพ์ใบตองไปนึ่งก่อน 1 นาที เพื่อป้องกันไม่ให้แป้งติดกับใบตอง จากนั้นถึงหยอดแป้ง แล้วนำไปนึ่ง ใช้เวลานึ่งประมาณ 20 นาที ยกลงจากเตา โรยมะพร้าวทึนทึกขูดฝอยลงบนหน้าขนม แล้วยกเสริ์ฟเพื่อรับประทานได้เลย

ขนมตาล

ขนมตาลเป็นการนำผลลูกตาลสดมาทำขนมสูตรเด็ดให้สมาชิกในครอบครัว รวมถึงเพื่อนและคนรักได้ลองกินขนมอร่อยที่นำผลตาลสุกมาทำขนม ไม่แน่ ถ้าทำขนมตาลเก่ง ๆ สามารถต่อยอดนำมาสร้างอาชีพ ขายขนมได้

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมหวานไทย

พาย้อนรอยการทำขนมไทย แกะสูตรง่าย ๆ กับเมนูขนมช่อม่วง 

ขนมช่อม่วง

หากจะพูดถึงขนมที่มีรสชาติและหน้าตาที่ชวนเย้ายวนน้ำลายสอ ก็คงหนีไม่พ้นขนมไทยบ้านเราเอง เพราะทั้งรสชาติ หน้าตาที่ทำออกมานั้นล้วนแสดงถึงความใส่ใจ ความพิถีพิถันในทุกกรรมวิธีที่ทำออกมานั่นเองและในบทความนี้ เราพาท่านผู้อ่านทุกท่านมาย้อนรอยแกะสูตร ขนมช่อม่วง หนึ่งในขนมไทยที่ได้รับความนิยมกัน สามารถทำได้อย่างไรนั้น มาดูกันเลย

สูตรการทำ ขนมช่อม่วง ทำง่ายไม่ยาก อ่านจบทำขายได้เลย

ขนมช่อม่วง

ก่อนอื่นเรามารู้จักกับลักษณะพิเศษของ ขนม ช่อม่วง กันก่อนดีกว่า แน่นอนว่าขนมนี้เป็นขนมไทย ที่มีลักษณะคล้ายดอกไม้บานรายล้อมด้วยกลีบอันเป็นสีม่วงฉ่ำ พร้อมเครื่องเคียงเป็นผักสีเขียวเพิ่มรสชาติอันจัดจ้านหน่อย ๆ ด้วยพริกสดครึ่งซีก เป็นไงกันบ้างมาถึงแค่นี้ดู ๆ แล้วน้ำลายสอกันไหมเอ่ย? เอาล่ะ ต่อไปเรามาดูสูตรการทำกันเลย

สิ่งที่ต้องเตรียมมีดังนี้

ขนมช่อม่วง

– แป้งมัน ขนาด 10 กรัม
– แป้งข้าวเหนียว ขนาด 10 กรัม
– แป้งข้าวเจ้า ขนาด 40 กรัม
– แป้งท้าวยายม่อม ขนาด 10 กรัม
– น้ำมันพืช ขนาด 15 กรัม
– น้ำดอกอัญชัน ขนาด 150 กรัม
– น้ำตาลทราย ขนาด 20 กรัม
– อกไก่สับละเอียด ปริมาณ 1 ถ้วย
– ถั่วลิสงคั่ว ปริมาณ 1/2 ถ้วย
– หอมใหญ่สับละเอียด ปริมาณ 1/2 ถ้วย
– กระเทียม ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ
– รากผักชี ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ
– พริกไทยป่น ปริมาณ 2 ช้อนชา
– น้ำตาลทราย ปริมาณ 1/2 ถ้วย
– เกลือ ปริมาณ 2 ช้อนชา
– น้ำมันพืชใช้เพียงปริมาณเล็กน้อย

เมื่อเตรียมของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เรามาเริ่มทำกันเลย

ขนมช่อม่วง
  • มาเริ่มทำไส้ของช่อม่วงก่อน โดยการนำราก กระเทียม ผักชี และพริกไทย ที่เตรียมไว้มาโขลกให้เข้ากัน จากนั้นำไปผัดจนมีกลิ่นหอม
  • นำหอมใหญ่ที่สับละเอียดจากที่เตรียมไว้นั้นใส่ลงไปผัดให้พอสุก แล้วใส่ไก่สับผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาลทราย แล้ววางพักไว้ก่อน
  • มากวนแป้งเพื่อทำขนมช่อม่วงต่อ โดยการแป้งมาผสมกับน้ำดอกอัญชันให้มีสีก่อน
ขนมช่อม่วง

  • นำแป้งที่ได้เป็นสีจากน้ำอัญชันมาใส่กระทะ ตั้งไฟให้อ่อนแล้วคนไปในทิศทางเดียวกัน สังเกตเนื้อแป้งว่ามีการจับกันเป็นก้อนหรือยัง หากจับเป็นก้อนแล้วพักไว้ก่อน
  • โรยด้วยแป้งมันเล็กน้อย นวดให้เนียนเข้ากันแล้วทิ้งไว้
  • แป้งที่กวนจนได้ที่แล้วมาห่อกับไส้ที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ จับจีบให้สวยงาม แล้วนำไปนึ่ง
  • เมื่อสุกแล้วนำม่วางใส่ภาชนะ ตกแต่งด้วยเครื่องเคียงส่วนอื่น ๆ ก็จะได้ขนมช่อม่วงหน้าตาน่าทานแล้ว

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมหวานไทย

สังขยาชาไทย หวานอร่อย เนื้อเนียนนุ่ม ใครกิน ติดใจกันทุกคน

สังขยาชาไทย

สังขยาชาไทย เมนูของหวานแสนอร่อย ละมุนลิ้น หอมกลิ่นชาไทย ใครอยากลองทำ สังขยาชาไทยง่าย ๆ วันนี้เรามีวิธีทำมาให้คุณ ทำตามทำไม่ยาก

สังขยาชาไทย ส่วนผสมในการทำ

สังขยาชาไทยเปลี่ยนจากสังขยาใบเตยมาเป็นสังขยาแบบชาไทย เกิดจาก ความต้องการที่จะเปลี่ยนรสชาติสังขยาใบเตยมาเป็นสังขยาแบบชาไทย เพราะการเตรียมใบเตยรวมถึงการคั้นใบเตย พบว่ามีขั้นตอนที่ยุ่งยากมากกว่าการนำชาไทยมาทำสังขยา อีกทั้งกลิ่นหอมจากชาไทย ช่วยเปลี่ยนรสชาติสังขยาในแบบเดิม ๆ ให้น่าลิ้มลองมากขึ้น

สังขยาชาไทย

ชาไทยที่จะนำมาทำสังขยา ถ้าเป็นสูตรของทางภาคใต้ นิยมนำชาซีลอนมาทำสังขยา ทั้งนี้เพราะ กลิ่นชาซีลอนค่อนข้างหอม อีกทั้ง สียังสวยอีกด้วย ก็ยิ่งทำให้สังขยาน่ารับประทานมากขึ้น 

วัตถุดิบ

  • น้ำชาไทย50ml.
  • กะทิ (ใช้ขวดเล็ก1ชวดพอดี)250ml.
  • น้ำตาลทราย1/3 ถ้วยตวง
  • แป้งข้าวโพด1/3 ถ้วยตวง
  • นมข้นหวาน1/3 ถ้วยตวง
  • ไข่ไก่เบอร์1 (เอาแต่ไข่แดง)4 ฟอง
  • เกลือป่น 

วิธีทำ

สังขยาชาไทย

ขั้นนอนที่ 1 ง่าย ๆ เลย ให้นำชาไทยมาต้ม เพื่อเอากลิ่นหอม ๆ ออกมาจากชาไทยก่อน จากนั้น ทิ้งไว้ให้เย็น เพื่อเตรียมทำสังขยาชาไทย ในขั้นตอนต่อไป

ชั้นตอนที่ 2 น้ำตาลทราย นมข้นหวาน กะทิ ไข่แดง และเกลือป่น นำมาเทรวมกัน คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน กระทั่งน้ำตาลทรายละลายจนหมด พักไว้ จะเห็นได้ว่า สังขยาชาไทย ราคา ไม่ได้สูงนัก อีกทั้งยังอร่อยอีกด้วย

สังขยาชาไทย

ขั้นตอนที่ 3 นำแป้งข้าวโพด ค่อย ๆ เทใส่ลงไป ให้ตีจนแป้งละลาย อย่าให้จับตัวเป็นก้อนเป็นอันขาด นำชาไทยที่เราเตรียมไว้ เทลงไป ตีจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน ถ้าจะให้เนื้อเนียนละเอียด ควรนำไปกรอง 2 รอบ แล้วถึงนำขึ้นตั้งเตา

ขั้นตอนที่ 4 เอาผ้าขาวมารองก้นชามไว้ก่อน จากนั้นนำมาวางในหม้อ เราเรียกขั้นตอนนี้ว่า การตุ๋น เคล็ดลับในการทำให้อร่อย เหมือน สังขยาชาไทยครัวคุณต๋อย ต้องหมั่นคนส่วนผสมดังกล่าวตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะ การคนส่วนผสมช่วยทำให้ไม่จับตัวเป็นก้อน และอีกหนึ่งเทคนิค ตอนที่เริ่มตุ๋นสังขยา ให้ดำเนินการหรี่ไฟ 

ขั้นตอนที่ 5 คนต่อไปเรื่อย ๆ กระทั่งแป้งข้าวโพดสุก แล้วยกลงจากเตาได้เลย ขั้นตอนนี้ ยังคงต้องคนต่อเพื่อให้สังขยาคลายความร้อน

สังขยาชาไทย

ขั้นตอนสุดท้าย เทสังขยาใส่ชาม กินคู่กับขนมปังนึ่งหรือขนมปังกรอบ

สังขยา ชาไทย ของกินเล่นแบบไทย ๆ อร่อยหอมชาไทย ไม่ต้องง้อขนมเบเกอรีทำให้ของกินเล่นเมนูนี้ ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะเตรียมทำกินเองเพียงแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น ก็อร่อยแล้ว 

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมหวานไทย

ลูกชุบ เมนูขนมฉบับไทยโบราณ สีสันสุดคัลเลอร์ฟูล

ลูกชุบ

เมนูขนมอย่าง ลูกชุบ เมื่อพูดถึงก็คงไม่มีใครไม่รู้จักเพราะไม่ว่าจะไปเดินตลาดหรือห้างสรรพสินค้าก็ต้องมีร้านตั้งเรียงรายอยู่มากมาย ขนมชนิดนี้เรียกได้ว่าเป็นขนมที่โด่งดังมาตั้งแต่สมัยโบราณเลยทีเดียวใครที่ยังไม่เคยลองชิมถือว่าพลาดมาก รสชาติค่อนข้างหอมหวานมันแถมสีสันของรูปลักษณ์ยังสวยสดใสหลากหลายไปด้วยผลไม้นานาชนิดน่ารับประทาน

ลูกชุบ

เมนูขนมชนิดนี้มีส่วนประกอบหลักเป็นถั่วเขียวกวนและใช้ฝีมืออย่างมากในการลงมือทำแต่ละชิ้น ต้นกำเนิดของขนมชนิดนี้คือประเทศโปรตุเกสใช้เมล็ดอัลมอนด์มาบดให้ละเอียดแล้วนำไปกวน แต่ทางประเทศไทยวัตถุดิบอย่างอัลมอนด์หาได้ค่อนข้างยากและมีราคาแพงจึงนำถั่วเขียวมาทำเป็นส่วนผสมหลักแทนได้ทั้งรสชาติอร่อยแถมราคายังถูกลงอีกด้วย

ลูกชุบ เมนูขนมชื่อดังเต็มไปด้วยวัตถุดิบไทยอย่างมากมาย

เมื่อพูดถึงวัตถุดิบของเมนูชนิดนี้หลาย ๆ คนอาจจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นการนำเมล็ดถั่วเขียวไปปั่นแล้วนำมากวนตามลำดับ ถูกต้องแล้วค่ะตามประวัติลูกชุบแล้วเมนูนี้มีส่วนประกอบหลักคือถั่วเขียนไม่มีเปลือก สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดหรือห้างสรรพสินค้าทั่ว ๆ ไปแถมราคายังค่อนข้างถูกเอามาก ๆ 

ลูกชุบ

การจะทำลูกชุบให้อร่อยได้ต้องพึ่งพาปัจจัยในหลาย ๆ อย่าง ตั้งแต่กระบวนการนึ่งถั่วเขียวไปจนถึงการปั้นออกมาให้เกิดรูปร่างที่สวยงามน่ารับประทาน การนำถั่วไปนึ่งต้องคอยเช็คอย่างสม่ำเสมอว่าเมล็ดถั่วสุกดีแล้วหรือไม่เพราะถ้าหากสุกไม่ทั่วกันเนื้อสัมผัสของขนมจะแข็งกระด้างไม่อร่อย

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในวิธีทำลูกชุบก็คือการเลือกใช้สีผสมอาหาร ถ้าหากใครมีสีผสมอาหารที่สกัดมาจากธรรมชาติก็จะดีมาก ๆ หรือหากใครไม่มีก็ต้องเลือกสรรสีผสมอาหารที่ได้คุณภาพเพราะสีที่ราคาถูกหน่อยเมื่อกินเข้าไปนานาอาจจะไปสะสมอยู่ในร่างกายทำให้ไม่ปลอดภัยได้

ขั้นตอนการรังสรรค์ลูกชุบให้เหมือนฉบับไทยโบราณ

เมนูขนมหวานไทยชนิดนี้แต่ละที่ก็จะมีวิธีที่แตกต่างกันออกไป ถึงแม้ว่ากระบวนการทำและวัตถุดิบจะไม่ได้เยอะอะไรมากมายแต่ก็ต่างมีเคล็ดลับที่ไม่เหมือนกัน จากที่เราได้ทำการศึกษาเรื่องขนมไทยมาอย่างยาวนาน วันนี้เราจึงนำสูตรที่คิดว่าอร่อยกลมกล่อมมากที่สุดมาฝากทุกคนกันค่ะ หากใครกำลังมองหากิจกรรมยามว่างหรือกำลังจะหารายได้เสริมเมนูนี้ก็เหมาะมาก ๆ เช่นเดียวกัน ถ้าพร้อมแล้วตามไปชมกันเลยค่ะ

ลูกชุบ

ส่วนผสมหลัก

  1. ถั่วเขียวกะเทาะเปลือก 500 กรัม
  2. หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
  3. น้ำตาลทราย 310 กรัม
  4. สีผสมอาหาร (สีใดยี่ห้อใดก็ได้ตามชอบ)
  5. ผงวุ้น

วิธีการทำ

ลูกชุบ
  1. ตั้งหม้อซึ้งแล้วรองด้วยผ้าขาวบางในชั้นที่มีรู เมื่อน้ำเดือดได้ที่แล้วให้นำเมล็ดถั่วเขียววางกระจายให้ทั่วซึ้ง หมั่นคอยเช็คอยู่บ่อย ๆ เพื่อไม่ให้ถั่วเขียวดิบหรือเละจนเกินไป
  2. เมื่อถั่วเขียวสุกดีแล้วให้นำไปใส่โถปั่นพร้อมกับหัวกะทิและน้ำตาลทราย ปั่นจนทุกอย่างเข้ากันเป็นอย่างดีและเนื้อเนียนละเอียดไม่มีถั่วเขียวเป็นเมล็ดปะปนอยู่
  3. นำส่วนผสมที่ปั่นละเอียดแล้วเทใส่ลงในกระทะเพื่อกวน กวนจนสามารถปั้นถั่วเขียวเป็นลูกได้ เมื่อเสร็จแล้วให้นำขึ้นมาพักเอาไว้โดยให้ผ้าขาวบางคลุม
  4. นำสีผสมอาหารที่เตรียมไว้มาผสมกับน้ำ โดยแยกสีละถ้วย จะทำไปรูปแบบไหนก็ใช้สีตามที่ชอบได้เลยค่ะ
  5. ทำการปั้นถั่วกวนให้ออกมาเป็นรูปแบบตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ผัก หรือสัตว์ต่าง ๆ ก็จัดเลยค่ะ
  6. เมื่อทำการปั้นเรียบร้อยแล้วของหวานไทยชนิดนี้ค่อนข้างที่จะประณีตก็ตรงที่การทาสีลงไปให้เหมือนของจริง ให้ทำการทาสีสัก 2-3 รอบเพื่อให้สีสันสวยงาม
  7. ตั้งน้ำให้เดือดแล้วนำผงวุ้นใส่ลงไปคนจนกว่าผงวุ้นจะละลาย แล้วนำถั่วกวนที่ทาสีเอาไว้มาจุ่ม แล้วนำไปผึ่งลมจนแห้ง ทำซ้ำแบบนี้ 2-3 รอบเช่นเดียวกันเพื่อความน่ารับประทาน

เมนูขนมแบบไทยโบราณจะกินกี่ครั้งก็ยังคงความอร่อย

ลูกชุบ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับวิธีการทำขนมลูกชุบวัตถุดิบน้อยแถมวิธีทำก็ไม่ยุ่งยากเลยใช่ไหมคะ หากว่าใครกำลังหาอาชีพเสริมสามารถนำสูตรนี้ไปประยุกต์ใช้ได้เลยนะคะจะขายที่ตลาดก็เวิร์คหรือจะขายในโลกออนไลน์ก็เลิศไม่แพ้กัน ขนมชนิดนี้จะทำกินอีกกี่ครั้งก็ยังคงความอร่อยอยู่ตลอดเลยล่ะค่ะ

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมหวานไทย

ครองแครงกรอบ ขนมโบราณแต่ไม่โบราณ หอมเนย กรอบฟู

ครองแครงกรอบ

ครองแครงกรอบ แป้งทอดฟูกรอบ หอมกลิ่นเนย ใครที่ได้ลิ้มลองชิมขนม ครองแครงกรอบสูตรโบราณ เป็นติดใจกลับไปทุกคนเลยทีเดียว

ส่วนผสมในการทำ ครองแครงกรอบ

ครองแครงกรอบ

ครองแครงกรอบเป็นเมนูขนมเอาไว้รับประทานเล่น ค่อนข้างเป็นที่นิยม จนสามารถหาซื้อได้ตามตลาดนัด รวมถึง ร้านขายของฝาก มีความคล้ายกรอบเค็ม แต่ไม่ใช่ เพราะกรอบเค็มจะมีรสที่จัดจ้านกว่าอันเกิดจากการผสมพริกขี้หนูลงไปในขนมเมนูนี้ แต่ครองแครงที่มีขนาดเล็กกว่า จะไม่ผสมพร่ิกขี้หนูสวนตำลงไป 

ในส่วนของการทำเมนูนี้ การเตรียมมีความคล้ายกับขนมกรอบเค็ม ทว่า ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะขนมไทย จะมีขั้นตอนในการทำ รวมถึงส่วนผสมที่น้อยกว่าเบเกอรี ทว่าผลลัพธ์ที่ได้มานั้น อร่อยเท่า ๆ กัน 

ครองแครง กรอบ วัตถุดิบมีอะไรบ้าง

ตัวครองแครง

  • แป้งสาลี 350 กรัม
  • พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1/4 ช้อนชา
  • กะทิ(แช่เย็น) 100 ml
  • น้ำเปล่า(เย็น) 50 ml
  • น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
ครองแครงกรอบ

น้ำตาลเคลือบ

  • รากผักชี 4 ราก
  • กระเทียม 10 กลีบ
  • พริกไทย 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 150 กรัม
  • น้ำเปล่า 1/4 ถ้วยตวง
  • เนยจืด 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1/3 ช้อนชา
  • น้ำปลา 1,1/2 ช้อนชา
  • ผักชีซอย เล็กน้อย

วิธีทำ

ครองแครงกรอบ

ขั้นตอนที่ 1 นำไข่ไก่ เกลือ พริกไทย น้ำตาล น้ำเปล่า กะทิ และน้ำมัน ผสมให้เข้ากัน ตามด้วยแป้ง จากนั้นนวดทุกอย่างให้เข้ากัน พักไว้ในชาม 10 นาที อย่าลืมนำผ้าขาวมาคลุมไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้แป้ง ครองแครงกรอบ แห้งจนไม่สามารถนำมาปั้นเป็นก้อนกลมได้

ขั้นตอนที่ 2 สูตรครองแครงกรอบ แป้งฟู ในขั้นตอนนี้ นำแป้งมาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ แล้วนำส้อมมากดแป้งจนกระทั่งม้วนเข้าหากัน แล้วนำไปทอด

ขั้นตอนที่ 3 ไฟที่ใช้ในการทอดแป้ง จะเป็นอีกหนึ่ง วิธีทำครองแครงกรอบไม่แข็ง โดยให้ใช้ไฟกลางค่อนไปทางอ่อน นำแป้งไปทอดจนเปลี่ยนเป็นสีเหลือง จากนั้นตักขึ้นมาพักไว้จนเย็น เตรียมทำน้ำตาลเคลือบ

ขั้นตอนที่ 4 ใช้ไฟอ่อน แล้วใส่เนยลงในกะทะ ใส่กระเทียม รากผักชี พริกไทย ที่ตำละเอียดแล้วลงในกะทะ ผัด 3 เกลอ จนได้กลิ่นหอม ตามด้วยน้ำเปล่า น้ำตาล เกลือ และน้ำปลา เคี่ยวจนกระทั่ง น้ำตาลเคลือบเหนียวและหนืด แล้วถึงค่อยใส่ครองแครงกรอบที่เราเตรียมไว้ ตามด้วยผักชี คลุกและเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ปิดไฟ รอให้เย็น ก็สามารถนำมารับประทานได้แล้ว

ครองแครงกรอบ

ครองแครงกรอบสูตรนี้ ถ้าจะให้อร่อยและหอมเพิ่มขึ้นไปอีก ควรใช้เนยตามสัดส่วนที่ให้ไป แต่ถ้าไม่ใช้เนย เปลี่ยนเป็น น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะก็ได้ เพื่อที่ว่า การทำครองแครงจะเป็นเรื่องง่ายขึ้น แต่ถ้าใครที่ชอบกลิ่นเนย เติมลงไปได้เลย เพราะการกินครองแครงที่มีกลิ่นเนยหอม ๆ จะทำให้ การกินมีอรรถรสมากขึ้น จะกินเล่นในช่วงพักเบรตกับกาแฟ ชาร้อน รวมถึงน้ำขิง หรือเก๊กฮวยร้อน เข้ากันดี

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ขนมหวานไทย

กรอบเค็ม เคี้ยวกรุ๊บ ๆ หอมกลิ่นพริกไทย

กรอบเค็ม

กรอบเค็ม อร่อยกรุบ ๆ หอมสามเกลอ กรอบเค็มชาววัง ทำไม่ยาก สูตรนี้ ทำเอง กินเอง 

ส่วนผสมในการทำ กรอบเค็ม

กรอบเค็ม

เขื่อว่าหลายคนอาจจะรู้สึกสงสัย ระหว่างครองแครงกรอบและ กรอบเค็ม เหมือนหรือแตกต่างกัน ขนมครองแครงกรอบ ตัวแป้งจะหนากว่ากรอบเค็ม ทว่าตัวเคลือบที่นำมาเคลือบกับกรอบเค็มจะมีรสชาติที่จัดจ้านกว่า ก็อยู่ที่ตัวลูกค้า ชอบแบบไหน

วัตถุดิบในการทำกรอบเค็ม

ส่วนผสมแป้ง

  • แป้งเอนกประสงค์ 250 กรัม
  • หัวกะทิ 75 กรัม
  • ไข่ไก่ฟองเล็ก (เบอร์ 3) 1 ฟอง
  • น้ำปูนใส 2 ช้อนชา
  • น้ำมัน 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1/4 ช้อนชา
กรอบเค็ม

ส่วนผสมน้ำตาลเคลือบ

  • น้ำตาลปี๊บ 150 กรัม
  • รากผักชีโขลก 3-5 ราก
  • พริกไทยเม็ดโขลก 3-4 ช้อนชา
  • น้ำ 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา 1+1/2 – 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

กรอบเค็ม

ขั้นตอนที่ 1 นำแป้งสำหรับทำกรอบเค็มผสมเข้าด้วยกัน ได้แก่ แป้งเอนกประสงค์ แป้งสาลี แป้งข้าวโพด คนเข้าด้วยกัน จากนั้นค่อยนำไปร่อน เพื่อเอาสิ่งสกปรก ฝุ่นและผง ออกจากแป้ง

ขั้นตอนที่ 2 ตีไข่ไก่ลงไปในแป้ง จากนั้น นำมานวดและผสมไข่กับแป้งให้เข้ากัน เติมน้ำปูนใส จากนั้นนวดต่อ ตามด้วยหัวกะทิแล้วนวดต่อ ควรจะแบ่งหัวกะทิออกเป็น 3 ครั้ง จากนั้นทยอยใส่แป้ง นวดจนแป้งแห้ง แล้วใส่หัวกะทิ จนครบทั้ง 3 ครั้ง นวดจนรู้สึกว่าแป้งเนียน มีความเข้ากันดี แล้วค่อยพักแป้งประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นนำผ้าขาวมาคลุมไว้

ขั้นตอนที่ 3 นำส่วนผสม ที่ได้จากการนวดแป้ง มาคลึงเป็นก้อนกลม ๆ นำพิมพ์สำหรับทำกรอบเค็มมากด แล้วเตรียมทอด

กรอบเค็ม

ขั้นตอนที่ 4 เทน้ำมันลงในกะทะ จากนั้น นำแป้งไปทอด ทอดจนแป้งเหลืองฟู ตักขึ้นมาจากกะทะแล้วพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมันเพื่อเตรียมเคลือบ เป็นสูตร กรอบเค็มโบราณ ที่น่ากิน

ขั้นตอนที่ 5 ผัด รากผักชี กระเทียม พริกไทย จนมีกลิ่นหอม ใส่น้ำตามลงไป ตามด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย เกลือป่น น้ำปลา พริกขี้หนูสวนตำ นำมาเคี่ยวจนเหนียวและนำมาเคลือบได้

ขั้นตอนที่ 6 รอกระทั่งน้ำเคลือบเหนียวแล้ว ให้นำตัวแป้งทอดที่เราได้ทอดเตรียมไว้ ผัดในน้ำเคลือบ ขั้นตอนนี้ ต้องทำอย่างเบามือ กระทั่ง เคลือบหมดแล้ว ตักขึ้นมาจากกะทะแล้วพักไว้จนเย็น ตักใส่ถุงหรือภาชนะ ก็รับประทานได้แล้ว

กรอบเค็ม

กรอบเค็มขนมไทยไม่แพ้ขนมเบเกอรี โดยเฉพาะสูตรที่ให้ไป การทำนั้นไม่ยากเลย ตรงกันข้าม เตรียมส่วนผสมไม่เยอะ เรียกได้ว่า ของที่มีในตู้เย็น นำมาทำเมนูขนมไทยเมนูนี้ ได้อย่างอร่อยและลงตัว และเมื่อทำจนคล่อง ใครจะไปรู้ สามารถนำขนมสูตรนี้มาทำขายสร้างอาชีพเสริมได้ อาจจะฝากขายหรือ ทำตามออเดอร์ทำแล้วขายผ่านช่องทางออนไลน์

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย:

https://sa-game.bet/เว็บบาคาร่าที่คนเล่นเย เว็บที่คนเล่นเยอะที่สุด

Categories
ขนมหวานไทย ขนมเบเกอรี่

โตเกียวสังขยาสูตรโบราณ เมนูอาหารว่าง ทำขายก็ปัง

โตเกียวสังขยาสูตรโบราณ

โตเกียวสังขยาสูตรโบราณ ขนมไทย แต่ชื่อกลับไม่ไทย เป็นขนมหน้าโรงเรียนที่ใครต่างก็ชอบกิน วันนี้ขอนำเสนอ สูตรโตเกียวโบราณ เตรียมอะไรบ้าง ดูไปด้วยกัน

ส่วนผสมในการทำ โตเกียวสังขยาสูตรโบราณ

โตเกียวสังขยาสูตรโบราณ

โตเกียวสังขยาสูตรโบราณ เป็นอีกหนึ่งขนมที่มีความแปลก นำมากินเล่นในยามว่าง ช่วงพักเบรค หรือรองท้องตอนหิว ทว่า ในขณะเดียวกัน ความที่ขนมชนิดนี้ มีจำนวนไส้หลายแบบ ทั้งไส้หวานและไส้เค็ม โดยเฉพาะไส้เค็มที่ถึงขั้น ได้มีการนำไส้กรอกหรือไข่นกกระทามาทำไส้ขนมโตเกียว กินเข้าไปครั้งใด เรียกได้ว่า อิ่มจนไม่ต้องง้อข้าว แล้วแบบนี้ จะไม่ลองเข้าครัวหัดทำขนมโตเกียวกันหรือ

วัตถุดิบโตเกียวสังขยาสูตรโบราณ

โตเกียวสังขยาสูตรโบราณ

โตเกียวสังขยาสูตรโบราณ วัตถุดิบที่จะนำมาทำโตเกียวสังขยา แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก แป้งทำขนมโตเกียว ส่วนที่ 2 ไส้สังขยา โดยมีวัตถุดิบต้องเตรียมดังนี้

วัตถุดิบ ทำตัวแป้ง

  • ไข่ไก่จำนวน 4 ฟอง
  • แป้งสาลีเอนกประสงค์ ประมาณ 195 กรัม
  • น้ำตาลทราย 180 กรัม
  • น้ำประมาณ 3/4 ถ้วยตวง
  • เบคกิ้งโซดา 1 ชช
โตเกียวสังขยาสูตรโบราณ

ส่วนผสม สำหรับทำไส้ขนมโตเกียว

  • ไข่ไก่จำนวน 4 ฟอง
  • น้ำตาลทรายขาว 120 กรัม
  • เนยยี่ห้อใดก็ได้ 1 1/2 ชต.
  • นมประมาณ 3/4 ถ้วยตวง
  • แป้งข้าวโพดประมาณ 3 ชต.
  • เกลือป่น 1/2 ชช.
  • กลิ่นวานิลา 1 ชต.

วิธีทำ

โตเกียวสังขยาสูตรโบราณ

ขั้นตอนที่ 1 ผสมแป้งเอนกประสงค์กับเบคกิ้งโซดา จากนั้นเทน้ำเปล่าลงไป คนจนส่วนผสมทั้งหมดละลายเข้ากันดี ตอกไข่ไก่พร้อมกับใส่น้ำตาลลงไปในอ่างผสม ขั้นตอนนี้ ต้องคนส่วนผสมดังกล่าวกระทั่งน้ำตาลละลาย ดูเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นเตรียมขั้นตอนต่อไปในการทำโตเกียวสังขยาสูตรโบราณ

ขั้นตอนที่ 2 เตรียมชามผสมอีกใบ เพื่อทำ โตเกียวนิ่มไส้สังขยา เริ่มจาก ตอกไข่ลงในชามผสมที่เตรียมไว้ ตามด้วยน้ำตาลทราย ต้องตีไข่ไก่กับน้ำตาลทรายให้ละลาย แล้วเทนมอุ่น ๆ ลงไป คนส่วนผสมดังกล่าวให้เข้ากันอีกครั้ง นำขึ้นตั้งไฟ กวนจนส่วนผสมทั้งหมดข้นและเหนียวจับเป็นก้อน ตามด้วยเนย และทำการคนส่วนผสมอีกครั้ง เมื่อพบว่า เข้ากันดีแล้ว ยกลงจากเตา พักให้เย็น

โตเกียวสังขยาสูตรโบราณ

ขั้นตอนที่ 3 นำส่วนผสมแป้งที่เตรียมไว้แล้ว ละเลงในกะทะที่กำลังร้อน โดยกะทะที่เลือก ควรเป็นกะทะแบน ก่อนใส่ไส้สังขยา รอจนแป้งสุก เมื่อแป้งสุกแล้ว ตักไส้ขนมใส่บนตัวแป้ง แล้วทำการม้วนปิด แซะออกมาจากกะทะแบนและนำมารับประทาน

เคล็ดลับง่าย ๆ กินขนมโตเกียวให้อร่อย ต้องกินตอนขนมยังร้อน ๆ กินกับชาร้อน อร่อยลงตัวนัก

โตเกียวสังขยาสูตรโบราณ

โตเกียวสังขยาสูตรโบราณสามารถหาซื้อจากตลาดนัดใกล้บ้าน ซึ่งก็จะมีหลายไส้ด้วยกัน ทั้งไส้หวานอย่างไส้สังขยาที่กำลังพูดถึงอยู่ในขณะนี้ ไปจนถึงไส้เค็มอย่าง ไส้ไข่นกกระทา ไส้กรอก อยู่ที่ว่า ใครพร้อมในวัสดุชนิดใด ดังนั้น ขนมโตเกียวถึงเป็นอีกหนึ่งขนมที่นำมามิกซ์แอนด์แมทข์ปรับเปลี่ยนไส้ได้ตลอดเวลา ทำให้การกินขนมโตเกียว มีอรรถรสมากยิ่งขึ้น

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย:

https://gclubspecial168.com เว็บพนันด้านกีฬาออนไลน์ที่กำลังเป็นที่นิยม

Categories
ขนมหวานไทย ขนมเบเกอรี่

ข้าวโพดทอดไส้นม กรอบนอก นุ่มใน เคี้ยวเพลิน

ข้าวโพดทอดไส้นม

ข้าวโพดทอดไส้นม เมนูง่าย ๆ เตรียมวัตถุดิบน้อย อร่อยเทียบเท่า ข้าวโพดหวานหม้อทอด หรือไม่ มาลองเข้าครัวทำกิน

ส่วนผสมในการทำ ข้าวโพดทอดไส้นม

เป็นเมนูมิกซ์แอนด์แมทช์ที่ดูแล้วมีความน่าสนใจไม่แพ้เมนูทอดอื่น ๆ บอกได้เลยว่า การเตรียมวัตถุิบนั้น มีเพียงไม่กี่อย่างและยังหาซื้อได้ง่ายอีกด้วย ตอบโจทย์คนชอบของขบเคี้ยว ต้องนี่เลย ข้าวโพดทอดไส้นม  เมนูข้าวโพด อร่อย ๆ ที่แอดมินนำสาระและวิธีทำมาฝาก

ข้าวโพดทอดไส้นม

วัตถุดิบข้าวโพดทอดไส้นม

การเตรียมวัตถุดิบเมนูทอด มีดังนี้

1.นม 1 ½ ถ้วยตวง

2.ข้าวโพดดิบ 1 ฝัก

3.แป้งเทมปุระ 2 ชต.

4.แป้งข้าวโพด 1 ½ ชต.

5.น้ำตาลทราย 1 ชต.

6.นมข้นหวาน 4 ชต.

7.เกลือ 1 ชช.

8.ผงปรุงรส 1 ชช.

9.ไข่ไก่ 1 ฟอง

10.เนยรสจืด 20 กรัม

11.น้ำเย็นจัด

ข้าวโพดทอดไส้นม

วิธีทำ

การเตรียมข้าวโพด

ขั้นตอนที่ 1 นำข้าวโพดดิบแกะออกมาจากซัง เลือกข้าวโพดที่มีเมล็ดเต็มฝักสวย เต่งตึง ขนาดเม็ดเรียงสวยเท่า ๆ กัน จากนั้นใช้มีดคม ๆ เฉือนเมล็ดข้าวโพดออกมาจากฝัก

ขั้นตอนที่ 2 นำเมล็ดข้าวโพดดิบที่เฉือนแล้วมาคลุกกับแป้งเทมปุระรวมถึงผงปรุงรสที่เตรียมไว้ คลุกให้แป้งเทมปุระและผงปรุงรสเคลือบเมล็ดข้าวโพด จากนั้นให้นำน้ำเย็นมาพรมให้ทั่วเมล็ดข้าวโพดที่คลุกไว้ แล้วเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อเตรียมขั้นตอนการทำข้าวโพดทอดไส้นม ในขั้นตอนต่อไป

ขั้นตอนที่ 3 การทำไส้นม สำหรับเมนู แป้งทอดกินเล่น แสนอร่อย นำนม น้ำตาลทราย นมข้นหวาน  และแป้งข้าวโพด จากนั้น คลุกและคนให้ส่วนผสมดังกล่าวเข้ากัน

ขั้นตอนที่ 4 มีความคล้าย ข้าวโพดผัดเนย ทว่าเป็นการคนส่วนผสมในขั้นตอนที่ 3 คนไปเรื่อย ๆ โดยให้ใช้ไฟอ่อน คนจนส่วนผสมในขั้นตอนที่ 3 มีความข้น จากนั้น เทเนยที่เราหั่นเตรียมไว้ลงไปในส่วนผสมขั้นตอนที่ 3 รอจนเนยรสจืดละลายหมด ปิดไฟ พักส่วนผสมในขั้นตอนที่ 3 และ 4 จนเย็น แล้วนำไปเก็บไว้ในตู้เย็น

ขั้นตอนที่ 5 มาถึงการทอดข้าวโพด เริ่มจาก ตักไส้นมคลุกแป้งเทมปุระ ตามมาด้วย การนำมาชุบไข่ แล้วนำเมล็ดข้าวโดมาปั้นพร้อมกับห่อไส้นมคลุกแป้งเทมปุระที่ชุบไข่แล้ว 

ขั้นตอนที่ 6 ใช้ไฟกลางทอดจนเมล็ดข้าวโพดเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง ก็สามารถนำมาเสริ์ฟและรับประทานได้เลย

ข้าวโพดทอดไส้นมเมนูของทอดกินเล่น กรุบ ๆ เคี้ยวเพลิน เรียกได้ว่า เป็นการนำข้าวโพดอันเป็นพืชผลทางการเกษตรของคนไทยเรามาดัดแปลงเป็นเมนูฟิวส์ชั่นแบบไทย ๆ ผสมกับฝรั่ง กัดกินแต่ละคำ อร่อยจนหยุดไม่ได้ ใครอยากกินข้าวโพดทอดร้อน ๆ ต้องลองเข้าครัวทำกินเอง ทำแล้วติดใจ

เครดิตภาพ

อ่านบทความ > ขนมกล้วย อร่อยภายใน 30 นาที

สนับสนุนโดย > ufabet เว็บพนันบอลอันดับ 1 บริการซื่อตรง โปร่งใส จ่ายจริง มาร่วมเดิมพันด้านกีฬากับเราที่ https://ufaball.bet

Categories
ขนมหวานไทย ขนมเบเกอรี่ อาหารไทย

ขนมกล้วย อร่อยภายใน 30 นาที

ขนมกล้วย

ขนมกล้วย เมนูขนมหวานไทย ทำง่าย กล้วย ๆ เพียง 30 นาที เท่านั้น ทำอย่างไร ห้ามพลาด บอกเลย

ส่วนผสมในการทำ ขนมกล้วย

ขนมกล้วย เมนูขนมไทยง่าย ๆ สมชื่อที่สามารถทำได้เองที่บ้าน ใครก็ทำได้ เพราะเป็นเรื่องกล้วย ๆ ซึ่งในส่วนของวัตถุดิบนั้น หาได้ไม่ยาก ทั้งนี้เพราะ แทบทุกครัวเรือน ต้องปลูกต้นกล้วยรวมถึงต้นมะพร้าวเอาไว้แล้วอันเป็นอีกหนึ่งวิถีชีวิตของคนไทยที่เน้นอาศัยอยู่กันอย่างประหยัด ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก เราถึงเห็นบรรดาขนมไทยต่าง ๆ ใช้วัตถุดิบภายนอกรั้วบ้านมาทำขนม

 ทว่า ใช่ว่า ทุกคนจะสามารถปลูกต้นกล้วย ต้นมะพร้าวได้เองภายนอกบ้าน อันมาจาก พื้นที่น้อยไม่เพียงพอ ก็สามารถหาซื้อกล้วยและมะพร้าวได้ตามตลาดนัดใกล้บ้าน ดังนั้น ขนมชนิดนี้ถึงเป็นอีกหนึ่งขนมยอดนิยม นำมาทำขายสร้างอาชีพ อีกทั้งในช่วงผลผลิตออกเยอะ ก็สามารถนำมาแปรรูปเป็นขนมแสนอร่อยอีกทั้งยังประหยัด หรือทำเป็นอาชีพเสริมก็ยังได้

วัตถุดิบสำหรับทำขนมกล้วย

ขนมกล้วย

วัตถุดิบสำหรับทำของกินเล่นชนิดนี้ เตรียมเพียงไม่กี่อย่าง อีกทั้งยังเป็นวัตถุดิบที่สามารถหาได้ในครัวเรือน ง่าย ๆ  ส่วนจะมีอะไรกันบ้าง? รายละเอียดมีดังนี้

  • กล้วยน้ำว้าสุกนำมาบดให้ละเอียดประมาณ ½ กิโลกรัม
  • น้ำตาลทรายขาว 1 กิโลกรัม
  • เกลือป่น 1 ช้อนชา
  • แป้งข้าวเจ้า 1 กิโลกรัม
  • แป้งมันสำปะหลัง 5 ช้อนโต๊ะ
  • หัวกะทิ 200 มิลลิลิตร
  • มะพร้าวขูดฝอย ให้เลือกเป็นมะพร้าวทึนทึกถึงจะอร่อยและหอม
  • ใบตองสำหรับห่อ หรือถ้วยตะไลในกรณีไม่สามารถหาใบตองมาใช้ทำขนมได้

วิธีทำง่าย ๆ กล้วย ๆ สมชื่อ

ขนมกล้วย

ขั้นตอนที่ 1 นำส่วนผสมทั้งหมดที่เตรียมไว้แล้วก่อนหน้า อันได้แก่ กล้วยน้ำว้า แป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง น้ำตาลทราย หัวกะทิ และมะพร้าวทึนทึกขูด ผสมส่วนผสมดังกล่าวทั้งหมดให้เข้ากัน

ขั้นตอนที่ 2 นำใบตองที่จะนำมาใช้ทำ ขนมกล้วย เช็ดทำความสะอาดก่อนในเบื้องต้น ซึ่งก่อนจะหยอดส่วนผสมที่เราเตรียมไว้  ให้นำใบตองมาแผ่ออกบาง ๆ หรือจะทำเป็นรูปทรงกรวยสวย ๆ ก็ได้ รวมถึง บ้านไหนที่ไม่สามารถหาใบตองมาทำขนม ให้นำถ้วยตะไลใช้แทนใบตองก็ยังเป็นสิ่งที่ทดแทนกันได้ จากนั้น ถึงค่อยหยอดขนมลงในใบตองหรือถ้วยตะไลได้เลย 

ขั้นตอนที่ 3 เรียงขนมทั้งหมดลงในลังถึงที่น้ำกำลังเดือดปุดๆ จากนั้น ใช้เวลานึ่งขนมประมาณ 20 นาที ขนมก็สุกแล้ว เตรียมเสริ์ฟรับประทานได้เลย ซึ่งความอร่อยของขนมชนิดนี้ ให้รับประทานตอนร้อน ๆ ถึงจะอร่อยโดนใจ และถ้าสามารถแปรรูปได้ในปริมาณที่มาก ให้นำมาจำหน่ายสร้างรายได้ได้เลย ทั้งนี้เพราะ เป็นอีกหนึ่งขนมไทยที่คนนิยมมาช้านาน

เครดิตภาพประกอบ

https://www.wongnai.com/recipes/ka-nom-kluy

อ่านบทความ >> แกงขี้เหล็กสูตรโบราณ สูตรเด็ด กะทิหอม อร่อยต้องกินซ้ำ

สนับสนุนโดย >> เกมยิงปลา เกมออนไลน์รูปแบบใหม่จากทาง HILOSPEC นำมาเปิดให้บริการ ที่กำลังมาแรง รูปแบบการเล่นที่ไม่เหมือนใคร เล่นง่าย จ่ายจริง ไม่มีขั้นต่ำ > https://hilospec.com/game-yingpla/