สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
ปลาทับทิมสามรส
ปลาทับทิมสามรส
Categories
อาหารสุขภาพ

แกงไตปลา เมนูอาหารแกงตำรับปักษ์ใต้ กลิ่นหอมมีเอกลักษณ์

แกงไตปลา เมนูอาหารแกงตำรับปักษ์ใต้ กลิ่นหอมมีเอกลักษณ์
แกงไตปลา เมนูอาหารแกงตำรับปักษ์ใต้ กลิ่นหอมมีเอกลักษณ์

เมื่อพูดถึงอาหารทางใต้คงไม่มีใครที่จะไม่เคยลิ้มรสอาหารจานเด่นอย่างแกงไตปลา อาหารใต้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีที่มาจากชีวิตของคนภาคใต้ส่วนใหญ่ที่มักเกี่ยวข้องกับท้องทะเล อาหารการกินส่วนใหญ่จึงมาจากทะเล ซึ่งถ้ามีมากเกินรับประทานก็จะนำอาหารที่ได้จากทะเลนั้นมาทำการถนอมอาหาร โดยไตปลาทำมาจากการนำเอาพุงปลา และกระเพาะปลาที่มีอยู่มากในพื้นที่ มาใส่เกลือหมักดองไว้ ซึ่งถือเป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่งที่เป็นที่นิยมอย่างมากของภาคใต้ โดยใช้เวลาหมักประมาณ 1 เดือน นำมาทำแกงใส่เนื้อปลา ผัก ที่มีรสชาติเผ็ด เค็ม ร้อนแรง ใครที่ได้ลิ้มลองต้องร้องออกมาว่า หรอยจังฮู้!!!…แน่นอนค่ะ

แกงไตปลาเป็นอาหารรสชาติจัดมีทั้งแห้งและแบบน้ำ แล้วแต่ความชอบเลยค่ะ และด้วยความที่แกงมีความเผ็ดร้อนของเครื่องแกงที่เป็นเอกลักษณ์ มีรสชาติเข้มข้น จึงนิยมรับประทานร่วมกับผักหลาย ๆ ชนิดควบคู่กันไป เพื่อช่วยลดความเผ็ดร้อนลง โดยผักเหล่านั้นคนภาคใต้เรียกว่า ผักเหนาะ ซึ่งผักเหนาะของภาคใต้มีหลายอย่าง เช่น สะตอ ลูกเนียง ยอดมะม่วงหิมพานต์ และผักบางอย่างก็เป็นผักชนิดเดียวกับภาคกลาง เช่น ถั่วพู ถั่วฝักยาว มะเขือเปราะ แตงกวา หน่อไม้ นอกจากนี้แกงไตปลายังนิยมทานคู่กับขนมจีน แกล้มด้วยไข่เป็ดต้มยางมะตูม และผักสดนานาชนิด เรียกได้ว่าเมนูนี้เป็นเมนูยอดฮิตที่สามารถหาทานได้ตามร้านทั่วไป ดังนั้นวันนี้เราจึงอยากแนะนำสูตรการทำแกงไตปลา ให้อร่อยในแบบฉบับอาหารภาคใต้ อีกทั้งสูตรที่เรานำมาฝากนี้เป็นสูตรที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะส่วนประกอบของแกงไตปลามีสรรพคุณทางยาที่ดีต่อสุขภาพค่ะ ส่วนจะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ตามเรามาดูเลยค่ะ

แกงไตปลา เมนูอาหารแกงตำรับปักษ์ใต้ กลิ่นหอมมีเอกลักษณ์
แกงไตปลา เมนูอาหารแกงตำรับปักษ์ใต้ กลิ่นหอมมีเอกลักษณ์

ส่วนผสมหลักของเมนูแกงไตปลา

แกงไตปลา หรือแกงพุงปลา เป็นอาหารภาคใต้ ที่มีสรรพคุณทางยาจึงถือเป็นอีกหนึ่งอาหารเพื่อสุขภาพ โดยมีไตปลาเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ มีทั้งแบบที่ใสและไม่ใส่กะทิ โดยแบบใส่กะทิจะเป็นที่นิยมในบางท้องที่เท่านั้น ซึ่งสูตรที่เรานำมาแนะนำนี้เป็นสูตรที่ไม่ใส่กะทิ และใช้น้ำพริกแกงไตปลาสําเร็จรูป เพื่อความรวดเร็วในการทำ ส่วนจะมีวัตถุดิบและส่วนผสมอะไรบ้าง เรามาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมสำหรับทำแกงไตปลา

  1. มะเขือเปราะ 10 ลูก
  2. หน่อไม้สดต้มแล้ว 5 หัว
  3. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  4. มะขามเปียก 1 ช้อนชา
  5. กะปิกุ้งเคย 1 ช้อนโต๊ะ
  6. น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
  7. น้ำพริกแกงไตปลาสําเร็จรูป 2 ขีด
  8. มะเขือพวง 1 ขีด
  9. ถั่วฝักยาว 1 ขีด
  10. ฟักทองหั่นพอดีคำ 1 ถ้วย
  11. ตะไคร้ 4 ต้น
  12. ใบมะกรูด 20 ใบ
  13. ไตปลา 1 ขวด
  14. ปลาทูนึ่งแกะก้างออก 2 ตัว
แกงไตปลา เมนูอาหารแกงตำรับปักษ์ใต้ กลิ่นหอมมีเอกลักษณ์
แกงไตปลา เมนูอาหารแกงตำรับปักษ์ใต้ กลิ่นหอมมีเอกลักษณ์

ขั้นตอนวิธีการทำแกงไตปลา

แกงไตปลา เป็นเครื่องจิ้มนี้เป็นที่มาของอาหารชาววังที่เรียกว่าแสร้งว่าหรือแสร้งว่าไตปลา ซึ่งเป็นการปรุงแบบเดียวกับน้ำพริกไตปลาเพียงแต่ตัดไตปลาที่มีกลิ่นเหม็นคาวออกไป แล้วใส่เครื่องปรุงอื่นลงไปแทน ดังนั้นวิธีทำแกงไตปลาจึงค่อนข้างที่จะละเอียด เพราะหากไม่ทำตามสูตรอาจทำให้แกงมีกลิ่นเหม็นคาวได้ ส่วนจะมีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้างมาดูกันเลยค่ะ

  1. เริ่มจากการต้มน้ำไตปลาก่อน โดยใส่ตะไคร้ ใบมะกรูด ลงไปเพื่อลดกลิ่นคาว ตามด้วยมะขามเปียกเพื่อตัดรสชาติ แล้วรอให้น้ำไตปลาเดือดก่อน จึงเติมน้ำสะอาดตามลงไปประมาณครึ่งแก้ว ห้ามคนเด็ดขาดเพราะจะทำให้ไตปลามีกลิ่นคาวได้
  2. ตั้งน้ำให้เดือด พอน้ำเดือดแล้วใส่น้ำพริกแกงไตปลาสําเร็จรูปลงไป แล้วเพิ่มความหอมด้วยการใส่กะปิกุ้งเคย จากนั้นคนให้น้ำพริกแกงและกะปิละลายเข้ากัน พอน้ำเดือดแล้วให้กรองเอาเฉพาะน้ำไตปลาที่เราต้มไว้ใส่ลงไปในหม้อ ดับกลิ่นด้วยการใส่ใบมะกรูด และใส่น้ำตาลปี๊บลงไปเพื่อตัดรสชาติ 
  3. เริ่มใส่ผัก โดยเริ่มใส่ฟักทองก่อน ระหว่างรอให้ตักฟองที่ลอยขึ้นมาออกได้ แล้วตามต่อด้วยการใส่ปลาทูนึ่งแกะก้างออกที่เตรียมไว้ ตามด้วยมะเขือพวง
  4. ใส่หน่อไม้สดที่ต้มแล้ว เมื่อฟักทองสุกดีแล้ว ให้ใส่มะเขือเปราะลงไป พอมะเขือเปาะสุกดีแล้ว ตามด้วยถั่วฝักยาวหั่น ระหว่างนั้นตั้งไฟเดือดประมาณ 5 นาที ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ
  5. ลองชิมรสชาติได้ตามความชอบ แกงไตปลาควรมีรสชาติเผ็ดร้อนของเครื่องแกงสมุนไพร มีรสชาติออกเค็มตัดด้วยความหวานของน้ำตาลปี๊บเล็กน้อย เมื่อได้รสชาติที่ถูกใจแล้วให้ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟค่ะ 

คุณค่าทางโภชนาการ

แกงไตปลา เป็นเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ และมีคุณค่าทางโภชนาการ เพราะมีสรรพคุณทางยาที่ดีต่อร่างกาย อีกทั้งไตปลาที่เป็นส่วนประกอบสำคัญยังเป็นของหมักดองที่มีโปรตีนสูง ซึ่งพริกแกงที่ใส่มีส่วนผสมของสมุนไพรต่างๆ ที่ล้วนมีสรรพคุณช่วยแก้ท้องอืด ความเผ็ดร้อนของพริกช่วยให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น มีคุณสมบัติช่วยให้เจริญอาหาร แก้คลื่นไส้อาเจียน แก้โรคบิด อีกทั้งในปลายังมีไขมันดี แถมผักที่เป็นส่วนผสมยังอุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ เช่น ฟักทองที่มีวิตามินเอ มะเขือพวงช่วยย่อยอาหาร และข้อเด่นของผักทั้งหมดที่ใส่นี้มีกากใยที่ช่วยระบายท้องได้อย่างดีอีกด้วยค่ะ

 เห็นไหมว่าอาหารพื้นบ้านของคนไทยนั้นอุดมไปด้วยสารอาหามากมายและยังเป็นยาไปในตัว ดังนั้นยังลืมนำสูตรอาหารสุขภาพนี้ไปลองทำรับประทานเองที่บ้านนะคะ

Categories
อาหารนานาชาติ

จาปาตี อาหารต้นตำรับสไตล์อินเดีย อร่อยทำตามได้ง่ายๆ

จาปาตี อาหารต้นตำรับสไตล์อินเดีย อร่อยทำตามได้ง่ายๆ
จาปาตี อาหารต้นตำรับสไตล์อินเดีย อร่อยทำตามได้ง่ายๆ

นมัสเต วันนี้เราทักทายทุกคนด้วยภาษาอินเดีย เพราะวันนี้เรามีเมนูสุดพิเศษ จากประเทศอินเดียมาแนะนำอย่างจาปาตี หลายๆคนคงทราบกันดีว่าประเทศอินเดียมีวัฒนธรรมที่ยาวนาน รวมถึงวัฒนธรรมอาหารการกินด้วย อาหารอินเดียเป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่น มีกลิ่น รสชาติ และสีสันของเครื่องเทศอันเข้มข้น ทำให้เจริญอาหาร ช่วยย่อย ทั้งยังทำให้ร่างกายอบอุ่นในฤดูหนาว โดยเครื่องเทศแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ อาหารมังสวิรัติและอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์ 

ส่วนใหญ่แล้วคนอินเดียรับประทานแป้งและข้าวเป็นหลักในทุกมื้อจะต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างในสำรับ โดยอาหารจำพวกแป้งหรือจะเรียกว่าขนมปังก็ได้ สามารถจำแนกได้หลายชนิดคือ นาน จาปาตี โรตี ฯลฯ จาปาตี (Japati หรือ Chapatti) เป็นขนมปังอินเดียมีประวัติอันยาวนาน  ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วเอเชียใต้อย่าง อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ ฯลฯ โดยมีลักษณะเป็นแป้งสีน้ำตาลที่ค่อนข้างคล้ายกับโรตี ในบางพื้นที่ของอินเดียก็เรียกแทนกันได้ ทั้งสองชนิดนี้จะทอดหรือจี่บนกระทะแบนหรือโค้งเล็กน้อย โดยจาปาตีจะไม่ใช้น้ำมัน นิยมทานคู่กับแกงหลายชนิดของอินเดียถือเป็นอีกหนึ่งอาหารนานาชาติที่น่าสนใจอีกเมนูหนึ่ง ดังนั้นวันนี้เราจึงมีสูตรการทำเมนูจาปาตี แบบฉบับอินเดียมาฝากทุกคน จะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูจาปาตี

จาปาตี (Japati หรือ Chapatti) เป็นอาหารอินเดีย ที่นิยมกินกับแกงหลากหลายชนิดของอินเดีย เป็นเมนูที่ทำจากแป้งข้าวสาลีทั้งเมล็ดธรรมดาๆ อบในเตาดินเผาหน้าตาคล้ายโอ่งผ่าซีก หรือคล้ายๆ บอลลูน (หรือจะเป็นกระทะเหล็กก็ได้ค่ะ) แต่ก่อนจะเข้าเตาแป้งต้องผ่านการนวดก่อน โดยระหว่างที่นวดก็คลุกผงแป้งไปเป็นระยะๆ แล้วปั้นไว้เป็นก้อน จากนั้นตีให้แบนๆ ก่อนนำเข้าเตาดินเผาหรือกระทะ จาปาตีสูตรที่เรานำมาแนะนำสามารถใช้ทำจาปาตีได้ 10-12 อันซึ่งมีส่วนผสมทั้งหมดดังนี้

จาปาตี อาหารต้นตำรับสไตล์อินเดีย อร่อยทำตามได้ง่ายๆ
จาปาตี อาหารต้นตำรับสไตล์อินเดีย อร่อยทำตามได้ง่ายๆ

ส่วนผสมสำหรับเมนูจาปาตี

  1. แป้งสาลี หรือ แป้ง Durum wheat atta (แป้งข้าวสาลีดูรัมแบบละเอียด) 2 ถ้วย
  2. น้ำอุ่น 1 ถ้วย (หรือจะใช้โยเกิร์ตหรือนมแทนก็ได้)
  3. เกลือ 1 ช้อนชา (ไม่ใส่ก็ได้)
  4. เนยใส (Ghee) 1-2 ช้อนชา (ไม่ใส่ก็ได้)

ขั้นตอนวิธีการทำจาปาตี

สำหรับสูตรขั้นตอนการทำจาปาตีที่เรานำมาฝากเป็นสูตรที่ใช้กระทะทำจาปาตีให้แป้งสุก ซึ่งสูตรนี้สามารถทำตามได้ง่ายๆ โดยมีวิธีทำดั้งนี้

  1. เริ่มจากการเทแป้งสาลี เกลือ และเนยใส ใส่ลงในภาชนะผสม แล้วใช้มือของคุณคนส่วนผสมให้เข้ากันเป็นเนื้อเนียน 

หากใช้แป้ง durum wheat atta ก็จะได้จาปาตีที่อร่อยที่สุด แม้ว่าแป้งสาลีจะใช้ได้เหมือนกัน แต่มันก็จะทำให้เนื้อหนุบหนับมากกว่า และอาจเหี่ยวได้ง่ายกว่าเล็กน้อย 

แนะนำเพิ่มเติม

  • หากคุณเป็นคนที่รักสุขภาพมากๆ สามารถใส่น้ำมันมะกอกแทนเนยใสได้ แต่อาจจะไม่อร่อยเท่าใส่เนยใส
  • คุณสามารถใส่เครื่องเทศที่ชอบสักหนึ่งช้อนชา อย่างเช่นพริกป่นอะไรประมาณนั้นก็ได้ ถ้าหากว่าคุณต้องการเพิ่มอะไรนิดหน่อยให้กับสูตรดั้งเดิม
  1. ใส่น้ำอุ่นลงไปในส่วนผสมของแป้งครึ่งถ้วยแล้วคนให้ได้เนื้อแป้งที่อ่อนนุ่ม ซึ่งจะทำให้นวดแป้งโดว์ได้ง่ายกว่า ให้ใช้นิ้วผสมแป้งวนเป็นวงกลมพร้อมค่อยๆ ใส่น้ำอุ่นลงไปทีละนิด ถ้าเทลงไปรวดเดียวจะทำให้การผสมส่วนผสมยากขึ้นไปอีก ในตอนแรกส่วนผสมจะดูหยาบร่วน แต่พอใส่น้ำไปเรื่อย ๆ มันจะเริ่มจับตัวกันเองค่ะ นวดไปประมาณ 10 นาที เมื่อนวดเสร็จแล้ว แป้งโดว์จะดูเรียบเนียนสวยงาม ถ้าเกิดว่ามันแข็งเกินไป แป้งจาปาตีก็จะไม่พองตัว แต่ถ้ามันนุ่มเกินไปก็จะยากต่อการม้วนแป้ง และมันก็จะไม่ฟูขึ้นเช่นกัน ฉะนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นมากที่จะต้องหาความพอดีของมัน
  2. นำแป้งโดว์ใส่ลงชามที่ทาด้วยน้ำมันและห่อหุ้มชามด้วยผ้าเอาไว้ประมาณ 25 นาที รอเวลาให้แป้งโดว์รวมตัวกัน ถ้าเกิดทิ้งไว้นานเกินไป แป้งโดว์อาจเสียความชุ่มชื้นไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม ควรเริ่มด้วยเวลาที่ต่ำกว่าแล้วค่อยเพิ่มเวลาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้แป้งจาปาตีที่ต้องการ
จาปาตี อาหารต้นตำรับสไตล์อินเดีย อร่อยทำตามได้ง่ายๆ
จาปาตี อาหารต้นตำรับสไตล์อินเดีย อร่อยทำตามได้ง่ายๆ

แนะนำเพิ่มเติม

  • เมื่อเวลาผ่านไปซักระยะหนึ่ง ให้คุณลองทามือตัวเองด้วยน้ำมันหรือเนยใสแล้วนวดแป้งโดว์ต่ออีกสัก 5 นาที จะทำให้แป้งนุ่มเนียนขึ้นด้วยล่ะ
  1. แบ่งแป้งโดว์เป็นก้อนเล็กๆ 10-12 ก้อน แล้วจุ่มลงไปในแป้ง โดยเส้นผ่าศูนย์กลางของก้อนแป้งแต่ละก้อนควรอยู่ที่ประมาณ 3 นิ้ว (7.5 เซนติเมตร) แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้มันเท่ากันทุกก้อนก็ได้ค่ะ คุณควรใช้มือหรือไม้นวดแป้งในการแผ่ก้อนแป้งแต่ละก้อนเบาๆ แล้วจุ่มลงในผงแป้งทั้งสองด้าน จากนั้นให้เก็บก้อนแป้งที่เหลือไว้ในผ้าระหว่างที่กำลังนำก้อนแป้งชิ้นอื่นไปคลุกแป้งอยู่ ถ้าเกิดนำออกมาจากผ้าหมดในรวดเดียว จะทำให้ก้อนแป้งเสียความชุ่มชื้นไปได้ค่ะ
  2. นวดแป้งโดว์ให้แผ่ด้วยไม้นวดแป้ง จนกว่าก้อนแป้งจะบางและกลมคล้ายแพนเค้ก การนวดแป้งอย่างสม่ำเสมอจะทำให้จาปาตีพองตัวขึ้นมาได้ดี
  3. เริ่มอุ่นกระทะ (กระทะโค้งแบนเล็กน้อยเหมือนที่ทำโรตี) หรือเตากริดเดิ้ล (เตาสำหรับปิ้ง) ด้วยไฟกลาง แล้วทอดจาปาตีทั้งสองด้าน โดยวางแป้งจาปาตีลงในกระทะ แล้วทอดจนกว่าแป้งจะเกือบสุก จากนั้นก็กลับด้านและเพิ่มไฟขึ้นอีกเล็กน้อย เมื่อกลับด้านจาปาตีแล้ว อากาศก็จะเข้าไปในตัวแป้ง ควรทอดมันต่อไปจนกว่าปุ่มพองจะขึ้นมาทั้งสองด้านของแผ่นขนมปัง และควรหมุนกลับจาปาตีทุกๆ 2-3 วินาทีเพื่อให้แน่ใจว่าแป้งสุกเท่าๆ กันทุกด้านแล้ว

แนะนำเพิ่มเติม

  • หากแป้งจาปาตีมีอากาศเข้า ควรกดปุ่มพองเหล่านั้นเบาๆ เพื่อให้อากาศผ่านไปทั่วแผ่นแป้งก็ได้ ปุ่มเหล่านั้นจะทำให้จาปาตีนุ่มขึ้นและดูดีขึ้น เมื่อจาปาตีพองตัวเต็มที่แล้วก็นำออกมาจากกระทะได้เลย
  • หากใช้เตาแก๊สควรทอดด้วยไฟจากเตาแก๊สโดยตรง โดยใช้ที่หนีบกลับด้านไปหา ถ้าต้องการจะทำวิธีนี้ ต้องดูให้แน่ใจว่าเตาแก๊สของคุณสะอาดมากๆ และต้องระมัดระวังในระหว่างที่ทอดด้วย
  1. นำจาปาตีออกมาจากกระทะ แล้วใช้กระดาษห่อเอาไว้จนกว่าจะนำไปเสิร์ฟ หรือจะวางแผ่นแป้งจาปาตีไว้ในภาชนะที่ปูด้วยกระดาษก็ได้ ต้องให้แน่ใจนะว่าห่อแผ่นแป้งจาปาตีหลังจากที่นำขึ้นมาแล้วทันที 
  2. พร้อมเสิร์ฟจาปาตีรสเลิศเคียงคู่แกงกะหรี่หรือแตงกวาดอง หรือจะเอาแป้งไว้ห่อก็ย่อมได้ คุณสามารถทาเนยใสลงบนจาปาตีเพื่อรสชาติที่นุ่มลึกกว่าเดิมได้อีกด้วย และสามารถกินจาปาตีในลักษณะของอาหารอินเดียอันเป็นแก่นดั้งเดิมได้เช่นกัน

เป็นอย่างไรกันบ้างคะทุกคนสำหรับสูตรการทำจาปาตี เมนูนี้ถือว่าเป็นเมนูที่มีประวัติที่ยาวนานมาก สำหรับใครที่ต้องการให้จาปาตีเป็นอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้นและมีความนุ่มขึ้น ให้ใช้นมอุ่นๆ ครึ่งถ้วยกับน้ำอุ่นครึ่งถ้วยแทนการใช้น้ำเปล่า 1 ถ้วย ในปัจจุบันจาปาตีจะเสิร์ฟในรูปร่างที่เป็นวงกลมหรือทรงกลม แต่จะลองทำเป็นรูปแบบอื่นๆ ก็ได้นะคะ

Categories
ขนมเบเกอรี่

คุกกี้เนยสด แป้งกรอบอร่อย หอมกลิ่นเนยสด

คุกกี้เนยสด แป้งกรอบอร่อย หอมกลิ่นเนยสด
คุกกี้เนยสด แป้งกรอบอร่อย หอมกลิ่นเนยสด

หากใครที่เป็นพันธุ์แท้คุกกี้คงเคยได้ลิ้มลอง คุกกี้เนยสด เป็นขนมเบเกอรี่ทานง่าย ที่อร่อยกรุ๊บกรอบ หอมกลิ่นเนยสด มีลักษณะชิ้นเล็ก ๆ รูปร่างแบน ทำจากแป้งสาลี โดยการแบ่งแป้งขนม ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำเข้าเตาอบ เหมาะสำหรับทานคู่กับชา กาแฟ ได้ดีทีเดียวค่ะ คำว่าคุกกี้มีที่มาจากคำในภาษาดัตช์ koekje ซึ่งหมายถึง “เค้กชิ้นเล็กๆ” ซึ่ง คุกกี้ มีลักษณะและรสชาติที่หลากหลาย เป็นที่ชื่นชอบไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เด็กหรือผู้ใหญ่ และสามารถขายได้ในราคาที่ย่อมเยา คุกกี้เนยสด เป็นขนมประเภทที่มีลักษณะเฉพาะตัว และสามารถเก็บเอาไว้ได้ในระยะยาวนาน นิยมรับประทานทั้งเป็นอาหารว่าง และใช้เป็นของขวัญในเทศกาลต่าง ๆ เช่น เทศกาลปีใหม่ วาเลนไทน์ วันเกิด เป็นต้น เพราะมีลักษณะหน้าตาสวยงามชวนน่ารับประทาน และสามารถเก็บไว้ได้นานพอสมควร หลายคนจึงซื้อมาเป็นของฝากกันจำนวนมาก สำหรับใครที่อยากจะลองทำเอง วันนี้เราก็มีสูตรคุกกี้เนยสดมาฝาก แต่จะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

คุกกี้เนยสด แป้งกรอบอร่อย หอมกลิ่นเนยสด
คุกกี้เนยสด แป้งกรอบอร่อย หอมกลิ่นเนยสด

ส่วนผสมหลักของคุกกี้เนยสด

คุกกี้เนยสด” เป็นคุกกี้กรอบ ที่มีส่วนผสมหลักคล้ายคลึงกับเค้ก เพราะมีส่วนประกอบเป็น แป้ง, เนย, นม, ไข่ และสิ่งที่ช่วยให้แป้งขึ้นฟู แต่จะมีส่วนผสมของ ของเหลวน้อยกว่าและแตกต่างกับเค้กตรงที่ใช้แป้งที่มีปริมาณโปรตีนสูงกว่าเค้ก แต่น้อยกว่าขนมปัง คุกกี้เนยสด เป็นอีกหนึ่งขนมเบเกอรี่ ที่นิยมนำไปอบทานคู่กับชา หรือกาแฟ และอบเพื่อเป็นของขวัญในเทศกาลต่าง ๆซึ่งสูตรคุกกี้เนยสดทำง่ายมากๆเลยค่ะ แถมยังอร่อยกรุบกรอบ หอมกลิ่นเนยสด ส่วนจะมีวัตถุดิบอย่างไรบ้างมาเตรียมกันเลยค่ะ

ส่วนผสมสำหรับทำคุกกี้เนยสด

  1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 250 กรัม
  2. เบกกิ้งโซดา ½ ช้อนชา
  3. ผงฟู ¾ ช้อนชา
  4. เนยสดแช่เย็น 50 กรัม
  5. มาการีน 75 กรัม
  6. น้ำตาลไอซิ่ง 125 กรัม
  7. ไข่ไก่ 1 ฟอง
  8. กลิ่นวานิลลา 2 ช้อนชา

ขั้นตอนวิธีการทำคุกกี้เนยสด

หลังจากที่เตรียมส่วนผสมคุกกี้เนยสดเรียบร้อยแล้ว เรามาดูวิธีทำคุกกี้เนยสดกันต่อเลยค่ะ ขอบอกเลยว่าสูตรที่เรานำมาฝากนี้นอกจากส่วนผสมจะหาซื้อได้ง่ายแล้ว ยังมีขั้นตอนการทำที่ไม่ยุ่งยาก สามารถทำตามได้ง่ายๆ ซึ่งคุกกี้เนยสด เป็นคุกกี้หยอด ที่ใช้ช้อนตักหยอดเป็นรูปร่างต่างๆ หรือใส่กรวยที่มีหัวบีบ จึงเหมาะสำหรับมือใหม่ที่เริ่มหัดทำขนมคุกกี้ครั้งแรก หรือคนที่ชื่นชอบการทำขนมหวานอยู่แล้ว แต่จะมีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้างมาดูกันเลยค่ะ

คุกกี้เนยสด แป้งกรอบอร่อย หอมกลิ่นเนยสด
คุกกี้เนยสด แป้งกรอบอร่อย หอมกลิ่นเนยสด

วิธีทำคุกกี้เนยสด

  1. ตั้งเตาอบด้วยอุณหภูมิ 180 องศา จากนั้นเตรียมถาด ปูแผ่นรองอบ ถุงบีบหรือกระบอกบีบ
  2. เริ่มร่อนแป้งสาลีอเนกประสงค์ผสม ผงฟู และเบกกิ้งโซดา แล้วคนให้เข้ากันพักไว้
  3. นำเนยสดแช่เย็นมาทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง 15 นาที แล้วหั่นเป็นสี่เหลี่ยม จากนั้นนำมาตีด้วยหัวตีใบไม้ความเร็วปานกลาง จนเนยสดกระจายตัว แล้วค่อยเติมมาการีนลงไปตีให้เข้ากัน
  4. จากนั้นใส่น้ำตาลไอซิ่งตีต่อให้ขึ้นฟู โดยสีของเนยสด มาการีน และน้ำตาลไอซิ่งเริ่มเป็นสีอ่อนขึ้น ไม่เกิน 7 นาที ระหว่างตีให้หยุดเครื่องใช้พายยางป่วยปาดอ่างสัก 2 ครั้ง แล้วใช้หัวตีใบไม้ความเร็วปานกลาง เพื่อตีจับอากาศ ช่วยทำให้คุกกี้กรอบอร่อย
  5. ตอกไข่ใส่ชามและใส่กลิ่นวานิลลาลงผสมให้เข้ากัน ตั้งพักไว้ เมื่อส่วนผสมของเนยได้ที่ดีแล้วค่อย ๆ เทไข่ลงไป แล้วตีโดยใช้ความเร็วปานกลาง
  6. จากนั้นเปลี่ยนความเร็วเป็นระดับต่ำ และเติมส่วนของแป้งที่พักไว้ใส่ลงไปตีพอเข้ากัน อย่าตีนานเพราะจะทำให้คุกกี้เหนียวแน่น ไม่กรอบ
  7. ใส่ส่วนผสมคุกกี้ในถุงบีบหรือกระบอกบีบ แล้วปั๊มลงบนถาด จากนั้นให้นำไปแช่ตู้เย็นซักพัก เมื่อส่วนผสมคุกกี้อยู่ตัว จึงมาบีบเป็นดอก แล้ว
  8. ใส่ส่วนผสมลงในถุงบีบหรือกระบอกบีบ ปั๊มลงบนถาดได้เลย ให้แช่ตู้เย็นซักพักพอส่วนผสมอยู่ตัว จึงมาบีบเป็นดอก จากนั้นนำเข้าเตาอบ 15 นาที หรือจนสุก แล้วนำออกจากเตาแซะวางบนตะแกรงทิ้งให้เย็นสนิท เก็บในขวดปิกฝาให้สนิท เพียงแค่นี้ก็จะได้คุกกี้เนยสดแสนอร่อย พร้อมรับประทาน

เป็นอย่างไรกันบ้างคะทุกคนสำหรับสูตร คุกกี้เนยสด ที่เรานำมาฝาก นอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยกรุบกรอบ หอมกลิ่นเนยสดแล้ว ยังมีขั้นตอนการทำนั้นง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วก็ต้องอาศัยความชำนาญเหมือนกัน จึงจะทำให้ขนมออกมาดีครั้ง อุณหภูมิในขณะที่ทำก็มีส่วนเช่นกัน ถ้าร้อนเกินไปก็จะทำให้เนยเหลวได้ค่ะ คุกกี้เนยสด สามารถทำขายเป็นอาชีพเสริมได้ และการทำเป็นอาชีพเสริมก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลยค่ะ สำหรับคนที่กำลังอยากลองทำขนมคุกกี้นี้ อย่าลืมนำสูตรที่เรานำมาฝากไปลองทำกันดูนะคะ

Categories
ขนมหวานไทย

ขนมหัวมันหน้ากะทิ เมนูขนมไทยโบราณจากปักษ์ใต้

ขนมหัวมันหน้ากะทิ เมนูขนมไทยโบราณจากปักษ์ใต้
ขนมหัวมันหน้ากะทิ เมนูขนมไทยโบราณจากปักษ์ใต้

ภาคใต้ เป็นภูมิภาคหนึ่งของประเทศไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่ว่าจะเป็น อาหาร ขนมหวาน และสภาวะแวดล้อมรอบตัว ผลหมากรากไม้ต่างๆ ล้วนแล้วแต่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นขนมให้เข้ากับวิถีชีวิตและมักจะแฝงกายเคียงคู่อยู่ในขนบธรรมเนียมประเพณีรวมทั้งขนมหัวมันหน้ากะทิ ขนมไทยดั้งเดิมจากปักษ์ใต้ที่ทำจากกะทิและมันสำปะหลัง เป็นขนมเนื้อขนมนวลเนียน นุ่มหนึบด้วยมันขูดละเอียด อร่อยหวานหอมกลิ่นกะทิแบบไทยๆ และนวดเฟ้นอย่างพิถีพิถันก่อนนำไปนึ่งให้สุกฉ่ำ ขนมหัวมันหน้ากะทิมีการสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ด้วยความเป็นขนมโบราณหาทานยากจึงต้องตระวนหาซื้อกิน หรือไม่ก็ต้องรอกินตามช่วงเทศกาล ไม่ได้หากินได้ง่ายๆนะคะ แต่สำหรับที่กำลังมองหาสูตรมาลองทำกินเอง วันนี้เราก็มีสูตรขนมหัวมันหน้ากะทิมาแนะนำทุกคน ซึ่งสูตรนี้เป็นสูตรโบราณที่หาทานได้ยาก แต่สามารถทำกินเองได้ง่ายๆไม่ยุ่งยากเลยค่ะ แถมส่วนผสมยังหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป แต่จะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

ขนมหัวมันหน้ากะทิ เมนูขนมไทยโบราณจากปักษ์ใต้
ขนมหัวมันหน้ากะทิ เมนูขนมไทยโบราณจากปักษ์ใต้

ส่วนผสมหลักของขนมหัวมันหน้ากะทิ

ขนมภาคใต้ มีความหลากหลายตามพื้นที่ ท้องถิ่นและขนบประเพณีศาสนาเพราะขนมแต่ละชนิด มีที่มาจากภูมิปัญญาและวัตถุดิบที่ใช้ในการทำ ขนมหัวมันหน้ากะทิ เป็นขนมไทยโบราณของภาคใต้ ที่สืบสานการทำกันมาหลายชั่วอายุคน มีลักษณะคล้ายขนมหน้านวล แต่เปลี่ยนจากข้าวเหนียวเป็นมันสำปะหลังแทน ปัจจุบันขนมหัวมันหน้ากะทิเป็นเมนูของหวานที่หาทานได้ยากมาก ดังนั้นวันนี้เรามาลงมือทำขนมหัวมันหน้ากะทิทานเองกันง่ายๆ ที่บ้านกันเลยค่ะ แต่ก่อนจะลงมือทำตามขั้นตอนการทำ เราต้องเตรียมส่วนผสมในการทำกันก่อนค่ะ

ส่วนผสมสำหรับทำขนมหัวมันหน้ากะทิ

  1. หัวมันสำปะหลัง 1 หัว
  2. เกลือ 1 ช้อนชา (สำหรับปรุงรสหัวมัน)
  3. แป้งมัน 2 ช้อนโต้ะ
  4. น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
  5. น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
  6. หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
  7. เกลือ 1 ช้อนชา (สำหรับปรุงรสกะทิ)
  8. แป้งข้าวจ้าว 1 ช้อนโต้ะ

ขั้นตอนวิธีการทำขนมหัวมันหน้ากะทิ

หลังจากที่เราได้เตรียมส่วนผสมในการทำขนมหัวมันหน้ากะทิเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาเริ่มลงมือทำกันแล้วค่ะสำหรับวิธีทำขนมหัวมันหน้ากะทิก็ง่ายมากๆ สามารถทำเองได้ที่บ้าน ซึ่งเคล็ดลับความอร่อยของขนมปักษ์ใต้นี้ขึ้นอยู่กับการเลือกหัวมัน โดยต้องเลือกหัวมันขนาดใหญ่ๆ โดยล้างให้สะอาด และกะทิที่ต้องเลือกใช้น้ำกะทิคั้นสดๆ จะได้ความหอม ของกะทิแบบธรรมชาติ สำหรับขั้นตอนการทำมีดังนี้

ขนมหัวมันหน้ากะทิ เมนูขนมไทยโบราณจากปักษ์ใต้
ขนมหัวมันหน้ากะทิ เมนูขนมไทยโบราณจากปักษ์ใต้

วิธีทำขนมหัวมันหน้ากะทิ

  1. เริ่มจากการล้างหัวมันให้สะอาด โดยปลอกเปลือกมันออก และเอาส่วนแกนหัวมันออก เพราะแกนของหัวมัน แข็ง เวลานำมาทำขนมจะทำให้ขนมไม่เนียน 
  2. ล้างให้สะอาด โดยสังเกตุว่าต้องล้างจนน้ำใส ไม่มีแป้งสีขาวติดในน้ำ จากนั้นนำหัวมันมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
  3. นำหัวมันไปนึ่งให้สุกประมาณ 20 นาที เมื่อได้หัวมันสุกแล้ว ให้นำหัวมันมาบดให้ละเอียด จากนั้นพักเอาไว้ก่อน
  4. เตรียมภาชนะ ใส่หัวมันบด น้ำตาลทราย แป้งมัน เกลือ และน้ำเปล่า จากนั้นกวนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน กวนไปเลื่อยๆ จนส่วนผสมต่างๆเข้ากันดี
  5. จากนั้นนำหัวมันที่ปรุงรสแล้วใส่พิมพ์ และนำไปนึ่ง ด้วยไฟร้อนๆ ประมาณ 30 นาที
  6. ในรอ ให้เตรียมกะทิ โดยนำหัวกะทิมาผสมกับแป้งข้าวจ้าว และเกลือ แล้วนำส่วนผสมมากวนให้ละลาย และพักเอาไว้ก่อน
  7. เมื่อครบเวลา 30 นาที ให้ปิดไฟหม้อนึ่ง แล้วราดกะทิที่เตรียมไว้ลงบนพิมพ์ของหัวมัน และอบไว้ในหม้อนึ่งร้อนๆ ให้แป้งกะทิสุก (ไม่ต้องนึ่งนาน เพราะหากนึ่งนานกะทิจะจับตัวเป็นก้อนและเนื้อแข็ง ไม่น่ารับประทาน) และพักเอาไว้ก่อน ประมาณ 10 นาที
  8. จากนั้นนำขนมออกมาพักให้เย็น โดยให้กะทิเซ็ตตัว เพียงแค่นี้ก็จะได้ขนมหัวมันหน้ากะทิแสนอร่อย พร้อมรับประทานแล้วค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับสูตรขนมหัวมันหน้ากะทิแสนอร่อยที่เรานำมาฝาก ขนมหวานเมนูนี้เป็นขนมปักษ์ใต้โบราณที่หากินได้ยากมาก  เพราะวิถีชีวิตของคนใต้ที่ค่อยๆเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย ทำให้ขนมโบราณในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นเพียงอาชีพและธุรกิจ สำหรับผู้คนตามหาความวินเทจเท่านั้น แต่หากใครที่กำลังอยากลงมือทำขนมหัวมันหน้ากะทิกินเองที่บ้านก็อย่าลืมนำสูตรที่เราแนะนำไปลองทำดูนะคะ สำหรับวิธีเก็บรักษาควรรับประทานให้หมดภายในที่ทำ แต่หากใส่ตู้เย็นจะยืดอายุขนมได้ แต่เนื้อขนมจะเปลี่ยน ต้องอุ่นด้วยการนึ่งค่ะ