สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
ปลาทับทิมสามรส
ปลาทับทิมสามรส
Categories
อาหารสุขภาพ

ยำเต้าหู้ขาว รสชาติจัดจ้าน ประโยชน์ครบถ้วน

ยำเต้าหู้ขาว
ยำเต้าหู้ขาว

ยุคนี้หันไปทางไหนก็เห็นแต่อาหารแซ่บๆ ประเภทส้มตำและยำ แต่ความแซ่บอย่างเดียวคงไม่พอต้องรู้จักกินแต่พอดีและต้องมีเคล็ดลับในการเลือกวัตถุดิบให้พอเหมาะด้วย เพราะเมนูยำเป็นอีกหนึ่งเมนูที่คนดูแลหุ่นเลือกรับประทาน เพราะเมนูยำนี้นอกจากจะอร่อยมีทั้งเปรี้ยว เค็ม เผ็ด หวาน ครบรสความแซ่บแล้ว ยังเป็นอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำและมีประโยชน์ครบถ้วน แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกใช้วัตถุดิบอะไรบ้างด้วยค่ะ ซึ่งเมนูยำส่วนใหญ่ไม่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ จึงไม่แปลกที่เป็นเมนูที่ถูกอกถูกใจคนไทยทั้งชายและหญิง จะกินเป็นอาหารจานหลักก็ได้หรือกินเล่นเป็นอาหารว่างก็ดีงาม  เพราะทั้งอิ่มท้องและไม่ทำให้อ้วน แถมช่วยเรื่องการขับถ่ายได้อีกด้วยค่ะ อีกทั้งยำรสจัดจ้านยังช่วยแก้เบื่ออาหารได้ดี เห็นประโยชน์ครบถ้วนแบบนี้ทางเราเลยไม่พลาดที่จะนำสูตรเมนูยำมาฝากทุกคน ซึ่งสูตรที่เรานำมาเป็นสูตรการยำเต้าหู้ขาว รสชาติจัดจ้าน โดยส่วนผสมที่เราเลือกมาก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และวิธีการทำก็ง่ายๆสามารถทำกินเองได้ที่บ้าน จะเป็นอย่างไรบ้างตามเรามาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูยำเต้าหู้ขาว

เอกลักษณ์ของอาหารประเภทยำ คือ รสชาติจัดจ้าน เปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด ไขมันต่ำ เหมาะสำหรับคนรักสุขภาพ ซึ่งวัตถุดิบที่เราคัดสรรมาทำเมนูยำเต้าหู้ขาวก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ คนที่กำลังลดความอ้วนสามารถทานได้ค่ะ รับรองว่าเมนูนี้ไม่ทำให้อ้วน แต่อิ่มท้องแน่นอนค่ะ ถ้าทุกคนพร้อมกันแล้วเรามาดูวัตถุดิบและขั้นตอนการทำกันเลยค่ะ

วัตถุดิบและส่วนผสมสำหรับเต้าหู้ขาว

  1. เต้าหู้ขาวชนิดแข็ง 300 กรัม 
  2. น้ำมันมะกอกสำหรับทอด 10 มิลลิลิตร  

วัตถุดิบและส่วนผสมสำหรับน้ำยำ

  1. น้ำมะนาว 40 มิลลิลิตร 
  2. น้ำปลาลดโซเดียม 30 มิลลิลิตร 
  3. พริกขี้หนูแดง 5 เม็ด
  4. น้ำซุป 1 ถ้วยตวง 
  5. น้ำตาลจากหญ้าหวาน 20 กรัม  
  6. เกลือป่น 1 ช้อนชา
  7. ขึ้นฉ่ายซอย 30 กรัม 
  8. หอมใหญ่ซอย 30 กรัม 
  9. หอมแดงซอย 30 กรัม 
  10. เนื้อแตงกวา แครอต หัวผักกาด และพริกชี้ฟ้าหั่นเป็นเส้นตามความชอบ
ยำเต้าหู้ขาว
ยำเต้าหู้ขาว

ขั้นตอนวิธีการทำยำเต้าหู้ขาว

สำหรับวิธีทำเมนูยำเต้าหู้ขาวก็ง่ายมากๆแล้วค่ะ ทุกคนสามารถทำทานกันเองที่บ้านได้ เพียงแต่เราต้องใส่ใจกับทุกขั้นตอนที่สำคัญต้องรักษาความสะอาดด้วย ซึ่งนี่ถือเป็นหลักใจหลักในการทำอาหารเลยค่ะ หลังจากที่เรารู้แล้วว่ามีวัตถุดิบอะไรบ้าง ต่อมาเรามาดูขั้นการตอนการทำกันเลยค่ะ รับรองว่าทั้งทำง่ายและใช้เวลาไม่นานค่ะ

  1. เริ่มแรกต้องเตรียมเต้าหู้ก่อน โดยการเทน้ำมันมะกอกลงในกระทะเล็กน้อยรอให้น้ำมันร้อน แล้วนำเต้าหู้ขาวลงไปทอดให้เปลี่ยนสีแล้วปิดไฟ นำเต้าหู้สุกออกจากกระทะ หลังจากนั้นนำมาหั่นให้เป็นชิ้นลูกเต๋าขนาดเท่า ๆ กัน แล้วพักไว้
  2. ต่อมาเตรียมภาชนะทำน้ำยำ โดยใส่น้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาล และน้ำซุปลงไปเล็กน้อย แล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นใส่หอมใหญ่ซอย ขึ้นฉ่ายซอย และหอมแดงซอยมาคลุกเคล้ากับน้ำยำ 
  3. นำเนื้อแตงกวา แครอต หัวผักกาด และพริกชี้ฟ้าที่หั่นเป็นเส้นใส่ลงไปคลุกเคล้ากับน้ำยำ
  4. นำเต้าหู้ที่พักไว้ ลงไปคลุกเคล้ากับน้ำยำพอเข้ากัน (ควรคลุกเคล้าเต้าหู้อย่างเบามือ ไม่งั้นเต้าหู้ของเราจะแตกได้นะคะ)แล้วจัดเสิร์ฟใส่จานให้สวยงามได้เลยค่ะ

สำหรับเมนูยำเต้าหู้ขาวมีประโยชน์มากมายอย่างน้ำยำที่มีรสชาติเผ็ดจัดจ้าน ช่วยเรื่องการขับของเสียออกจากร่ายกายทางผิวหนัง ออกมาเป็นเหงื่อ พริกขี้หนูแดงช่วยเจริญอาหารและรักษาอาการอาเจียน มะนาวมีวิตามินเอและซี อีกทั้งขึ้นฉ่ายที่ทำให้เมนูยำมีกลิ่นหอม เป็นผักที่มีโพแทสเซียมสูง ช่วยในการขยายหลอดเลือด ป้องกันการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ช่วยในการปรับสมดุลของกรดและด่างในเลือดได้อีกด้วย ที่สำคัญต้องเลือกใช้วัตถุดิบที่สดใหม่และสะอาดด้วยนะคะ และคนเราไม่ควรกินเมนูยำทุกวัน เพราะยำเป็นอาหารรสเผ็ดจัดจ้าน หากกินทุกวันจะทำให้ระบบทางเดินอาหารระคายเคือง อาจเกิดอาการท้องเสียได้ 

Categories
ขนมเบเกอรี่

เค้กโรลชาเขียวถั่วแดง เนื้อนุ่มหวานฉ่ำ แบบฉบับญี่ปุ่น

เค้กโรลชาเขียวถั่วแดง
เค้กโรลชาเขียวถั่วแดง

หลายคนที่ชื่นชอบขนมเค้กสไตล์ญี่ปุ่นอาจเคยลิ้มลองรสชาติ เค้กโรล หรือเค้กม้วน เป็นเค้กที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในขณะนี้ โดยเฉพาะเค้กโรลชาเขียวถั่วแดงสไตล์ตะวันตกที่มีรสชาติแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม เป็นแผ่นเค้กฟองน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทาด้วยวิปครีมชาเขียวกับถั่วแดงกวน แล้วม้วนให้มีลักษณะเป็นรูปกระบอก เวลาจัดใส่จานเสิร์ฟจะผ่าครึ่งตามขวาง ด้วยความที่มันมีเนื้อเค้กที่นุ่มอร่อย สีเขียวสดและหวานฉ่ำไปกับไส้ครีมถั่วแดงจึงไม่แปลกที่เจ้าเค้กโรลชาเขียวถั่วแดงนี้จะถูกบอกใครๆหลายๆคน  

ปัจจุบันมีเค้กโรลหลากหลายรสชาติให้เลือกรับประทาน แต่รสชาติที่ให้ความรู้สึกแบบฉบับญี่ปุ่นต้องยกให้กับรสชาเขียวมัทฉะ ซึ่งผงชาเขียวมัทฉะบดละเอียด ถูกนำมาใช้แต่งแต้มสีสันและเพิ่มกลิ่นหอมให้แก่ขนมอบอย่างแพร่หลายในเอเชีย โดยประเทศญี่ปุ่นถือเป็นต้นกำเนิดชาเขียว เห็นชาเขียวที่ไหนก็ต้องนึกถึงประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นค่ะ อีกทั้งถั่วแดงหวานยังเป็นที่นิยมบริโภคและนำมาใช้ทำขนมหวานในญี่ปุ่นอย่างแพร่หลาย เพราะมันมีรสชาติหวานและละเอียดอ่อนมาก จึงไม่แปลกนักที่การทำขนมหวนโดยใช้วัตถุดิบจากผงชาเขียวมัทฉะกับถั่วแดงหวานจะได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น เพราะรสชาติเข้ากันได้ดี ดังนั้นวันนี้เราจึงไปนำสูตรการทำเค้กโรลชาเขียวถั่วแดงมาแนะนำทุกคน ใครที่เป็นคนที่ชื่นชอบการทำขนม หรือชอบขนมหวานแบบฉบับญี่ปุ่นไม่ควรพลาดบทความนี้ค่ะ 

ส่วนผสมหลักของเมนูเค้กโรลชาเขียวถั่วแดง

สำหรับส่วนผสมหลักของเมนูเค้กโรลชาเขียวถั่วแดงที่ขาดไม่ได้เลยค่ะ ส่วนผสมที่ใช้ทำเค้ก ชาเขียวมัทฉะ และครีมถั่วแดง ซึ่งชาเขียวมัทฉะจะใช้ในรูปแบบผงที่ใช้ในพิธีชงชาของญี่ปุ่นจะมีรสชาติค่อนข้างเข้มข้นและขมในตัวเอง แต่รสชาติให้ความสดชื่นเข้ากันได้ดีกับนมและน้ำตาล ถือเป็นส่วนประกอบที่ดีเยี่ยมสำหรับขนมหวานโดยเฉพาะการไม่ทิ้งความขม แต่มีกลิ่นหอมที่ดี ทำให้มันแตกต่างจากชาเขียวอื่น ๆ และหลายคนอาจเคยเห็นมาก่อนว่าครีมในเค้กโรลนี้ปรุงแต่งด้วยถั่วแดง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบที่แท้จริงสำหรับขนมญี่ปุ่น ด้วยการผสมกันระหว่างครีมสดและถั่วแดง จนกลายเป็นรสชาติที่ดีที่สุด

สำหรับสูตรเมนูเค้กโรลชาเขียวถั่วแดงที่เรานำมาแนะนำวันนี้เป็นสูตรจากผู้ใช้ที่เป็นสมาชิกเว็บไซต์พันทิปชื่อ AdrenalineRush ซึ่งเป็นสูตรที่นำมาดัดแปลงได้ง่าย แถมอร่อยมาก เนื้อเค้กนุ่ม หอมชาเขียว ส่วนไส้ก็มีส่วนผสมของกะทิทำให้ได้กลิ่นอายความเป็นไทยอีกด้วยค่ะ จะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง มาชมกันเลยค่ะ

วัตถุดิบและส่วนผสมเค้กโรลชาเขียว

  1. แป้งเค้ก 75 กรัม
  2. ผงชาเขียวมัทฉะ 10 กรัม
  3. ไข่แดง 4 ฟอง
  4. น้ำตาลทราย (ส่วนที่1) 30 กรัม
  5. น้ำมันพืช 40 กรัม
  6. นมสด 40 กรัม
  7. ไข่ขาว 4 ฟอง
  8. กลิ่นวานิลลา
  9. น้ำตาลทราย (ส่วนที่ 2) 60 กรัม
  10. พิมพ์ขนาด 8×12 นิ้ว ปูกระดาษไข

วัตถุดิบและส่วนผสมไส้ถั่วแดง

  1. ถั่วแดงสำเร็จรูป 
  2. วิปปิ้งครีมหรือกะทิ 
  3. น้ำตาลทรายป่นเล็กน้อย
เค้กโรลชาเขียวถั่วแดง
เค้กโรลชาเขียวถั่วแดง

ขั้นตอนวิธีการทำเค้กโรลชาเขียวถั่วแดง

การเพิ่มรสชาติแบบญี่ปุ่นด้วยการใส่ผงชาเขียวมัทฉะลงไปในเค้กโรลชาเขียวถั่วแดงเป็นเมนูที่สร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังใช้ถั่วแดงหวานในการทำไส้ครีมทำให้เค้กนี้เป็นขนมหวานที่เหมาะสำหรับเสิร์ฟในช่วงเวลาของหวานที่ดีที่สุด สำหรับวิธีทำเค้กโรลชาเขียวถั่วแดงก็ง่ายๆไม่ยุ่งยากดังต่อไปนี้

  1. อุ่นเตาอบเตรียมไว้ โดยเปิดไฟที่อุณหภูมิ 175 องศาเซลเซียส ใช้ไฟล่างอย่างเดียว 
  2. ทำการร่อนแป้งเค้กกับผงชาเขียวมัทฉะ เข้าด้วยกัน 2 ครั้ง เตรียมไว้
  3. ใส่ไข่แดงกับน้ำตาลทราย (ส่วนที่1) ลงในอ่างผสมแล้วตีจนสีซีดลง ใส่นมสดและน้ำมันลงไปตีต่อจนส่วนผสมเข้ากันดี จากนั้นเทส่วนผสมแป้งที่เตรียมไว้
  4. ใช้พายยางคนผสมจนเข้ากัน (หากส่วนผสมหนืดมากให้เพิ่มน้ำมันพืช 10 กรัม และนมอีก 10 กรัมลงไปค่ะ)
  5.  ตีไข่ขาวจนตั้งยอดอ่อน แบ่งไข่ขาวเป็น 3 ส่วน แล้วนำไปตะล่อมกับส่วนผสมของไข่แดงจนครบ 3 ครั้ง (ตอนตะล่อมทำเร็ว ๆ ให้นานกว่าทำเค้กชิฟฟ่อนชาเขียวอื่นๆ)
  6.  เทส่วนผสมใส่ถาดแล้วเคาะไล่อากาศ 2 ครั้ง จากนั้นนำไปอบประมาณ 12-15 นาที ก่อนครบเวลา 5 นาที ให้เปิดไฟบน แล้วอบต่อจนเค้กสุก
  7. นำออกจากเตา รอให้เค้กเย็นลงประมาณ 2 นาที แล้วคว่ำหน้าเค้กบนกระดาษไข จากนั้นลอกกระดาษไขที่รองอบออก แล้วม้วนเค้กแล้วพักไว้ก่อน
  8. ทำไส้ถั่วแดงโดยต้มถั่วแดงกับกะทิ หรือนำไปตีผสมกับวิปปิ้งครีม เติมน้ำตาลทรายลงไปเล็กน้อย ชิมรสตามความชอบ 
  9. แผ่เค้กที่ม้วนออก ปาดด้วยไส้ถั่วแดงที่เตรียมไว้ให้ทั่ว โดยเว้นขอบประมาณ 1-2 นิ้ว จากนั้นม้วนเป็นท่อน ๆ แล้วม้วนปลายด้านข้างทั้งสอง นำไปแช่ตู้เย็นอย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือข้ามคืนให้เค้กเซตตัวจะทำให้ได้เค้กทรงกลมที่สวยงามค่ะ
  10. นำออกจากตู้เย็น ตัดเป็นชิ้น ๆ แต่งด้วยไส้ครีมถั่วแดง และถั่วแดงกวนปั้นเป็นเม็ด ๆ แล้วจัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟค่ะ

เมนูขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่นนี้เป็นเมนที่ทำตามได้ง่ายๆที่บ้าน อีกทั้งคุณยังสามารถเพิ่มผงโกโก้หรือผงกาแฟสำเร็จรูปลงในแป้งแทนผงชาเขียวมัทฉะได้ค่ะ ในส่วนของไส้คุณยังสามารถใช้ผลไม้ที่คุณชื่นชอบเป็นไส้ได้หากไม่มีถั่วแดงและสามารถใช้กระดาษเบเกอรี่ได้ นอกจากนี้ให้ระวังอย่าอบเค้กมากเกินไป เพราะแผ่นเค้กค่อนข้างบาง หากอบนานอาจจะทำให้เค้กไหม้ หรือเค้กไม่นุ่มได้นะคะ

Categories
ขนมหวานไทย

ผลไม้รสหวาน มะยงชิดลอยแก้ว เย็นสดชื่นอมเปรี้ยวนิดๆ

มะยงชิดลอยแก้ว
มะยงชิดลอยแก้ว

ใคร ๆก็ทราบกันดีว่าประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ยิ่งประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ถึงกลางเดือนพฤษภาคม นี่ถือว่าเป็นช่วงฤดูร้อนของบ้านเราเลย ยิ่งสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น อาจทำให้ใครหลายๆคนเหงื่อออกง่ายจนเหนียวตัวทำไห้ร่างกายไม่สดชื่น ซึ่งการคลายร้อนที่ดีที่สุดอีกหนึ่งทางเลือกคือเครื่องดื่ม และของหวาน ดังนั้นวันนี้เราจึงมีเมนูคลายร้อนมาแนะนำทุกคนอย่างเมนูมะยงชิดลอยแก้ว เมนูของหวานแสนอร่อยที่เหมาะกับสภาพอากาศร้อนๆ แถมวิธีทำก็ง่ายมากๆเลยค่ะ 

มะยงชิดที่ใช้ทำเมนูนี้จะมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย ซึ่งในประเทศไทยมีแหล่งผลิตมะยงชิดพันธุ์ดีที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งคือจังหวัดพิจิตร โดยผลผลิตมะยงชิดของจังหวัดพิจิตรเป็นที่ต้องการของตลาด เพราะผลใหญ่ เนื้อแข็ง และมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย เหมาะที่จะใช้สำหรับทำเมนูมะยงชิดลอยแก้วค่ะ อย่ามัวช้า!! เรามาดูวิธีทำมะยงชิดลอยแก้ว กันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูมะยงชิดลอยแก้ว

มะยงชิด เป็นผลไม้หน้าร้อนที่ดีต่อสุขภาพ ด้วยความที่มันเป็นผลไม้สีเหลืองอมส้ม มีลักษณะเป็นรูปวงรีคล้ายไข่ไก่ และมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ผู้ประกอบการจึงนิยมนำมาแปรรูปมากมาย อีกทั้งมะยงชิดเป็นผลไม้ที่ขายได้ราคาค่อนข้างสูง เพราะหากินได้ยากเนื่องจากมะยงชิดจะออกผลปีละ 1 ครั้งเท่านั้น นาน ๆทีเราถึงจะได้ลิ้มรสเจ้าผลไม้ชนิดนี้ จึงไม่แปลกที่หลายๆคนจะชื่นชอบและรีบหาซื้อมารับประทานกัน สำหรับส่วนผสมของเมนูมะยงชิดลอยแก้วมีไม่มากเลยค่ะ แต่ก่อนที่จะไปดูวัตถุดิบส่วนผสม เรามาดูวิธีการเลือกผลไม้มะยงชิดสำหรับมะยงชิดลอยแก้วกันก่อนดีกว่าค่ะ

วิธีการเลือกมะยงชิด

  1. เลือกผลที่มีสีเหลืองอมส้มประมาณ 80เปอร์เซ็นต์ และมีสีเขียวตรงขั้วเล็กน้อย
  2. เลือกผลที่มีรอยด่าง รอยโรค หรือแมลงน้อย ๆ
  3. เลือกแบบที่สุกพอดี ไม่ควรเลือกแบบสุกจนเกินไปเพราะเนื้อจะเละ ช้ำ ไม่อร่อย
  4. เลือกแบบรสชาติหวานอมเปรี้ยว เนื้อแน่น มียางเพียงเล็กน้อย

วัตถุดิบและส่วนผสมเมนูมะยงชิดลอยแก้ว

  1. มะยงชิด 8-10 ลูก 
  2. น้ำสะอาด 1 ลิตร  
  3. น้ำตาล 250 กรัม  
  4. เกลือ 1 ช้อนชา  
  5. ใบเตย 2-3 ใบ  
มะยงชิดลอยแก้ว
มะยงชิดลอยแก้ว

ขั้นตอนวิธีการทำมะยงชิดลอยแก้ว

สำหรับวิธีทำเมนูของหวานมะยงชิดลอยแก้ว ก็ง่ายมากๆเลยค่ะ สามารถทำทานเองได้ที่บ้าน โดยมีขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

  1. นำมะยงชิดไปล้างด้วยน้ำเกลือ เพื่อล้างยางออก จากนั้นปอกเปลือกมะยงชิด เตรียมไว้ โดยใช้วิธีปอกมะยงชิดดังนี้
  • เริ่มลงมือจากกึ่งกลางของก้นมะยงชิด โดยใช้คมมีดปาดพยายามให้บางที่สุด ไล่ไปเรื่อย ๆ จนถึงหัว ที่สำคัญอย่าให้เปลือกขาดจากกันในตอนปาด เพื่อริ้วที่สวยงามคะ
  • พอถึงตอนคว้านมะยงชิดเพื่อเอาเม็ดออก เริ่มทางกลับกันคือเริ่มจากหัวแทน ล้วงมีดเข้าไปคว้านรอบๆ เม็ดด้านในให้ทั่ว แล้วบั้งปลายเพื่อดันเม็ดออกมา เท่านี้ก็จะได้มะยงชิดสวยๆ แบบไร้เม็ดแล้วค่ะ
  1. ตั้งหม้อต้มน้ำให้เดือด ใส่ใบเตยลงไป จากนั้นให้ปรุงรสด้วยเกลือป่น น้ำตาลทราย รอจนน้ำตาลละลาย ปิดไฟและพักไว้จนเย็น
  2. นำมะยงชิดที่เตรียมไว้ใส่ถ้วย ราดด้วยน้ำเชื่อม เติมน้ำแข็งป่น หรือนำไปแช่ช่องฟรีซ เก็บไว้ทานมื้อถัดไปก็ได้เช่นกันค่ะ

เสร็จไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับเมนูมะยงชิดลอยแก้ว เมนูของหวานคลายร้อน ใครที่ได้กินก็สดชื่น แถมมะยงชิดยังเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์มากมายอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ของมะยงชิดมีดังนี้

  1. มีเบต้าแคโรทีนสูง 230 ไมโครกรัม ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระสูง 
  2. มีวิตามินซีค่อนข้างสูง ช่วยบำรุงสายตา 
  3. เป็นผลไม้แคลอรี่ต่ำ 
  4. บำรุงผิวพรรณให้สวยเปล่งปลั่ง อ่อนเยาว์
  5. ระบบขับถ่ายดีเพราะมีกากใยสูง 
  6. อุดมไปด้วยโปรตีนและธาตุเหล็ก ที่จะช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง 
  7. ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  8. มีแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน 
  9. ลดความเสี่ยงของการเกิดโรค มะเร็ง เบาหวาน ความดัน 
  10. ป้องกันอาการโรคโลหิตจางได้ 
Categories
อาหารไทย

แกงมัสมั่นไก่ รสชาติเข้มข้นถึงพริกถึงขิง

แกงมัสมั่นไก่
แกงมัสมั่นไก่

ขึ้นชื่อว่าอาหารไทยหลายคนคงมีเมนูในใจกันเยอะแยะมากมายใช่ไหมค่ะ? แต่มีอีกหนึ่งเมนูที่กลมกล่อมอร่อยถึงพริกถึงขิงที่เราอยากแนะนำทุกคนอย่างแกงมัสมั่นไก่ ที่ไม่เป็นสองรองใคร ด้วยความที่เป็นแกงกะทิและมีเนื้อสัตว์มาก แถมยังมีเครื่องเทศที่นอกจากช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์และทำให้มีกลิ่นหอมชวนกินแล้ว เดิมทีแกงมัสมั่นได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย เพราะมีส่วนผสมเครื่องเทศที่ขาดไม่ได้อย่าง ลูกผักชี ยี่หร่า ลูกจัน ดอกจันทน์ เม็ดกระวาน กานพลู ซึ่งให้กลิ่นรสที่ร้อนแรงในตำรับอินเดียจะใช้เฉพาะเครื่องเทศแห้งและไม่ใส่กะทิ ต่อมาประเทศไทยได้นำมาประยุกต์ให้เข้ากับวัตถุดิบและความนิยมของคนไทย โดยมีการใช้สมุนไพรสดในพริกแกง และมีการปรุงรสให้ออกเค็ม หวาน มัน และถูกจัดให้เป็นอาหารอร่อยอันดับ 1 ของโลก โดยเว็บไซต์ CNNGo

ส่วนผสมหลักของเมนู แกงมัสมั่นไก่

แกงมัสมั่นไก่ เป็นอาหารไทยชนิดหนึ่งประเภทอาหารคาว มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก จนแต่ละประเทศได้มีการนำไปประยุกต์เป็นแบบฉบับของประเทศตนเองอย่างเช่น เวียดนาม เกาหลี จีน ฝรั่ง และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งเมนูนี้ชาวไทยมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลามต่างพากันชื่นชอบเป็นจำนวนมาก โดยรสชาตินั้นจะออกเปรี้ยว เค็ม หวาน กลมกล่อม อร่อยครบเครื่อง โดยสูตรที่เรานำมาแนะนำเป็นสูตรโบราณที่มีวัตถุดิบและส่วนผสมหลักในแบบฉบับไทยส่วนใหญ่จะเป็นสมุนไพรไทยที่หาซื้อได้ง่าย จะมีวัตถุดิบอะไรบ้าง ตามเรามาเตรียมไปพร้อมๆกันเลยค่ะ

วัตถุดิบและส่วนผสม

  1. หัวกะทิ 1 ถ้วย
  2. หางกะทิ 1 ถ้วย 
  3. พริกแกงมัสมั่น 200 กรัม
  4. ไก่สับชิ้นใหญ่ 1 กิโลกรัม (คุณสามารถที่จะใส่เนื้อสัตว์อย่างอื่นแทนไก่ก็ได้ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู)
  5. มันฝรั่งหัวเล็ก 400 กรัม
  6. หอมหัวใหญ่หัวเล็ก 500 กรัม
  7. ลูกกระวาน 10 เม็ด
  8. อบเชยยาว 2 นิ้ว 1 แท่ง
  9. ถั่วลิสงคั่ว ¾ ถ้วย
  10. น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ
  11. น้ำตาลปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ
  12. น้ำมะขามเปียก 4 ช้อนโต๊ะ
  13. ใบหยี่หร่า 8-10 ใบ หรือตามความชอบ
แกงมัสมั่นไก่
แกงมัสมั่นไก่

ขั้นตอนวิธีการทำแกงมัสมั่นไก่

สำหรับแกงมัสมั่นไก่ มีวิธีทำที่ค่อนข้างเข้าใจง่ายมากๆ เลยค่ะ โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

  1. นำหัวกะทิลงไปเคี่ยวในหม้อต้มจนกะทิแตกมัน จากนั้นนำเครื่องพริกแกงมัสมั่นลงไปผัดใหเหอมและตามด้วยการใส่เนื้อไก่สับชิ้นใหญ่ผัดให้พอสุก
  2. เติมหางกะทิลงไป ตามด้วยการใส่อบเชย ลูกกระวาน แล้วปรับไฟให้เบาเคี่ยวต่อจนเนื้อไก่สับชิ้นใหญ่เปื่อย
  3. เสร็จแล้วปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำมะขามเปียก และน้ำตาลปี๊บแล้วคนให้ส่วนผสมเข้ากัน 
  4. ใส่ถั่วลิสง มันฝรั่ง หอมหัวใหญ่และใบหยี่หร่า ตั้งเคี่ยวต่ออีก 30 นาที หรือจนกว่ามันฝรั่งสุกพอดี แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ ตักใส่ถ้วยเสิร์ฟพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ บอกเลยว่าเด็ดมากๆค่ะ

เคล็ดลับการทำแกงมัสมั่นไก่ให้อร่อย

  1. สำหรับคนที่ไม่เร่งรีบก่อนใส่กะทิในหม้อ ให้คั่วเครื่องพริกแกงมัสมั่นให้ออกกลิ่นก่อน จะช่วยทำให้มีความหอมของพริกแกงมากขึ้น
  2. เนื้อไก่แนะนำให้ใช้ส่วนอก เนื่องจากมีไขมันน้อย เมื่อเคี่ยวกับเครื่องพริกแกงมัสมั่นจะให้เนื้อนุ่มพอดี หากใช้เนื้อไก่ ส่วนอื่นเนื้อไก่อาจจะเละไม่น่ารับประทานได้
  3. ตั้งแกงมัสมั่นไก่ ไว้สัก 3-4 ชั่วโมงก่อน หรือ นำไปแช่ตู้เย็นค้างคืน เมื่อจะรับประทานให้นำเป็นอุ่นก่อน จะได้รสชาติแกงมัสมั่นที่อร่อยกว่าปกติ
  4. น้ำตาลที่ใช้ควรเป็นน้ำตาลปี๊บจะดีที่สุด เพราะว่าความหวานของน้ำตาลปี๊บ จะหวานให้ความอร่อยกว่าน้ำตาลประเภทอื่นๆ
  5. กะทิที่ใช้แนะนำให้เป็นกะทิคั้นสด จะให้รสชาติของกะทิที่แท้จริงและอร่อยมากกว่ากะทิสำเร็จรูป

แม้ว่าแกงมัสมั่นจะเป็นแกงกะทิและมีเนื้อสัตว์มาก แต่เมื่อรับประทานแล้วกลับไม่ได้ทำให้เรารู้สึกแน่นหรืออิ่มท้องเกินไป เพราะส่วนผสมที่เป็นเครื่องเทศถ้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรไทยที่นอกจากช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์และทำให้มีกลิ่นหอมชวนกินแล้ว ยังมีสรรพคุณที่ช่วยลดอาการท้องอืดและช่วยย่อยอาหารอย่างเช่น อบเชย แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ คลื่นไส้ ยี่หร่าช่วยขับลม ขับเสมหะ ลูกกระวานแก้อาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย และด้วยรสชาติที่กลมกล่อมและกลิ่นที่หอมชวนรับประทาน ยิ่งทำให้เราทานง่ายขึ้น แถมยังสบายท้องอีกด้วย

Categories
อาหารสุขภาพ

ปลาทับทิมนึ่งแกล้มผัก พร้อมจิ้มแจ่วปลาร้า สไตล์บ้านๆ

ปลาทับทิมนึ่งแกล้มผัก พร้อมจิ้มแจ่วปลาร้า
ปลาทับทิมนึ่งแกล้มผัก พร้อมจิ้มแจ่วปลาร้า

เชื่อว่าหลายคนที่กำลังวางแผนลดน้ำหนัก แต่ก็ไม่อยากพลาดอาหารอร่อยกันใช่ไหมค่ะ? วันนี้เราก็มีเมนูอาหารที่อร่อย แถมยังเหมาะสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก แน่นอนว่าเมนูที่เรานำมาจะต้องใช้ปลาเป็นวัตถุดิบ ซึ่งเนื้อปลานี้สามารถทานได้ทุกเพศทุกวัย หลายคนอาจคุ้นเคยกับเมนูปลาหลายเมนูอย่างเช่นปลาราดพริก หรือปลาสามรส แต่ด้วยวิธีการทำเมนูเหล่านั้นต้องนำปลาไปทอดในน้ำมันอาจจะไม่เหมาะที่จะเป็นอาหารลดน้ำหนัก หรืออาหารคลีนสักเท่าไร วันนี้เราจึงได้คัดสรรเมนูอาหารลดน้ำหนักที่อร่อยมากฝากทุกคน ซึ่งนั่นก็คือเมนูอาหารปลาทับทิมนึ่งแกล้มผัก ทานคู่กับจิ้มแจ่วปลาร้า เป็นอาหารคลีนเพื่อสุขภาพแบบไทย ๆ อร่อยอิ่มท้อง แถมมีคุณค่าทางสารอาหาร กินได้เยอะไม่ต้องกลัวอ้วนเลยค่ะ นอกจากนี้วิธีลดน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพต้องทำควบคู่กันไปทั้งควบคุมอาหาร และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ

ส่วนผสมหลักของเมนูปลาทับทิมนึ่งแกล้มผัก พร้อมน้ำจิ้มแจ่วปลาร้า

หลายคนคงทราบดีว่าปลาเป็นอาหารที่ให้โปรตีนสูงแต่ให้พลังงานต่ำ และเป็นอาหารที่ใครหลาย ๆ คนชอบทานโดยเฉพาะคนที่กำลังลดน้ำหนัก อีกทั้งยังสามารถทำเมนูต่างๆได้หลากหลายเมนูไม่ว่าจะเป็นต้ม ปิ้ง ทอด และนึ่ง ซึ่งวันนี้เราก็มีเมนูอาหารเพื่อสุขภาพมาฝากทุกคนอย่างปลาทับทิมนึ่งแกล้มผักโดยการนำผักรวมไปนึ่งพร้อมกับปลา หรือแกล้มผักสดก็ได้ค่ะ ทานคู่กับจิ้มแจ่วปลาร้าสไตล์อาหารอีสาน ซึ่งมีส่วนผสมที่หาซึ่งได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไปและขั้นตอนการทำที่ง่ายแสนง่ายดังนี้

วัตถุดิบและส่วนผสมเมนูปลาทับทิมนึ่งแกล้มผัก

  1. ปลานิลที่ขอดเกล็ดและชักไส้ออกแล้วขนาดกลาง 2 ตัว (ควรเลือกปลาที่สดใหม่ โดยให้เลือกปลาที่ตาใส ไม่มีสีขุ่น ตากลมโตไม่ลึกโบ๋ เกล็ดต้องมันเงา ไม่หลุดลอกออก หนังของปลาจะต้องมีเมือกคลุมรอบตัว เหงือกของปลาต้องมีสีแดงสด ครีบปิดสนิท และสุดท้ายเมื่อออกแรงกดบนตัวปลา เนื้อปลาจะแข็ง ไม่บุ๋มมาแรงกด)
  2. ตะไคร้ซอย ¼ ถ้วย
  3. กระเทียมกลีบเล็กโขลก 20 กลีบ
  4. ตะไคร้หั่นท่อน 2 ต้น
  5. ใบมะกรูด 4 ใบ
  6. ข่าซอย 2 แว่น
  7. เกลือสำหรับล้างปลา 2 ช้อนโต๊ะ
  8. น้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชูสำหรับล้างปลา 2 ช้อนโต๊ะ
  9. เกลือสำหรับหมักปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  10. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  11. ผักนึ่ง ผักลวก และผักสดตามชอบ เช่น ต้นกวางตุ้งอ่อนนึ่ง ฟักทองนึ่ง เห็ดนึ่งกะหล่ำปลีนึ่ง บวบงูลวก ผักกาดเขียวจ้อย ผักแพว เป็นต้น

ส่วนผสมน้ำจิ้มแจ่วปลาร้า

  1. พริกขี้หนูแดง  15 เม็ด
  2. หอมแดง 7 หัว
  3. มะเขือเทศสีดา 2 ลูก
  4. กระเทียมกลีบใหญ่ 6 กลีบ
  5. น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
  6. น้ำปลา 1 ช้อนชา
  7. น้ำปลาร้าต้มสุก ½ ถ้วย
  8. น้ำตาลปี๊บ ½ ช้อนโต๊ะ 
  9. เกลือ ½ ช้อนโต๊ะ
ปลาทับทิมนึ่งแกล้มผัก พร้อมจิ้มแจ่วปลาร้า
ปลาทับทิมนึ่งแกล้มผัก พร้อมจิ้มแจ่วปลาร้า

ขั้นตอนวิธีการทำเมนูปลาทับทิมนึ่งแกล้มผัก พร้อมน้ำจิ้มแจ่วปลาร้า

สำหรับเมนูปลาทับทิมนึ่งแกล้มผัก กับน้ำจิ้มแจ่วปลาร้าก็มีวิธีทำที่ไม่ได้ยุ่งยากเลยค่ะ โดยแบ่งวิธีการทำแยกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนแรกการหมักปลาแล้วนำไปนึ่งกับผักที่ชื่นชอบ และส่วนที่ 2 การทำน้ำจิ้มแจ่วปลาร้ารสเด็ดสไตล์อีสานแท้ๆ อย่ารอช้าเรามาดูขั้นตอนการทำเมนูนี้กันเลยค่ะ

ขั้นตอนวิธีการทำเมนูปลาทับทิมนึ่งแกล้มผัก

  1. ทำการดับกลิ่นเหม็นคาวปลาก่อน เพราะปลาทุกชนิดต้องมีกลิ่นคาวอยู่แล้ว แต่จะมีกลิ่นคาวมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของปลา การดับกลิ่นเหม็นคาวสามารถทำได้ โดยใช้น้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชู ผสมกับเกลือ แล้วนำมาทาบนตัวของปลา จะช่วยดับกลิ่นเหม็นคาวได้ และยังทำให้เนื้อปลาไม่แตกหรือเละอีกด้วยค่ะ จากนั้นให้ล้างด้วยน้ำเปล่าออก และอย่าลืมล้างผักที่จะนำไปนึ่งด้วยน้ำเกลือนะคะ
  2. เริ่มต้นหมักปลา โดยการโขลกตะไคร้ เกลือสำหรับหมักปลา และกระเทียมรวมกันจนละเอียด ใส่น้ำปลาตามลงไป คนผสมกัน แล้วนำไปทาให้ทั่วตัวปลาทั้งผิวด้านนอกและภายในท้องปลาหมักไว้ในอุณหภูมิห้องประมาณ 1 ชั่วโมง
  3. ตั้งหม้อนึ่งโดยให้ใช้ไฟที่แรงพอให้น้ำเดือดจัดๆ แล้วนำสมุนไพรอย่างตะไคร้หั่นท่อน ใบมะกรูด ข่าซอยใส่ลงในท้องปลาที่หมักไว้ วิธีนี้ช่วยดับกลิ่นเหม็นคาวได้ในขณะที่กำลังนึ่ง และยังทำให้ปลามีกลิ่นหอมสมุนไพรอีกด้วยค่ะ
  4. ใส่ปลาเรียงลงในซึ้งนึ่ง ตามด้วยการเรียงผักสดที่ต้องการนึ่งลงรอบ ๆ ตัวปลา แล้วจึงยกซึ้งนึ่งขึ้นวางบนหม้อต้มที่มีน้ำเดือดแล้ว จากนั้นปิดฝาให้สนิท รอประมาณ 15 นาทีหรือจนเนื้อปลาสุกดี แล้วปิดไฟ (ระหว่างรอเวลาก็ต้องหมั่นเปิดฝาหม้อบ่อย ๆเพื่อให้ไอน้ำที่มีกลิ่นคาวออกไปด้วยค่ะ ปลาจะได้ไม่มีกลิ่นเหม็นคาวค่ะ) 

ขั้นตอนวิธีการทำน้ำจิ้มแจ่วปลาร้า

  1. เริ่มต้นทำน้ำจิ้มแจ่วปลาร้า โดยนำพริกขี้หนูแดง หอมแดง มะเขือเทศสีดา กระเทียมกลีบใหญ่ คั่วในกระทะจนเกรียม
  2. ตำพริกขี้หนูแดง หอมแดง มะเขือเทศสีดา กระเทียมกลีบใหญ่ที่คั่วแล้ว รวมกันให้ละเอียดดี แล้วใส่มะเขือเทศตำให้เข้ากัน
  3. ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำปลา น้ำปราร้า น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ แล้วชิมให้ได้รสพอดี
  4. ตักปลาใส่จานเคียงด้วยผักนึ่งหรือผักลวกต่าง ๆ เสิร์ฟคู่กันกับน้ำจิ้มแจ่วปลาร้า

สำหรับเมนูปลาทับทิมนึ่งแกล้มผักนี้ ให้พลังงานต่อหนึ่งหน่วยบริโภคประมาณ 136.58 กิโลแคลอรี, โปรตีนประมาณ 20.39 กรัม, ไขมัน 1.50 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 8.40 กรัม และไฟเบอร์ 1.89 กรัม นอกจากที่อร่อยแล้วยังมีประโยชน์อีกด้วย สำหรับคนรักสุขภาพไม่ควรพลาดเมนูนี้นะคะ

Categories
ขนมเบเกอรี่

ขนมเมล่อนปัง ขนมปังคุกกี้สไตล์ญี่ปุ่น หน้าตาเก๋ ๆ

ขนมเมล่อนปัง
ขนมเมล่อนปัง

ขนมเบเกอรี่ยอดนิยมของญี่ปุ่น ที่ไม่นึกถึงคงไม่ได้ตอนนี้นั่นก็คือ ขนมเมล่อนปัง นั่นเองค่ะ แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเจ้าขนมนี้มีลักษณะยังไง ทำไมถึงเรียกว่าเมล่อนปัง หรือมันทำมาจากผลไม้เมล่อนหรือเปล่า จริง ๆแล้วขนมเมล่อนปัง (Melon Pan , メロンパン) เป็นขนมดั้งเดิมของคนญี่ปุ่นที่คุ้นเคยกันมาอย่างยาวนาน เป็นขนมปังคุกกี้สไตล์ญี่ปุ่นที่อบด้วยแป้งบิสกิตหวานวางไว้ด้านบนของแป้งขนมปัง และความจริงแล้วขนมนี้ไม่ได้มีรสชาติของเมล่อนแต่อย่างใด แต่ถูกเรียกชื่อเมล่อนปัง ตามรูปลักษณ์ภายนอก เพราะมีรูปร่างกลม ผิวด้านนอก(แป้งบิสกิต)นั้นได้ทำเป็นลายตาข่ายคล้ายกับเปลือกเมล่อน และด้วยความที่ผิวขนมที่กรอบหวานอร่อยทำให้กินง่าย จึงไม่แปลกที่จะเป็นที่ชื่นชอบตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ นอกจากนี้ยังสามารถใส่ช็อคโกแลตชิพและอีกมากมายหลายรสชาติ 

เริ่มแรกขนมเมล่อนปังเข้ามาในญี่ปุ่นในช่วงยุคเมจิ โดยผู้ริเริ่มทำออกมาคนแรก คือ ร้านขนมปังแห่งหนึ่งใน จังหวัดฮิโรชิมะ โดยเดิมที่เมล่อนปังไม่ได้มีรูปร่างเป็นวงกลม แต่มีรูปร่างเป็นวงรีคล้ายกับเมล็ดอัลมอนด์ และแป้งบิสกิตโปะอยู่บนตัวขนมปัง เมื่อผ่านการอบ จะมีรูปร่างออกมาคล้ายคลึงกับ Oriental melon นี่จึงเป็นที่มาของการตั้งชื่อว่า “เมล่อนปัง” นี่ถือเป็นขนมปังที่เกิดจากวัฒนธรรมต่างประเทศและวิวัฒนาการของวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเองที่ส่งผมให้เกิดขนมเมล่อนปัง ขนมปังคุกกี้สไตล์ญี่ปุ่นนี้ขึ้นมาและวันนี้เราก็มีสูตรการทำขนมเมล่อนปังมาแนะนำทุกคนจะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้างตามมาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูขนมเมล่อนปัง

ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นทั่วประเทศต่างรู้จักขนมเมล่อนปัง และหลายคนในบ้านเราก็อาจจะเคยได้ยินชื่อ หรือเคยได้ลิ้มลองขนมเมล่อนปังกันมาแล้วบ้าง เป็นขนมที่มีรูปร่างหน้าที่เก๋และน่ารักตามแบบสไตล์ญี่ปุ่นเลยค่ะ ลักษณะของเมล่อนปังจะเป็นขนมปังก้อนหรือที่เรียกว่า บัน (Bun) ห่อหน้าด้วยแป้งคุกกี้แผ่นบาง ๆ คลุกน้ำตาล แป้งคุกกี้ด้านบนนี่แหละที่ทำให้ตัวขนมมีลายแตกๆจนคล้ายกับเมล่อนนั่นเอง ส่วนในเรื่องของรสชาติก็ปังสมชื่อเลยค่ะ ทั้งกรอบ หอม หวาน อร่อย เป็นอีกหนึ่งขนมหวานที่ถูกปากคนไทยแน่นอน สามารถหาซื้อทานได้ตามร้านเบเกอรี่อย่างร้าน Melonpan ซึ่งเขามีทั้งหมด 5 สาขาแล้ว และตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปก็มีขายค่ะ แต่สำหรับใครที่ไม่อยากออกไปซื้อ หรือไม่รู้จะซื้อร้านไหน เราก็มีสูตรขนมเมล่อนปังมาแนะนำให้ทุกคนลองทำเองที่บ้านง่ายๆโดยมีวัตถุดิบและส่วนผสมดังนี้

วัตถุดิบและส่วนผสมตัวคุกกี้ (สำหรับ 24 ชิ้น)

  1. เนยจืด 100 กรัม
  2. น้ำตาลทราย 140 กรัม
  3. ไข่ไก่ 2 ฟอง
  4. แป้งเค้ก 320 กรัม
  5. ผงฟู 1 ช้อนชา
  6. น้ำตาลทราย(สำหรับคลุมหน้าขนม) 40 กรัม

วัตถุดิบและส่วนผสมตัวขนมปัง

  1. แป้งขนมปัง 560 กรัม
  2. น้ำตาลทราย 100 กรัม
  3. นมผง 32 กรัม (ใช้ครีมเทียมแทนได้ค่ะ)
  4. เกลือ 2 ช้อนชา
  5. ยีสต์ 12 กรัม
  6. น้ำเปล่า 280 กรัม
  7. เนยจืด 60 กรัม
ขนมเมล่อนปัง
ขนมเมล่อนปัง

ขั้นตอนวิธีการทำขนมเมล่อนปัง

ขนมปังสัญชาติญี่ปุ่นอย่างขนมเมล่อนปัง เป็นลูกครึ่งระหว่างขนมปังกับคุกกี้ โดยด้านในของขนมในจะเป็นขนมปังนุ่มๆ และคลุมด้านบนด้วยคุกกี้เคลือบน้ำตาลกรอบๆ หวาน มัน จึงเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆคน สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีทำเจ้าขนมเมล่อนปังหน้าตาเก๋สไตล์ญี่ปุ่นตามเรามาดูเลยค่ะโดยสูตรขนมเมล่อนปังที่เรานำมาแนะนำมีขั้นตอนการทำทั้งหมด 3 ขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 การทำตัวคุกกี้

  1. เริ่มอุ่นเตาอบก่อนด้วยอุณหภูมิที่ 170 องศาเซลเซียส
  2. ร่อนแป้งเค้กผสมกับผงฟูแล้วพักไว้
  3. ตีเนยให้พอแตกตัวและใส่น้ำตาลลงไป แล้วตีจนเข้ากัน จากนั้นใส่ไข่ลงไปตีต่อจนขึ้นฟูเล็กน้อย แล้วใส่ส่วนผสมที่ร่อนไว้ลงไปผสมให้เข้ากัน
  4. ปั้นส่วนผสมให้เป็นลักษณะแท่งยาว ห่อพลาสติกนำเข้าตู้เย็นประมาณ 30 นาที

ขั้นตอนที่ 2 การทำตัวขนมปัง

  1. เริ่มผสมแป้งขนมปัง น้ำตาล นมผง เกลือ แล้วยีสต์เข้าด้วยกัน
  2. ค่อยๆเทน้ำลงไปนวด นวดจนเนื้อแป้งเกาะกันเป็นก้อน จนหมดผงแป้ง
  3. ใส่เนยจืดลงไปนวด นวดต่อจนแป้งไม่ติดมือ ขึงได้เป็นฟิล์ม
  4. พักแป้งให้ขึ้น 2 เท่า ประมาณ 30 นาที
  5. ชกไปที่แป้งเพื่อไล่ลม จากนั้นตัดแป้งแบ่งเป็นก้อน ก้อนละ 50 กรัม 

ขั้นตอนที่ 3 การขึ้นรูป 

  1. นำตัวแป้งคุกกี้ออกจากตู้เย็น แบ่งเป็นก้อน ก้อนละ 30 กรัม
  2. คลึงแป้งคุกกี้ให้กลม แล้วกดให้แบนเป็นแผ่นๆ แต่ไม่ต้องบางมาก
  3. นำแป้งคุกกี้มาคลุมบนแป้งขนมปัง แล้วห่อให้แป้งทั้ง 2 ติดกัน ไม่ต้องคลุมจนมิดนะคะ
  4. นำตัวแป้งที่คลุมแล้วมาคลุกกับน้ำตาลทราย โดยให้เอาส่วนด้านคุกกี้ไปคลุกน้ำตาลทรายที่เตรียมไว้
  5. กรีดตัวแป้งคุกกี้เบาๆให้เป็นลายเหมือนเมล่อน แล้วพักแป้งไว้ประมาณ 30 นาที จากนั้นนำเข้าอบไฟบนล่าง อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส โดยใช้เวลาประมาณ 10-12 นาที เมื่อครบเวลาจัดใส่จากพร้อมเสิร์ฟนะคะ

นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มรสชาติใหม่ได้ อย่างเช่นในปัจจุบันมีผู้ผลิตบางรายได้เพิ่มกลิ่นหรือรสเมล่อนลงไปด้วย หรือเพิ่มช็อคโกแลตชิพลงไปในคุกกี้ เนื้อขนมปังก็ทำเป็นรสคาราเมลเมเปิ้ลไซรัป ช็อคโกแลต สตรอเบอร์รี่ ชาเขียว และอีกมากมายตามความชอบ บางร้านมีการเพิ่มไส้ครีมรสต่าง ๆ หรือไส้คัสตาร์ตเข้าไป และเปลี่ยนหน้าตาของเมล่อนปังไปเลยก็ได้ค่ะ

Categories
ขนมหวานไทย

ขนมเปียกปูนข้าวโพด ขนมไทยรสชาติหวานหอมที่ลงตัว

ขนมเปียกปูนข้าวโพด
ขนมเปียกปูนข้าวโพด

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 ทำให้ช่วงนี้หลายคนต้องอยู่บ้าน หรือ work from home ซึ่งหลายคนอาจจะเบื่อที่ต้องอยู่บ้านเป็นเวลานาน จึงทำให้เกิดกระแสที่กำลังมากแรงอย่างการทำขนมหวาน บางคนถึงขั้นลงทุนไปเรียนทำขนมกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแก้เบื่อเวลาอยู่บ้าน หรือทำขายหารายได้เสริม ซึ่งเมนูขนมหวานแต่ละเมนูมีความยากง่ายที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะขนมไทยโบราณบางเมนูที่มีขั้นตอนการทำที่ละเอียดอ่อน จึงไม่แปลกที่ส่วนใหญ่ผู้คนจะเลือกซื้อทานมากกว่าทำกินเอง แต่หากใครที่กำลังมองหากิจกรรมทำระหว่างอยู่บ้าน แถมยังอาจสร้างรายได้ให้คุณได้อีกด้วย เราขอแนะนำให้ลองทำขนมไทยโบราณอย่างเมนูขนมเปียกปูนข้าวโพด ซึ่งเป็นขนมไทยโบราณรสหวานหอม ที่หาซื้อรับประทานได้ง่ายในปัจจุบัน แถมวัตถุดิบยังหาได้ง่าย และมีวิธีทำไม่ยุ่งยากเลยค่ะ จะทำกินเองหรือทำให้คนในครอบครัวกินก็ได้ค่ะ หรือจะลองทำขายในช่วงนี้ก็เป็นไอเดียที่ดีเลยค่ะ อีกทั้งเมนูขนมไทยนี้ยังเหมาะสำหรับเลี้ยงในงานบุญต่าง ๆเช่น งานบวช งานแต่ง งานบุญขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น โดยสูตรที่เรานำมาแนะนำนี้เป็นสูตรจาก คุณแม่หญิงแพรวา ที่สามารถทำตามได้ง่ายไม่ยุ่งยากเลยค่ะ แถมยังทำออกมาให้มีลักษณะที่น่ารัก ชวนน่ารับประทานมาก ๆเลยค่ะ จะมีวิธีทำอย่างไรบ้าง ตามเรามาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูขนมเปียกปูนข้าวโพด

เมืองไทยเราจะมีผลไม้ตามฤดูกาลที่หลากหลายรวมทั้งมะพร้อมที่เป็นส่วนผสมที่สำคัญในการทำเมนูของหวานไทยโบราณ ขนมเปียกปูน จัดเป็นเมนูที่ดัดแปลงมาจากขนมกวนหรือกาลาแม เป็นขนมไทยโบราณอีกชนิดหนึ่งที่ยังหาทานได้ในปัจจุบัน ซึ่งขนมเมนูนี้มีหลากหลายรสชาติ เช่น ขนมเปียกปูนใบเตย ขนมเปียกปูนฟักทอง โดยวันนี้เราขอนำเสนอสูตรขนมเปียกปูนข้าวโพด ขนมเนื้อนิ่มๆ สีเหลืองรองด้วยมะพร้าวขูดขาว ราดหน้าด้วยกะทิสด ทำให้ขนมหวาน มัน อร่อย น่าลิ้มลอง อย่ารอช้า! ตามเรามาดูวัตถุดิบส่วนผสมและวิธีทำกันเลยค่ะ

วัตถุดิบและส่วนผสมเมนูขนมเปียกปูนข้าวโพด

  1. กะทิเรียลไทย 1 ½ ถ้วยตวง
  2. ข้าวโพด 350 กรัม 
  3. น้ำปูนใส 2 ถ้วยตวง
  4. แป้งข้าวเจ้า 80 กรัม 
  5. แป้งเท้ายายม่อม 40 กรัม 
  6. แป้งถั่วเขียว 15 กรัม 
  7. น้ำตาลปิ๊บ 100 กรัม 
  8. น้ำตาลทราย 40 กรัม 
  9. เกลือป่น ½ ช้อนชา 
  10. มะพร้าวขูดขาว 

วัตถุดิบและส่วนผสมสำหรับทำกะทิราดหน้า

  1. กะทิเรียลไทย (ขวดเล็ก) 1 ขวด 
  2. เกลือป่น ½ ช้อนชา 
  3. แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ 
  4. ใบเตย 3 – 4 ใบ  
ขนมเปียกปูนข้าวโพด
ขนมเปียกปูนข้าวโพด

ขั้นตอนวิธีการทำขนมเปียกปูนข้าวโพด

สำหรับวิธีทำเมนูขนมไทยอย่างขนมเปียกปูนข้าวโพด ก็ง่ายมาก ๆเลยค่ะ ไม่ได้ยุ่งยากเหมือนขนมไทยโบราณชนิดอื่นๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หัดทำ หรือมือเก่าที่เคยทำมาแล้วก็สามารถทำตามสูตรที่เรานำมาแนะนำได้เลยค่ะ ซึ่งสูตรที่เรานำมาจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน โดยแต่ละส่วนมีขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

ส่วนที่1: ทำเปียกปูนข้าวโพด

  1. เริ่มด้วยการผสมน้ำปูนใส ข้าวโพด และกะทิเรียลไทย นำไปใส่เครื่องปั่น แล้วปั่นให้ละเอียด จากนั้นนำไปกรองด้วยผ้าขาวเตรียมไว้
  2. เทน้ำข้าวโพดผสมกับแป้งข้าวจ้าว แป้งท้าวยายม่อม แป้งถั่วเขียว น้ำตาลทราย และน้ำตาลปี๊บ แล้วคนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน
  3. นำกระทะขึ้นตั้งไฟกลาง แล้วกวนจนส่วนผสมเริ่มข้น ปรับเป็นไฟอ่อน จากนั้นกวนต่ออีกจนแป้งสุก  

ส่วนที่ 2 : ทำน้ำกะทิสำหรับราดหน้า

  1. เทกะทิเรียลไทย ตามด้วยเกลือ แป้งข้าวเจ้า และใบเตยลงในหม้อต้ม ตั้งไฟกลาง แล้วคนจนกะทิข้นขึ้นแล้วยกลงจากเตา พักไว้

ส่วนที่ 3 : บีบไส้ พร้อมจัดเสิร์ฟ

  1. ตักเปียกปูนข้าวโพดใส่ถ้วย หรือใส่ถุงบีบแล้วบีบใส่ถ้วยเล็กๆที่รองด้วยมะพร้าวขูดขาวเตรียมไว้
  2. นำน้ำกะทิที่ทำไว้มาราดบนขนมเปียกปูนข้าวโพด หรือถ้าต้องการเพิ่มความสวยงามก็โรยด้วยงาขาว เพียงเท่านี้ก็จะได้ “เปียกปูนข้าวโพด” ที่น่ารับประทานและพร้อมจัดเสิร์ฟแล้วค่ะ

เป็นยังไงกันบ้างคะทุกคน? สำหรับเมนูขนมเปียกปูนข้าวโพด เนื้อนุ่ม หวาน มัน อร่อย แถมยังมีลักษณะที่น่ารัก สีสันน่ารับประทาน วิธีทำไม่ได้ยากเลยใช่ไหมคะ? จะทำรับประทานเอง หรือทำทานพร้อมกับครอบครัวด้วยก็ได้ค่ะ เป็นอีกหนึ่งเมนูขนมไทยที่ทำขายก็ปัง ได้กำไรแน่นอนค่ะ และที่สำคัญหาซื้อส่วนผสมได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไปเลยค่ะ

Categories
อาหารนานาชาติ

หอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว อาหารยุโรปสุดหรูหรา แฝงความเรียบง่าย

หอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว
หอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว

เมื่อใกล้ถึงเทศกาลหรือมีงานปาร์ตี้ที่บ้าน นอกจากเครื่องดื่มแล้วก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คืออาหาร แน่นอนว่าอาหารที่นำมาต้องอร่อยและดูดี ซึ่งวันนี้เราก็มีอีกหนึ่งเมนูอาหารสุดหรูหรา แต่ทำง่ายๆได้ที่บ้านมาแนะนำอย่างหอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว แค่ชื่อก็รู้แล้วว่ามันต้องออกมาดูดีเลยแน่ๆเลยค่ะ เมนูนี้เป็นอาหารสไตล์ยุโรปที่หรูหรา แต่แฝงไปด้วยความเรียบง่าย 

ประเทศไทยมีหอยแมลงภู่หลากหลายชนิดให้เลือกซื้อ และหอยแมลงภู่ไม่เพียงแค่อร่อยเท่านั้นแต่ยังมีประโยชน์อีกด้วย ซึ่งมันมีอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงและมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ในปัจจุบันมีการสกัดสารจากหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ไปทำแคปซูลเพื่อต่อสู้กับโรคข้ออักเสบ นอกจากจะอร่อยแล้วยังมีประโยชน์อีก ดังนั้นเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าเมนูหอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาวมีส่วนผสมและวิธีทำอย่างไรบ้าง ตามเรามาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูหอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว

สำหรับหอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า NZ Mussel Steamed with White Wine นี่เป็นอีกหนึ่งเมนูจานคลาสสิกของอาหารในแถบเมดิเตอร์เรเนี่ยนเลยค่ะ ยิ่งมีการนำเอาซีฟู้ดมาปรุงโดยมีส่วนผสมของครีม เนย และซิตรัส ตลอดจนไวน์ขาว ทำให้เมนูจานนี้น่าดึงดูงมากขึ้นมีทั้งกลิ่น รส และอารมณ์ที่หอมกรุ่น อบอวลด้วยวัฒนธรรมการกินของแถบเมดิเตอร์เรเนี่ยนอย่างแท้จริง ฟังดูแล้วหรูหราน่าจะทำยากใช่ไหมคะ? แต่จริงๆแล้วไม่ยากเลยค่ะหากทำตามขั้นตอนที่เราแนะนำในวันนี้ รับรองว่าอาหารจานนี้ทำออกมาน่ารับประทาน แถมยังอร่อยแน่นอนค่ะ 

โดยมีส่วนผสมหลักๆ ดังนี้

วัตถุดิบและส่วนผสมหอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว

  1. หอยแมลงภู่ 1 กิโลกรัม (เราแนะนำให้ใช้หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์แช่แข็ง เพราะมีความชุ่มฉ่ำดีที่สุด)
  2. เนย 20 กรัม
  3. กระเทียม 6 กลีบ หั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า
  4. หัวหอม 1 หัว หั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า
  5. ไวน์ขาว 200 มล. 
  6. ผักชีฝรั่งสับละเอียด ¼  ถ้วย
  7. ครีมสำหรับปรุงอาหาร 150 มล.
  8. พริกไทยดำสด 1 ช้อนชา
  9. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ หรือเกลือ 1 ช้อนชา
หอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว
หอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว

ขั้นตอนวิธีการทำหอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว

เมนูหอยแมลงภู่อบอาหารฝรั่งเศสตะวันออกเฉียงใต้ อาหารทะเลอันโอชะมาพร้อมกับซอลไวน์ขาวและกระเทียม เป็นอาหารที่มีวิธีทำและขั้นตอนการเตรียมที่ค่อนข้างสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าเมนูหอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาวจะออกมาอร่อยดั่งใจหวัง แน่นอนว่าขั้นตอนการทำก็ไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแค่คุณต้องใส่ใจในทุก ๆขั้นตอนเท่านั้นเมนูนี้ก็จะออกมาดูดี อร่อยใครทานก็ต้องประทับใจ ซึ่งมีขั้นตามการทำดังนี้

  1. เริ่มแรกต้องทำการละลายหอยแมลงภู่ที่แช่แข็งด้วยน้ำเปล่าก่อนนำมาปรุงอาหาร (หากใช้หอยแมลงภู่สดให้ใช้แปรงขัดเปลือกหอยหรือใช้ปลายนิ้วเพื่อขจัดสิ่งสกปรกส่วนเกินคุณอาจสังเกตเห็นเส้นสีน้ำตาลพุ่งออกมาจากด้านข้างนั่นคือเคราของหอยแมลงภู่และมันกินไม่ได้ ให้คุณถอดเครามันโดยดึงเข้าหาบานพับ และด้านนอกของเปลือก หอยแมลงภู่บางตัวจะถูกตัดออกไปแล้ว 
  2. นำหอยแมลงภู่ที่ล้างสะอาดแล้วลงในหม้อนึ่งปิดฝาประมาณ 10 นาที (เปิดฝาอย่างระมัดระวัง) เมื่อหอยแมลงภู่สุกให้นำมาพักไว้ประมาณ 2-3 นาที
  3. ตั้งกระทะด้วยความร้อนปานกลาง นำเนยลงไปผัดจนละลายได้กลิ่นหอม แล้วใส่หัวหอม และกระเทียมใส่ลงไปผัดจนสุก (ประมาณ 2-3 นาที)
  4. จากนั้นเติมไวน์ขาว และน้ำปลา (หรือเกลือ) ลงในกระทะ แล้วใส่ครีมสำหรับปรุงอาหารและพาร์สลีย์ครึ่งหนึ่งลงไปต้มในหม้อ จากนั้นเคี่ยวจนเข้มข้นหรือจนลดลงครึ่งหนึ่ง และใส่ผักชีฝรั่ง เคี่ยวสักครู่
  5. เตรียมจัดหอยแมลงภู่ใส่จาน จากนั้นนำซอสที่ทำไว้ไปราดให้ทั่วหอยแมลงภู่ เพียงแค่นี้ก็ได้อาหารสุดหรูหรา และความเรียบง่ายพร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ

เคล็ดลับเพิ่มความอร่อยอีกระดับ

การนึ่งหอยแมลงภู่เป็นวิธีการปรุงหอยที่อร่อยและรวดเร็ว โดยใช้วิธีการปรุงด้วยความร้อนชื้น ก่อนอื่นคุณควรใช้กระทะหรือหม้อทรงสูงขนาดใหญ่ที่มีฝาปิด คุณสามารถปรุงรสชาติที่หอมกรุ่นด้วยการใช้น้ำซุปในการนึ่งได้ โดยใส่หอยแมลงภู่และปรุงอาหารด้วยไฟแรงปานกลาง และของเหลวจะกลายเป็นไอน้ำเมื่อความร้อนสูงกว่า 100 ° C (212 ° F) ในหม้อที่มีฝาปิด

Categories
อาหารไทย

หมูแดดเดียว เนื้อนุ่มอร่อย จิ้มแจ่วรสเด็ด ทานกับข้าวเหนียวร้อนๆ

หมูแดดเดียว
หมูแดดเดียว

หลายคนคงทราบกันดีว่าโลกเราเกิดการระบาดของเชื้อ COVID-19 หลายชีวิตต้องหันมาดูแลตัวเองมากขึ้นเพื่อให้รอดจากเจ้าเชื้อโรคนี้ ซึ่งการระบาดครั้งใหญ่นี้ทำให้ผู้คนควรหลีกเลี่ยงการพบปะกัน ห้ามชุมนุม social distancing ต้องอยู่บ้าน และที่สำคัญรัฐบาลมีมาตรการเคอร์ฟิว ทำให้ผู้คนเริ่ม กักตุน สินค้าและอาหารจากซุเปอร์มาร์เกตกันอย่างมาก สำหรับใครที่ซื้อเนื้อหมูสดมาตุนเยอะๆ แล้วกลัวว่าจะทำกินไม่ทัน วันนี้เราก็มีเมนูอาหารไทยทำง่ายๆ มาแนะนำ แถมเก็บไว้กินได้นานอย่างหมูแดดเดียว ทานคู่กับน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ดและข้าวเหนียวร้อนๆ กินได้ทั้งครอบครัว อื้อหือ ! แค่ภาพเมนูหมูแดดเดียวนี้ก็ชวนน้ำลายสอกันแล้วใช่ไหมค่ะ? อย่ารอช้า ตามเรามาดูส่วนผสมและขั้นตอนวิธีการทำกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูหมูแดดเดียวกับแจ่วรสเด็ด

เมนูหมูแดดเดียว เป็นอีกหนึ่งเมนูการถนอมอาหารประเภทการตากให้แห้ง สามารถเก็บได้นาน โดยเนื้อหมูแนะนำให้เลือกใช้เนื้อส่วนสันคอ เพราะมีเนื้อความนุ่ม อีกทั้งยังมีไขมันแทรกบริเวณริมๆ ซึ่งก่อนนำไปตากต้องปรุงรสเนื้อหมูก่อน และจะไม่ตากไว้นานจนแห้งสนิท เนื้อแบบนี้จะมีรสชาติที่อร่อยกว่าเนื้อสด เพราะมีการปรุงรส ยิ่งทานคู่กับน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ด และข้าวเหนียวร้อนๆ ก็อร่อยแซ่บสุดๆเลยค่ะ ส่วนวัตถุดิบก็ไม่เยอะมาก แถมขั้นตอนการทำก็ง่ายแสนง่าย โดยมีวัตถุดิบและส่วนผสมดังนี้

วัตถุดิบและส่วนผสมหมูแดดเดียว

  1. เนื้อสันคอหมู หั่นเป็นชิ้นยาว ความหนา 1 ซม. จำนวน 1 กิโลกรัม
  2. น้ำตาลทราย ¼  ถ้วย
  3. นมข้นจืด 2 ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
  5. ซอสปรุงรส 1 ช้อโต๊ะ
  6. ซีอิ๊วขาว ¼  ถ้วย
  7. น้ำมันหอย 3 ช้อนโต๊ะ
  8. งาขาว 2 ช้อนโต๊ะ (จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ตามความชอบ)
  9. น้ำมันพืชสำหรับทอด

วัตถุดิบและส่วนผสมน้ำจิ้มแจ่ว

  1. น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
  2. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำตาลทราย ½  ช้อนชา
  4. พริกป่น ½  ช้อนโต๊ะ
  5. ข้าวคั่ว 1 ช้อนชา
  6. หอมแดง, ผักชีฝรั่ง, ต้นหอม (ใส่ได้ตามใจชอบ)
หมูแดดเดียว
หมูแดดเดียว

ขั้นตอนวิธีการทำหมูแดดเดียวกับแจ่วรสเด็ด

สำหรับสูตรไม่ลับกับวิธีทำเมนูอาหารหมูแดดเดียวกับแจ่วรสเด็ดให้อร่อยนั้นไม่ยากเลยค่ะ ซึ่งเราก็ไม่พลาดที่จะมาแจกสูตรเด็ดหมักเนื้อหมูอย่างไรให้อร่อย พร้อมขั้นตอนการทำหมูแดดเดียว และก่อนหมักเนื้อหมูเรามาดูเคล็ดลับการเลือกเนื้อหมูกันก่อนดีว่า เพื่อความสดใหม่ โดยมีเคล็ดลับดังนี้

เคล็ดลับการเลือกเนื้อหมู

  1. เลือกหมูที่มีเนื้อสีชมพูอ่อน ไม่ควรมีสีแดงสด เพราะอาจจะมีการฉีดสารเร่งเนื้อแดง
  2. เนื้อหมูไม่ควรมีสีเขียวคล้ำ ช้ำเลือด หรือสีซีดจนเกินไป
  3. ไขมันหมูควรเป็นสีขาว ถ้าไขมันหมูสีเหลืองหรือเริ่มขุ่น เนื้อหมูอาจจะใกล้เน่าได้
  4. หากใช้มือกด เนื้อหมูไม่ควรแข็ง หรือผิวสัมผัสกระด้าง
  5. เนื้อหมูต้องมีความยืดหยุ่น เมื่อใช้นิ้วมือกดลงไป เนื้อหมูควรเด้งตัว ไม่ยุบหรือเป็นรอยบุ๋มลงไป

วิธีทำหมูแดดเดียวทอด

  1. ก่อนอื่นต้องทำการหมักเนื้อหมู เริ่มจากการทำน้ำซอส โดยผสมน้ำตาลทรายกับนมข้นจืด น้ำมันพืช ซอสปรุงรส ซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย และงาขาว คนผสมให้เข้ากัน จากนั้นใส่เนื้อหมูหั่นเตรียมไว้ลงเคล้าผสมในส่วนผสมน้ำซอส พักทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง จนน้ำซอสซึมเข้าเนื้อหมู
  2. นำเนื้อหมูที่หมักเรียบร้อยแล้ววางเรียงลงบนตะแกรง นำออกไปตากแดดจนเนื้อหมูแห้งหมาด ๆ เก็บใส่ภาชนะปิดให้สนิท และนำเข้าแช่ตู้เย็น (ขั้นตอนนี้สามารถทำให้เก็บไว้ได้นาน)
  3. หากอยากรับประทานให้ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง พอร้อนใส่เนื้อหมูแดดเดียวลงไปทอดจนสุกเหลือง ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน แล้วจัดใส่จาน พร้อมรับประทาน

วิธีทำน้ำจิ้มแจ่ว

  1. บีบมะนาว น้ำปลา น้ำตาลทราย พริกป่น ข้าวคั่ว คนให้ละลายเข้ากันดี
  2. ตามด้วยหอมแดง ผักชีฝรั่ง ต้นหอม ซอยให้พอดี คนให้เข้ากันดี เป็นอันเสร็จ ตักใส่ถ้วยทานคู่กับเนื้อหมูแดดเดียวที่ทอดเรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตามปัญหาที่พบบ่อยๆ ของการเก็บเนื้อหมูแดดเดียวก็คือ ปัญหาเรื่องการขึ้นรา ซึ่งทำให้เนื้อเสียหายไม่สามารถนำมารับประทานได้อีกต่อไป ถึงแม้จะมีวิธีเก็บง่ายๆอย่างการนำไปเก็บในตู้เย็น แต่ปัญหาเรื่องเชื้อราขึ้นเนื้อก็ยังไม่ปลอดภัยเสียทีเดียวยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดเชื้อราได้ แต่ปัญหานี้จะหมดไป หากคุณใช้เครื่องซีลสุญญากาศขนาดเล็กให้การจัดเก็บเนื้อหมูแดดเดียว

Categories
อาหารสุขภาพ

บะหมี่เมนดาเกะลูกชิ้นไก่ ไขมันต่ำ พร้อมน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ด

บะหมี่เมนดาเกะลูกชิ้นไก่
บะหมี่เมนดาเกะลูกชิ้นไก่

ปัจจุบันเทรนด์สุขภาพกำลังมาแรงจนฉุดไม่อยู่ ส่งผลให้ความนิยมในการบริโภคอาหารคลีนก็เหมือนจะยิ่งมาแรงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ซึ่งสาเหตุหลักอาจเป็นเพราะคนทั่วโลกเริ่มตระหนักว่าสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เริ่มแย่ลงทุกวันอย่างเช่นปัญหาทางอากาศ ปัญหาเรื่องอาหารการกินที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้อาหารคลีนถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ที่จะช่วยส่งเสริมให้สุขภาพร่างกายของเราทุกคนดีขึ้น หรือบางคนที่กำลังวางแผนลดน้ำหนัก ฟิตหุ่น หรือเพิ่มน้ำหนักด้วยการกินอาหารคลีน ก็ต้องมีวินัยในการกินให้ดี ซึ่งการกินที่เหมาะสมควรกินสิ่งที่ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารและพลังงานเพียงพอเพื่อเผาผลาญอย่างเต็มประสิทธิภาพอย่างการเลือกกินเนื้อสัตว์อย่างอกไก่หรือเนื้อปลา เลือกสรรไขมันดี และจำเป็นต้องบอกลา เนย นมวัว ชีส และใช้น้ำมันในการปรุงอาหารให้น้อยที่สุด 

จะเห็นได้ว่าการกินคลีนจะให้ความสำคัญในการเลือกวัตถุดิบส่วนผสมมาก ดังนั้นวันนี้เราจึงได้จัดสรรหาเมนูที่มีส่วนผสมที่อร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายมาฝากทุกคนอย่างเมนูบะหมี่เมนดาเกะลูกชิ้นไก่ พร้อมน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ด เมนูไขมันต่ำที่อุดมไปด้วยสารอาหาร แถมยังอร่อยและแซ่บถึงใจ จะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้างตามมาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูบะหมี่เมนดาเกะลูกชิ้นไก่

ปัจจัยที่ส่งเสริมให้สุขภาพดีขึ้น นาทีนี้คงหนีไม่พ้นอาหารเพื่อสุขภาพ หรืออาหารคลีนที่เป็นอีกหนึ่งเทรนด์มาแรงของคนยุคใหม่ที่เริ่มหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพกันมากยิ่งขึ้น เมนูบะหมี่เมนดาเกะลูกชิ้นไก่ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารคลีน เพราะมีส่วนผสมที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งวัตถุดิบส่วนผสมที่ใช้ทำนั้นจะเลือกเนื้อสัตว์อย่างเนื้อไก่ควรเลือกเนื้อส่วนอกไก่จะดีที่สุดค่ะ และเลือกใช้เส้นบะหมี่หยกอบแห้ง ตราเมนดาเกะ เพราะเส้นบะหมี่ผลิตจากวัตถุดิบคุณภาพดี ผสมสาหร่ายสไปรูไลน่า ซึ่งเป็นสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งราดหน้่า สปาเก็ตตี้ ยากิโซบะ ผัดไทก้ามปู หรือขาห่านอบหม้อดิน หรือนำมาประกอบอาหารเจ หรือมังสวิรัติตามต้องการ ที่สำคัญหาซื้อได้ง่ายตามห้างหรือร้านค้าทั่วไป สำหรับความพิเศษของเมนูบะหมี่เมนดาเกะลูกชิ้นไก่ที่เรานำมาฝากนี้คือเราจะทำลูกชิ้นไก่เอง เพื่อจะได้เลือกวัตถุดิบที่ดีประโยชน์ โดยมีส่วนผสมทั้งหมดดังต่อไปนี้

วัตถุดิบและส่วนผสมบะหมี่เมนดาเกะลูกชิ้นไก่

  1. เนื้ออกไก่บด 1 กิโลกรัม
  2. พริกไทยป่น 1 ช้อนโต๊ะ
  3. เกลือ 1 ช้อนชา
  4. ผงกระเทียมป่น 1 ช้อนชา (หรือจะใช้กระเทียมสดตำละเอียดก็ได้ค่ะ)
  5. เบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชา
  6. ผักลวกและผักสดตามความชอบ เช่น กะหล่ำปลี ผักกาด คะน้า ถั่วงอก เป็นต้น
  7. ต้นหอมซอย 1 ต้น
  8. บะหมี่หยกเมนดาเกะ 1 ห่อ
  9. พริกป่นใส่ได้ตามความชอบ
  10. ข้าวคั่ว 1 ช้อนชา
  11. น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
  12. ซีอิ้วขาว 2 ช้อนชา
  13. งาขาวคั่ว 1 ช้อนชา
บะหมี่เมนดาเกะลูกชิ้นไก่
บะหมี่เมนดาเกะลูกชิ้นไก่

ขั้นตอนวิธีการทำบะหมี่เมนดาเกะลูกชิ้นไก่

สำหรับวิธีทําเมนูบะหมี่เมนดาเกะลูกชิ้นไก่ก็ง่ายมากๆเลยค่ะ แต่จะใช้เสียค่อนข้างนาน โดยส่วนใหญ่จะใช้เวลาทำลูกชิ้นไก่ เพราะสูตรนี้เราลงมือทำลูกชิ้นไก่เอง เพื่อให้ได้สารอาหารที่มีประโยชน์มากที่สุด ทุกคนสามารถทำทานกันเองที่บ้านได้ วัตถุดิบที่ต้องใช้จากข้างต้นก็หาซื้อง่ายราคาเส้นบะหมี่เมนดาเกะก็ถูกประมาณ 4 ก้อน 27 บาท เป็นอาหารคลีนที่อร่อย แถมยังใช้ต้นทุนต่ำอีกด้วยค่ะ ซึ่งมีขั้นตอนการทำดังนี้

  1. ก่อนอื่นเริ่มต้นทำลูกชิ้นไก่ โดยเตรียมภาชนะสำหรับผสมวัตถุดิบ แล้วนำอกไก่บด พริกไทยป่น เกลือ ผงกระเทียมป่น หรือกระเทียมสดตำละเอียด และเบคกิ้งโซดา ใส่ลงไปในภาชนะ จากนั้นก็นวดให้ส่วนผสมเข้ากัน ซึ่งระหว่างนวดให้ใส่น้ำแข็งลงไปด้วยประมาณ 3 ก้อน แล้วนวดๆบี้ๆจนน้ำแข็งละลายและส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันจนมีเนื้อที่เหนียวขึ้น
  2. นำส่วนผสมที่นวดแล้วไปแช่ในตู้เย็นประมาณ 3 ชั่วโมง หรือค้างคืนได้ยิ่งดีค่ะ 
  3. เมื่อครบเวลาให้นำออกจากตู้เย็นแล้วนวดต่อให้เนื้อเหนียวหนึบๆ ต่อมาต้นน้ำให้เดือดจัดๆ แล้วหรี่ไฟให้น้ำอ่อนลง ห้ามให้เดือดปุดๆนะคะ จากนั้นปั้นลูกชิ้นไก่หย่อนลงไปในหม้อต้ม พอลูกชิ้นลอยขึ้นประมาณสัก 5 นาทีก็ตักออกแช่น้ำเย็นพักไว้ค่ะ (ลูกชิ้นไก่นี้สามารถทำเก็บแช่ตู้เย็นเอาไว้ทานได้นะคะ)
  4. ต่อมาตั้งหม้อเริ่มลวกบะหมี่หยกเมนดาเกะโดยใช้เวลาประมาร 3-4 นาที โดยคนเป็นครั้งคราว จากนั้นตักออกนำมาจัดใส่จาน ตามด้วยลูกชิ้นไก่ที่ทำไว้ รวมทั้งใส่ผักลวกหรือผักสดที่เตรียมไว้ เพียงแค่นี้ก็ได้บะหมี่เมนดาเกะลูกชิ้นไก่
  5. ทำน้ำจิ้มแจ่ว โดยนำพริกป่น ข้าวคั่ว มะนาว ซีอิ้วขาว งาขาวคั่ว ผสมกันใส่ถ้วยแล้วเสิร์ฟคู่กับบะหมี่เมนดาเกะลูกชิ้นไก่

สำหรับเมนูบะหมี่เมนดาเกะลูกชิ้นไก่เป็นอาหารที่กินแล้วไม่อ้วน และอิ่มท้อง แถมยังมีประโยชน์ต้องร่างกาย เพราะตัวเส้นบะหมี่ไขมันต่ำ ไม่มีโคเลสเตอรอล ไม่ใช้วัตถุกันเสีย ไม่แต่งกลิ่นสังเคราะห์ มีผสมสาหร่ายสไปรูไลน่า และแคลอรี่ต่ำ ส่วนลูกชิ้นไก่ก็มีโปรตีนสูงแต่พลังงานต่ำ ช่วยซ่อมแซมอวัยวะส่วนที่สึกเหรอในร่างกาย เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ช่วยในการเจริญเติบโต และที่สำคัญช่วยควบคุมน้ำหนักอีกด้วยค่ะ