สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
ปลาทับทิมสามรส
ปลาทับทิมสามรส
Categories
อาหารสุขภาพ

อาหารนักเพาะกาย อะไรควรกิน และอะไรที่ควรหลีกเลี่ยง

อาหารนักเพาะกาย
https://www.facebook.com/thaibbm/posts/297605013711845/

การเพาะกายมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่การสร้างกล้ามเนื้อของร่างกายผ่านการยกน้ำหนักและโภชนาการ ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนหย่อนใจหรือการแข่งขันการเพาะกายมักเรียกว่าไลฟ์สไตล์เนื่องจากเกี่ยวข้องกับเวลาที่คุณใช้ในและนอกโรงยิม ในการเพิ่มผลลัพธ์จากการออกกำลังกายให้ได้มากที่สุดคุณต้องให้ความสำคัญกับอาหารนักเพาะกาย เนื่องจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้องอาจส่งผลเสียต่อเป้าหมายในการเพาะกายของคุณ บทความนี้จะอธิบายถึงสิ่งที่ควรกินและหลีกเลี่ยงในอาหารเพาะกายและมีเมนูตัวอย่างหนึ่งสัปดาห์

ความต้องการแคลอรี่และธาตุอาหารหลัก

เป้าหมายสำหรับนักเพาะกายที่แข่งขันได้คือการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อในระยะการเปรียบเทียบและลดไขมันในร่างกายในระยะตัด ดังนั้นคุณใช้แคลอรี่ในช่วงการเปรียบเทียบมากกว่าในช่วงการตัด

อาหารนักเพาะกาย
http://body-buildersite.blogspot.com/2016/01/blog-post.html

อาหารนักเพาะกายต้องการแคลอรี่เท่าไหร่ ?

วิธีที่ง่ายที่สุดในการกำหนดจำนวนแคลอรี่ที่คุณต้องการคือการชั่งน้ำหนักตัวเองอย่างน้อยสัปดาห์ละสามครั้งและบันทึกสิ่งที่คุณกินโดยใช้แอปติดตามแคลอรี่ หากน้ำหนักของคุณยังคงเท่าเดิมจำนวนแคลอรี่ต่อวันที่คุณกินคือแคลอรี่ในการบำรุงรักษาของคุณกล่าวคือคุณไม่ได้ลดหรือเพิ่มน้ำหนัก แต่ยังคงรักษาไว้

ในช่วงที่คุณกำลังพะรุงพะรังขอแนะนำให้เพิ่มปริมาณแคลอรี่ 15% ตัวอย่างเช่นหากแคลอรี่ในการบำรุงรักษาของคุณคือ 3,000 ต่อวันคุณควรกิน 3,450 แคลอรี่ต่อวัน (3,000 x 0.15 = 450) ในช่วงการเปรียบเทียบ (6 แหล่งที่เชื่อถือได้) เมื่อเปลี่ยนจากการพะรุงพะรังไปสู่ขั้นตอนการตัดคุณจะลดแคลอรี่ในการบำรุงรักษาลง 15% แทนซึ่งหมายความว่าคุณจะกิน 2,550 แคลอรี่ต่อวันแทนที่จะเป็น 3,450

ในขณะที่คุณมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในช่วงการเปรียบเทียบหรือลดน้ำหนักในช่วงการตัดคุณจะต้องปรับปริมาณแคลอรี่ของคุณอย่างน้อยทุกเดือนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก เพิ่มแคลอรี่ของคุณเมื่อคุณเพิ่มน้ำหนักในช่วงการเปรียบเทียบและลดแคลอรี่ของคุณเมื่อคุณลดน้ำหนักในช่วงการลดน้ำหนักเพื่อความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงทั้งสองขอแนะนำว่าอย่าลดหรือเพิ่มเกิน 0.5–1% ของน้ำหนักตัวต่อสัปดาห์ วิธีนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าคุณจะไม่สูญเสียกล้ามเนื้อมากเกินไปในระหว่างขั้นตอนการตัดหรือได้รับไขมันในร่างกายมากเกินไปในช่วงการเปรียบเทียบ (แหล่งที่เชื่อถือ 7)

อัตราส่วนธาตุอาหารนักเพาะกายหลัก ที่นักเพาะกายจำเป็นต้องมี

อาหารนักเพาะกาย เมื่อคุณกำหนดจำนวนแคลอรี่ที่ต้องการได้แล้วคุณสามารถกำหนดอัตราส่วนธาตุอาหารหลักซึ่งเป็นอัตราส่วนระหว่างปริมาณโปรตีนคาร์โบไฮเดรตและไขมันของคุณ

ไม่เหมือนกับความแตกต่างของความต้องการแคลอรี่ระหว่างขั้นตอนการเปรียบเทียบและขั้นตอนการตัด แต่อัตราส่วนธาตุอาหารหลักของคุณจะไม่เปลี่ยนแปลง

  • 30–35% ของแคลอรี่จากโปรตีน
  • 55–60% ของแคลอรี่จากการทานคาร์โบไฮเดรต
  • 15–20% ของแคลอรี่จากไขมัน
  • อาหารนักเพาะกาย
    http://www.napanil.org/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%
    E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%
    B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%A7%
    E0%B8%81%E0%B9%82%E0%
    B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%
    E0%B8%99%E0%B8
    %AB%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%
    B9%89%E0%B8%AD/

    โภชนาการนักเพาะกาย อาหารที่ควรกินและหลีกเลี่ยง มีอะไรบ้าง

    เช่นเดียวกับการฝึกอบรมอาหารนักเพาะกายเป็นส่วนสำคัญของการเพาะกาย


    การรับประทานอาหารที่เหมาะสมในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้กล้ามเนื้อของคุณได้รับสารอาหารที่จำเป็นในการฟื้นตัวจากการออกกำลังกายและมีขนาดใหญ่ขึ้นและแข็งแรงขึ้น ในทางกลับกันการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้องหรือบริโภคอาหารที่ถูกต้องไม่เพียงพอจะทำให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ไม่ชัดเจน


    นี่คืออาหารที่คุณควรเน้นและอาหารที่ควร จำกัด หรือหลีกเลี่ยง:

    อาหารที่ควรเน้น อาหารที่คุณกินไม่จำเป็นต้องแตกต่างกันระหว่างขั้นตอนการพะรุงพะรังและขั้นตอนการตัด – โดยทั่วไปแล้วจะเป็นปริมาณที่เท่ากัน


    อาหารที่ควรกิน ได้แก่ 

    • เนื้อสัตว์สัตว์ปีกและปลา: สเต็กเนื้อสันนอกเนื้อสันในหมูเนื้อกวางอกไก่ปลาแซลมอนปลานิลและปลาคอด
    • ผลิตภัณฑ์นม: โยเกิร์ตชีสกระท่อมนมไขมันต่ำและชีส
    • ธัญพืช: ขนมปังซีเรียลแครกเกอร์ข้าวโอ๊ตควินัวป๊อปคอร์นและข้าว
    • ผลไม้: ส้มแอปเปิ้ลกล้วยองุ่นลูกแพร์พีชแตงโมและเบอร์รี่
    • ผักที่มีแป้ง: มันฝรั่งข้าวโพดถั่วลันเตาถั่วลิมาเขียวและมันสำปะหลัง
    • ผัก: บรอกโคลีผักโขมผักสลัดผักใบเขียวมะเขือเทศถั่วเขียวแตงกวาบวบหน่อไม้ฝรั่งพริกและเห็ด
    • เมล็ดพืชและถั่ว: อัลมอนด์วอลนัทเมล็ดทานตะวันเมล็ดเจียและเมล็ดแฟลกซ์
    • ถั่วและพืชตระกูลถั่ว: ถั่วชิกพีถั่วเลนทิลถั่วไตถั่วดำและถั่วพินโต
    • น้ำมัน: น้ำมันมะกอกน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์และน้ำมันอะโวคาโด

    อาหารนักเพาะกายที่ จำกัด แม้ว่าคุณควรรวมอาหารที่หลากหลายไว้ในอาหาร แต่ก็มีบางอย่างที่คุณควร จำกัด


    ซึ่งรวมถึง

    • แอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์อาจส่งผลเสียต่อความสามารถในการสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณบริโภคมันมากเกินไป (แหล่งที่เชื่อถือ 8)
    • น้ำตาลที่เพิ่ม: มีแคลอรี่มากมาย แต่มีสารอาหารน้อย อาหารที่มีน้ำตาลเพิ่มสูง ได้แก่ ขนมคุกกี้โดนัทไอศกรีมเค้กและเครื่องดื่มที่มีรสหวานเช่นโซดาและเครื่องดื่มเพื่อการกีฬา (แหล่งที่มา 5)
    • อาหารทอด: สิ่งเหล่านี้อาจส่งเสริมการอักเสบและ – เมื่อบริโภคมากเกินไป – โรค ตัวอย่างเช่นปลาทอดเฟรนช์ฟรายหัวหอมเส้นไก่และชีสเคอร์ด (9 แหล่งที่เชื่อถือได้)

    นอกเหนือจากการ จำกัด สิ่งเหล่านี้แล้วคุณอาจต้องการหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดก่อนไปโรงยิมซึ่งอาจทำให้การย่อยอาหารช้าลงและทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนระหว่างออกกำลังกาย


    ซึ่งรวมถึง


    • อาหารที่มีไขมันสูง: เนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูงอาหารที่มีเนยและซอสหรือครีมหนัก ๆ
    • อาหารที่มีเส้นใยสูง: ถั่วและผักตระกูลกะหล่ำเช่นบรอกโคลีหรือกะหล่ำดอก
    • เครื่องดื่มอัดลม: น้ำอัดลมหรือโซดาอาหาร

    ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับอาหารนักเพาะกายที่ดีที่สุด

    เวย์โปรตีน: การบริโภคเวย์โปรตีนผงเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกในการเพิ่มปริมาณโปรตีนของคุณ

    Creatine: Creatine ช่วยให้กล้ามเนื้อของคุณมีพลังงานที่จำเป็นในการทำซ้ำเพิ่มเติมหรือสองครั้ง แม้ว่าจะมีครีเอทีนหลายยี่ห้อให้มองหาครีเอทีนโมโนไฮเดรตเนื่องจากมีประสิทธิภาพมากที่สุด (แหล่งที่มาที่เชื่อถือได้ 12 แหล่ง)

    คาเฟอีน: คาเฟอีนช่วยลดความเหนื่อยล้าและช่วยให้คุณทำงานหนักขึ้น พบได้ในอาหารเสริมก่อนออกกำลังกายกาแฟหรือชา (13 แหล่งที่เชื่อถือได้)

    อาหารเสริมวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดอาจมีประโยชน์หากคุณกำลัง จำกัด ปริมาณแคลอรี่เพื่อลดไขมันในร่างกายในระหว่างขั้นตอนการตัด


    ตัวอย่างเมนูอาหารนักเพาะกาย สำหรับหนึ่งสัปดาห์หนึ่งสัปดาห์

    วันจันทร์

    • อาหารเช้า: ไข่คนกับเห็ดและข้าวโอ๊ต
    • อาหารว่าง: คอทเทจชีสไขมันต่ำกับบลูเบอร์รี่
    • อาหารกลางวัน: เบอร์เกอร์เนื้อกวางข้าวขาวและบรอกโคลี
    • สแน็ค: โปรตีนเชคและกล้วย
    • อาหารเย็น: แซลมอนควินัวและหน่อไม้ฝรั่ง

    วันอังคาร

    • อาหารเช้า: แพนเค้กโปรตีนพร้อมน้ำเชื่อมเนยถั่วและราสเบอร์รี่
    • สแน็ค: ไข่ลวกและแอปเปิ้ล
    • อาหารกลางวัน: สเต็กเนื้อสันนอกมันเทศและสลัดผักโขมพร้อมไวน์
    • สแน็ค: โปรตีนเชคและวอลนัท
    • อาหารเย็น: ไก่งวงบดและซอสมารินารากับพาสต้า

    วันพุธ

    • อาหารเช้า: ไส้กรอกไก่กับไข่และมันฝรั่งย่าง
    • สแน็ค: กรีกโยเกิร์ตและอัลมอนด์
    • อาหารกลางวัน: อกไก่งวงข้าวบาสมาติและเห็ด
    • สแน็ค: โปรตีนเชคและองุ่น
    • อาหารเย็น: ปลาทูข้าวกล้องและสลัดใบกับ vinaigrette

    วันพฤหัสบดี

    • อาหารเช้า: ไก่งวงบดไข่ชีสและซัลซ่าในตอร์ตียาทั้งเมล็ด
    • สแน็ค: โยเกิร์ตกับกราโนล่า
    • อาหารกลางวัน: อกไก่มันฝรั่งอบซาวครีมและบรอกโคลี
    • สแน็ค: โปรตีนเชคและมิกซ์เบอร์รี่
    • อาหารเย็น: ผัดกับไก่ไข่ข้าวกล้องบรอกโคลีถั่วลันเตาและแครอท

    วันศุกร์

    • อาหารเช้า: บลูเบอร์รี่สตรอเบอร์รี่และโยเกิร์ตกรีกวานิลลาบนข้าวโอ๊ตค้างคืน
    • สแน็ค: ถั่วกระตุกและผสม
    • อาหารกลางวัน: เนื้อปลานิลกับน้ำมะนาวถั่วดำและปิ่นโตและผักตามฤดูกาล
    • สแน็ค: โปรตีนเชคและแตงโม
    • อาหารเย็น: เนื้อบดพร้อมข้าวโพดข้าวกล้องถั่วลันเตาและถั่วเขียว

    วันเสาร์

    • อาหารเช้า: ไก่งวงบดและไข่พร้อมข้าวโพดพริกหยวกชีสและซัลซ่า
    • สแน็ค: ทูน่ากระป๋องกับแครกเกอร์
    • อาหารกลางวัน: เนื้อปลานิลมันฝรั่งทอดและพริกหวาน
    • สแน็ค: โปรตีนเชคและลูกแพร์
    • อาหารเย็น: เนื้อหั่นเต๋าพร้อมข้าวถั่วดำพริกหยวกชีสและปิโกเดอกัลโล

    วันอาทิตย์

    • อาหารเช้า: ไข่ด้านบนและขนมปังปิ้งอะโวคาโด
    • สแน็ค: ลูกโปรตีนและเนยอัลมอนด์
    • อาหารกลางวัน: เนื้อสันในหมูชิ้นกับมันฝรั่งกระเทียมย่างและถั่วเขียว
    • สแน็ค: โปรตีนเชคและสตรอเบอร์รี่
    • อาหารเย็น: ลูกชิ้นไก่งวงซอสมารินาราและชีสพาร์เมซานบนพาสต้า

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา

Categories
อาหารไทย

ขนมจีบ ทำง่ายพารวย

ขนมจีบ

ชอบก็จีบเลยชอบจีบเลยเซ่! ชูวับชูวับ ไม่ใช่ละ ๆ 555555 ถ้าชอบใครให้เอา “ขนมจีบ” ไปจีบเล้ย จีบติดแน่นอนค่ะ! เพราะนอกจากจะอร่อยแล้วยังทำง่ายอีกด้วย เพียงแค่ใช้แป้งแผ่นห่อไส้เป็นทรงกระบอก ลักษณะคล้ายกับผลทับทิม หรือคล้ายกับดอกไม้บาน หลังจากนั้นจึงนำไปนึ่งจนสุก ก็สามารถทานได้แล้วล่ะค่ะ งั้นไปดูวิธีการทำกันเล้ยยย

วิธีทำขนมจีบหมูเด้งเมนูติ่มซำทำง่ายพารวย

ของว่างยามบ่ายแก้ง่วงก็ต้องเป็นเมนูที่อิ่มท้องอย่าง ขนมจีบ หมู ที่เพิ่งนึ่งเสร็จร้อน ๆ กินคู่กับน้ำชายิ่งฟินถึงใจแน่นอน! ยิ่งเป็นขนมจีบที่เราได้ทำเองก็จะมีความสุขทั้งคนทำและคนกิน แถมทำให้คนในครอบครัวอร่อยและยิ้มไปตาม ๆ กัน ใครคิดว่าการทำขนมจีบยาก แต่ไม่จริงเลยค่ะ ลองไปดูส่วนผสมและวิธีทำและลองนำไปทำตามกันดูค่ะ

วัตถุดิบ ขนมจีบ หมูเด้ง

    ขนมจีบ
  1. หมูสับ 200 กรัม 
  2. กุ้งสับ 100 กรัม 
  3. แครอทหั่นเต๋า 50 กรัม 
  4. รากผักชี 2 ราก 
  5. กระเทียม 3 กลีบ 
  6. พริกไทยดำ 4-5 เม็ด 
  7. ซอสปรุงรส 1 ช้อนชา 
  8. ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ 
  9. น้ำมันงา 1 ช้อนชา 
  10. น้ำตาล 2 ช้อนชา 
  11. แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ 
  12. แผ่นเกี๊ยวซ่าสำหรับห่อ 

TIP : วิธีเลือกซื้อเนื้อหมู แนะนำให้ใช้หมูส่วนหัวไหล่ ตัวไส้จะออกมาเด้ง ๆ อร่อย

อุปกรณ์ในการทำ

  • ครก และ สาก 
  • ชามใหญ่ 
  • ช้อนเล็ก 
  • ภาชนะที่ใช้นึ่ง 


วิธีทำ ขนมจีบ หมูเด้ง

ขนมจีบ

STEP 1 : ปรุงรสสำหรับทำไส้ขนมจีบ

  • โขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทยดำ เข้าด้วยกันจนละเอียด
  • ผสมหมูสับ กุ้งสับ และแครอทหั่นเต๋าในถ้วย ตามด้วยเครื่องเทศที่โขลกเอาไว้ คลุกเคล้าให้เข้ากัน
  • ปรุงรสด้วย ซอสปรุงรส น้ำมันหอย น้ำมันงา คลุกให้เข้ากันดี จากนั้นเติมน้ำตาลและแป้งข้าวโพดตามลงไป คนจนส่วนผสมเนียนและเข้ากันดี

STEP 2 : ห่อขนมจีบ

  • ห่อขนมจีบในแป้งเกี๊ยวซ่าแบบกลม โดยใส่ไส้ลงไปประมาณ 2 ช้อนชา
  • หลังจากนั้นค่อย ๆ จีบแผ่นแป้งรอบ ๆ โดยพยายามดันไส้ลงไปให้ได้มากที่สุด และหมุนตัวแป้งขณะจีบ

TIP 1: ตอนห่อแป้งขนมจีบ หากแป้งไม่ติดกัน ให้ทาน้ำเปล่าลงบนแป้ง แล้วจีบให้ติดกัน

TIP 2: แผ่นแป้งควรจะพอดีกับไส้เวลาห่อ ไม่งั้นปลายแผ่นส่วนที่เกินอาจจะแข็งได้ 

STEP 3 : นึ่งขนมจีบ

  • เรียงขนมจีบลงบนภาชนะที่จะนึ่ง ระวังไม่ให้ติดกัน
  • ใช้เวลาประมาณ 10 นาที หรือจนสุกดี เสิร์ฟขนมจีบหมูเด้งร้อน ๆ คู่กับกระเทียมเจียว ผักชี และจิ๊กโฉ่ว

TIP : ควรทาน้ำมันที่ซึ้งนึ่งก่อนวางขนมจีบลงไป เพื่อกันไม่ให้แป้งติดกับซึ้ง 

ทำไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ ? แถมยังใช้เวลาทำเพียงแค่นิ๊ดเดียวเท่านั้นเองค่ะ ใครอยากลองทำเมนูกินเล่นทำง่าย และไม่ผิดหวังแล้วล่ะก็แนะนำติดเมนู “ขนมจีบหมูเด้ง” ไปลองทำกันดูนะคะ

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

Categories
อาหารนานาชาติ

แฮ่กึ๊น เมนูอาหารจีนทอดแบบง่ายๆ ทานคู่กับน้ำจิ้มบ๊วย

แฮ่กึ๊น

ใครที่ชื่นชอบอาหารจีนฟังทางนี้ค่ะ วันนี้เรามีเมนูอาหารจีนประเภทเมนูของทอดสีทองกรอบที่มีชื่อเรียกว่า “แฮ่กึ๊น” มาจากภาษาจีนแต้จิ๋ว โดยคำว่า แฮ่ แปลว่า กุ้ง ส่วนคำว่า กึ๊น แปลว่า ม้วนกระดาษ พอเอาสองคำนี้มารวมกันจะหมายถึง ม้วนกระดาษที่ทำจากกุ้ง หรือความหมายตามพจนานุกรมหมายถึง ชื่ออาหารแบบจีนชนิดหนึ่ง ใช้เนื้อกุ้งกับมันหมูแข็งที่บด หรือสับละเอียดแล้วผสมแป้งสาลีกับเครื่องปรุงรส นวด หรือโขลกจนเหนียว นำมาห่อม้วนให้แน่นด้วยฟองเต้าหู้เป็นท่อนกลม ๆ ยาว ๆ นึ่งแล้วทอดให้สุก กินกับน้ำจิ้มบ๊วยรสหวาน แต่ในปัจจุบันแฮ่กึ๊นนิยมทำเป็นท่อนยาวกลมห่อด้วยฟองเต้าหู้ พอทอดเสร็จค่อยตัดเฉียงหรือตัดเฉียงก่อนนำไปทอดค่ะ

จริงๆแล้วเมนูของทอดสีเหลืองทองกรอบมักมีชื่อเรียกภาษาจีนว่า “ฮ่อยจ๊อ” กับ “แฮ่กึ๊น” ซึ่ง 2 เมนูนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอาหารคู่แฝด แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่แตกต่างกัน คือ วัตถุดิบที่นำมาทำและความหมายของชื่อ พร้อมกับจุดเด่นที่แตกต่างกัน คือ ฮ่อยจ๊อ มีส่วนประกอบหลักเป็น “ปู” ส่วน แฮ่กึ๊น มีส่วนประกอบหลักเป็น “กุ้ง” โดยวันนี้เราได้คัดเอาสูตรการทำเมนูแฮ่กึ๊นและสูตรน้ำจิ้มบ๊วยมาแนะนำทุกคน จะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูแฮ้กึ้น กับน้ำจิ้มบ๊วย

ปัจจุบันแฮ้กึ้น เป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารจีนที่มีขายในไทยอย่างแพร่หลาย โดยมีทั้งแบบแฮ้กึ้นสดซื้อกินที่ร้าน กับแบบแฮ่กึ๊นสดแช่แข็งที่สามารถซื้อกลับไปทอดกินเองที่บ้านได้ สำหรับใครที่อยากจะลองทำเมนูนี้กินเอง เราก็มีสูตรมาแนะนำ แถมเรายังนำสูตรการทำน้ำจิ้มบ๊วยหวานมาทุกคนอีกด้วย แต่ก่อนที่จะไปดูขั้นตอนการทำเมนูแฮ้กึ้น กับน้ำจิ้มบ๊วยหวาน เรามาดูส่วนผสมกันก่อนเลยค่ะ

ส่วนผสมสำหรับเมนูแฮ้กึ้น

  1. ฟองเต้าหู้ ขนาดพอดี 2 แผ่น
  2. มันหมูบด ½ ถ้วย
  3. เนื้อกุ้งบด 1 ถ้วย
  4. ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา
  5. น้ำตาลเล็กน้อย
  6. พริกไทย 1 ช้อนโต้ะ
  7. รากผักชีบด 1 ช้อนโต้ะ
  8. กระเทียมบด 1 ช้อนชา
  9. แป้งข้าวโพด 3 ช้อนโต้ะ
  10. ไข่แดง 1 ฟอง
  11. น้ำมันสำหรับทอด
  12. ผัดสดอย่าง แตงกวา ผัดกาดหอม มะเขือเทศ

ส่วนผสมน้ำจิ้ม

  1. บ๊วยน้ำส้มสายชู ½ ถ้วย
  2. เกลือสมุทร ½ ช้อนชา
  3. น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
  4. เนื้อบ๊วยดองยี (10 เม็ด) ¼ ถ้วย
  5. น้ำบ๊วยดอง 1 ช้อนโต๊ะ
แฮ่กึ๊น

ขั้นตอนวิธีการทำแฮ้กึ้น กับน้ำจิ้มบ๊วย

แฮ้กึ้นเป็นชื่อเรียกเป็นภาษาจีน ส่วนภาษาอังกฤษเมนูนี้เรียกว่า shrimp-rolled สำหรับวิธีทำเมนูแฮ้กึ้น กับน้ำจิ้มบ๊วยหวาน สูตรนี้มีขั้นตอนการทำที่ค่อนข้างเข้าใจง่ายเหมาะสำหรับคนที่รักการทำอาหารกินเองที่บ้าน แล้วคนที่เริ่มทำเมนูนี้ครั้งแรก จะมีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้างมาดูกันเลยค่ะ

ขั้นตอนการทำแฮ้กึ้น

  1. เริ่มการการนำเนื้อกุ้งบด และ มันหมูบด ไปแช่เย็น ใช่ช่องแช่แข็งก่อน 1 คืน การทำไส้สำหรับทำแฮ้กึ้นนี้ ต้องทำในอุณหภูมิที่ต่ำ จะช่วยให้ไส้ไม่เละ รุ่ย เนื้อเนียน น่ารับประทาน
  2. นำ เนื้อกุ้งบด และ มันหมูบด มาผสมให้เข้ากัน จากนั้นปรุงรสด้วย ซีอิ๊วขาว พริกไทยบด กระเทียมบด และ รากผักชีบด
  3. จากนั้นทำการนวดไส้ให้จับตัวเป็นก้อน ขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญ หากไม่สามารถนวดไส้ให้ได้ที่ ไส้ก็จะไม่จับตัว เนื้อรุ่ย ไม่น่ารับประทาน
  4. เมื่อเราได้ไส้แฮ้กึ้น แล้วให้นำมาห่อด้วย ฟองเต้าหู้ ให้เป็นแท่ง โดยใช้ไข่แดงทา เพื่อให้ฟองเต้าหู้จับตัวไม่หลุดออกจากไส้ เวลานำไปทอดไข่แดงโดนความร้อนไข่แดงจะสุกและจับตัวกับฟองเต้าหู้ ทำให้ฟองเต้าหู้ไม่หลุดจากเนื้อไส้ สำหรับคนที่ไม่ชอบไข่แดง แนะนำให้ใช้ไม่จิ้มฟันจิ้มที่ฟองเต้าหู้ เพื่อยึดฟองเต้าหู้กับไส้ ไม่ให้หลุดออกจากกัน
  5. เตรียมหม้อนึ่ง จากนั้นนำแฮ้กึ้นไปนึ่งให้ไส้สุก โดยขั้นตอนนี้ใช้เวลานึ่งประมาณ 10 นาที ไม่ควรนึ่งนานกว่านี้ เพราะจะทำให้แฮ้กึ้นเละ จากนั้นนำแฮ้กึ้น มาพักให้เย็นก่อน
  6. จากนั้น นำแฮ้กึ้นที่นึ่งแล้วมาหั่น เป็นชิ้น ขนาดพอดีคำ และนำไปคลุกกับแป้งข้าวโพด เพื่อเตรียมสำหรับนำไปทอด
  7. ตั้งกระทะน้ำมัน ความร้อนปานกลาง จากนั้นนำแฮ้กึ้นที่หั่นไว้ลงไปทอด สำหรับการทอดนี้ ทอดให้แป้งข้าวโพดเหลือง และ ฟองเต้าหู้กรอบ ก็พอ จากนั้นนำมาพักให้ สะเด็ดน้ำมัน
  8. เสิร์ฟใส่จาน จัดหน้าด้วย แตงกวา ผัดกาดหอม มะเขือเทศ พร้อมทานคู่กับน้ำจิ้มบ๊วยหวาน

ขั้นตอนการทำน้ำจิ้มบ๊วยหวาน

  1. เคี่ยวน้ำส้มสายชู เกลือ น้ำตาล เนื้อบ๊วย และ น้ำบ๊วย เข้าด้วยกันในกระทะทองเหลืองด้วยไฟอ่อนจนข้นเหนียวปิดไฟ ชิมรสให้หวาน เปรี้ยว เค็ม หอมกลิ่นบ๊วย
  2. ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟทานคู่กับแฮ้กึ้นทาน

เป็นอย่างไรกันบ้างคะทุกคนสำหรับสูตรการทำแฮ้กึ้น กับน้ำจิ้มบ๊วย นอกจากเมนูนี้จะอร่อยถูกปากคนที่ได้ลิ้มลองแล้ว น้ำจิ้มบ๊วยหวานที่เรานำมาฝากยังเป็นน้ำจิ้มที่มีรสหวาน เปรี้ยว เค็ม หอมบ๊วยดอง ไม่มีรสเผ็ด จึงเป็นน้ำจิ้มที่เด็กทานได้ ใช้จิ้มกับอาหารเมนูทอดได้ดี เพราะรสเปรี้ยวช่วยตัดความเลี่ยนของอาหาร นอกจากนี้น้ำจิ้มบ๊วยหวานยังสามารถผสมกับน้ำจิ้มอื่น ช่วยให้มีรสหวานเปรี้ยวและกลิ่นหอมขึ้นอีกด้วยค่ะ

เว็บพนันฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา

Categories
อาหารไทย

สูตรกุ้งดองน้ำปลากวน แค่ชื่อก็ชวนชิมแล้ว

กุ้งดองน้ำปลากวน

ในวันนี้เรามีอีกหนึ่งสูตรอาหารดองที่ใครหลาย ๆ คนชอบมาฝากกันอีกหนึ่งเมนูค่ะ และเมนูนี้มีหนึ่งในวัตถุดิบแสนอร่อยที่ทุกคนต้องชอบนั้นก็คือ “กุ้งดองน้ำปลากวน” นั่นเองแค่ชื่อก็หิวกันเล้วใช่มั้ยคะ ขอบอกเลยว่าเมนูนี้มาแรงไม่แพ้ปูดองเลย ด้วยรสชาติเนื้อสัมผัสของเนื้อกุ้งที่มีทั้งความหนีบ ทั้งเด้งดึ๋งสู้ฟัน บอกเลยว่าไม่ธรรมดา ใครจะนำสูตรไปทำกินวันหยุด ทำไว้ปาร์ตี้หรือจะวันไหนก็ได้ทั้งนั้น ทุกคนที่ได้กินต้องฟินสุด ๆแน่นอน สายของดอง ของสดพร้อมแล้ว มาตำสูตรไปกันได้เลย!

ส่วนผสมในการทำเมนูกุ้งดองน้ำปลากวน

กุ้งดองน้ำปลากวน

ด้วยวิถีสายกินอย่างเรา ๆ ไม่ต้องไปถึงร้านก็สามารถทำกินเองอยู่บ้านได้สบาย จะใส่กุ้งเยอะแค่ไหนก็ได้ แถมวิธีการทำนั้นก็ง่ายแสนง่าย ใช้อุปกรณ์และวัตถุดิบแค่ไม่กี่อย่างก็ได้เมนูที่เราชอบแถมได้ปริมาณตามความต้องการเลย แค่นึกถึงก็น้ำลายแตกแล้วค่ะ ไม่รอช้ามาดูส่วนผสมและวิธีทำของเมนูกุ้งดองน้ำปลากวนกันเลยค่ะ

ส่วนผสม
1. กุ้งสด 300 กรัม
2. น้ำปลา 1 ถ้วย
3. น้ำกระเทียมดอง 1 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
5. พริกสับ 8-10 เม็ด
6.กระเทียมฝานเป็นแผ่นๆ 2 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำโซดา 1 ขวด

ขั้นตอนวิธีการทำเมนูนี้

กุ้งดองน้ำปลากวน

อย่าลืมไปลองทำเมนูยอดฮิตสุดแซ่บนี้กันนะคะ เมนูนี้เด็ดจริง 1. ตั้งกระทะพอร้อน ใส่น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ และน้ำกระเทียมดองลงไป เคี่ยวให้ส่วนผสมละลายและมีความข้นขึ้นเล็กน้อย

2.เคี่ยวเสร็จแล้วนำไปเทใส่ภาชนะอื่นเพื่อให้น้ำปลาเย็นสนิท เพราะถ้าหากใส่ไปตอนยังร้อนๆกุ้งอาจสุกได้

3.นำกุ้งมาแกะเปลือก ผ่าหลัง เอาเส้นดำออกให้เรียบร้อย หากไม่เอาส่วนนี้ออกอาจทำให้เสียรสชาติได้

4.แกะกุ้งเสร็จแล้วก็เทโซดาใส่ ใช้มือขยำๆให้ทั่วกุ้งทุกตัว วิธีนี้คือการทำให้กุ้งเนื้อเด้งกรอบมาก

5.เมื่อน้ำปลากวนเย็นสนิทก็ใส่พริกกระเทียมลงไป

6.คนๆส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วจึงนำมาราดลงบนกุ้งที่เตรียมไว้

7.ดองไว้สัก 3-4 ชั่วโมง ให้น้ำปลาซึมเข้าไปในเนื้อกุ้งหรือจะไว้ข้ามคืนเลยก็ยิ่งดี

เป็นไงบ้างคะเมนูกุ้งดองน้ำปลากวน รู้วิธีทำแล้วง่ายเลยใช่มั้ยคะ วัตถุดิบก็ไม่เยอะอีกด้วยและที่สำคัญสามารถทำเก็บไว้กินได้นานเลยล่ะ แต่ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นเท่านั้นนะคะ ทุกคนก็ๆ

บา คา ร่า วอ เลท

Categories
อาหารนานาชาติ

แซลมอนซาชิมิ ทำกินเองก็ฟินได้

แซลมอนซาชิมิ

ประเทศญี่ปุ่นเป็นชาติที่โด่งดังในเรื่องวัฒนธรรมด้านอาหาร ถ้าหากให้พูดถึงอาหารยอดนิยมประจำชาติของประเทศญี่ปุ่นแล้วล่ะก็ หลาย ๆ คนต้องนึกถึงเมนู “แซลมอนซาชิมิ” อย่างแน่นอนค่ะ เพราะเป็นกระแสนิยมอย่างมาก 

วิธีเตรียมทำแซลมอนซาซิมิ

แซลมอนซาชิมิ

สำหรับใครที่ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นหรือชอบแซลมอนแล้วอยากกินแต่ไม่อยากออกจากบ้านนะคะ เรามีสูตรอาหารทำกินที่บ้านหรือสูตรการทำแซลมอนซาซิมิ มาฝากทุกคนกันค่ะ สิ่งที่ต้องเตรียม หลัก ๆ คือ มีด เขียง ผ้าเช็ดเพื่อทำความสะอาดค่ะ และวิธีการทำเป็นอย่างไรไปดูกันเลยค่ะ

1.เริ่มขอดเกล็ดปลาแซลมอนให้เรียบร้อย

2.ล้างทำความสะอาดตัวปลาแซลมอนให้สะอาดทั้งภายใน และภายนอกอีกครั้ง 

3.เช็ดทำความสะอาดตัวปลาแซลมอน เพื่อนำน้ำมันที่อยู่บริเวณตัวปลาแซลมอนออกไป และทำการสังเกตความสดของปลาแซลมอน โดยการเช็คจากบริเวณส่วนเหงือกของปลาแซลมอนว่ามีสีแดงสดไหม หากดวงตาของปลาแซลมอนไม่มีต้อสีขาว หรือฝ้าสีขาว แสดงว่าปลานั้นยังคงความสดอยู่

ขั้นตอนการแล่ปลาแซลมอน

แซลมอนซาชิมิ

1.ขั้นตอนการแล่ปลาแซลมอนนั้นจะต้องมีการใช้มีดที่มีความคม มีความหนา และมีน้ำหนักพอสมควร เพราะจะทำให้สามารถแล่ปลาแซลมอนได้ง่ายขึ้น จะเป็นมีดที่ทำจากเหล็ก หรือสแตนเลสก็ได้เช่นกันค่ะ 

2.ส่วนแรกที่ต้องทำการเฉือนออกก็คือตำแหน่งที่อยู่ใต้ครีบบน หรือก็คือใต้บริเวณเหงือกของปลานั่นเองค่ะ ทำการตัดทั้งครีบบน และเหงือกออกพร้อมกันได้เลย

3.ส่วนต่อมาคือส่วนใต้ท้องของปลาแซลมอน ทำการตัดครีบท้องของปลาแซลมอนออก หลังจากนั้นค่อยๆ นำมีดแล่เฉือนไปบนแกนกลางกระดูกสันหลังของปลาแซลมอน 

4.เมื่อได้ชิ้นปลาแซลมอนออกมา 2 ส่วนแล้ว นำชิ้นปลาแซลมอนที่มีแกนกลางกระดูกนั้นมาตัดเฉือนออก และตัดเฉือนส่วนท้องของปลาแซลมอนซึ่งเป็นส่วนที่มีก้างออกเช่นกัน 

5.เมื่อนำก้างของปลาแซลมอนออกจนหมดแล้ว ให้ทำการตัดแบ่งส่วนของชิ้นเนื้อปลาแซลมอนให้มีขนาดที่เหมาะสม ในส่วนนี้เราสามารถกำหนดเองได้ และค่อยๆ เฉือนเนื้อปลาแซลมอนออกจากหนังของปลาแซลมอน และตัดเฉือนชิ้นเนื้อปลาแซลมอน ออกเป็นพอดีคำ เพียงเท่านี้ เราก็จะได้รับประทานแซลมอนซาชิมิอย่างฟินๆ และเอร็ดอร่อยได้แล้วค่ะ 



นี่ก็เป็นวิธีทำหรือเป็นทริคเล็ก ๆ น้อย ๆ ของการแล่ปลาแซลมอนที่เราเอามาฝากให้ทุกคนได้ไปทำกินเองที่บ้านแบบฟินๆกันนะคะ นอกจากนั้นบางคนอาจจะคิดว่าการกินปลาแซลมอนดิบๆ นั้นไม่ดี ที่จริงถ้าหากเราเลือกปลาแซลมอนที่ดี การกินปลาแซลมอนแบบสดหรือกินแบบซาชิมิก็มีประโยชน์นะคะ ข้อดีของปลาแซลมอนสด ก็คือการมีความสดของเนื้อปลา แถมยังอัดแน่นไปด้วยคุณค่าของสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า 3 เพราะยังไม่ถูกนำไปผ่านกรรมวิธีทำใด สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่า ปลาแซลมอนนั้นมีความสดใหม่จริงๆ นั่นเองค่ะ

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา

Categories
ขนมเบเกอรี่

แจกสูตรโมจิ ขนมสุดนุ่มนิ่ม

โมจิ

ถ้าทุกคนนึกถึงขนมประเทศญี่ปุ่นจะนึกถึงขนมอะไรกัน ? ขนมที่ญี่ปุ่นมีหลากหลายมากมายแต่ที่เด่นและเป็นขนมที่ขึ้นชื่อของประเทศญี่ปุ่นอย่างหนึ่งก็คือ “ขนมโมจิ” นั่นเอง ขนมโมจิเป็นขนมที่ทำมาจากแป้งข้าวเหนียว ซึ่งต้องนวดจนจับตัวเป็นก้อนเหนียวหรืออาจจะใช้เครื่องจักรในการนวดเพื่อความรวดเร็ว และขนมโมจินั้นมีลักษณะคล้ายข้าวเหนียวนึ่งสุก เป็นขนมที่นุ่มนิ่มทานง่าย ส่วนใหญ่ที่ประเทศญี่ปุ่นจะนิยมกินไส้ถั่วแดงกัน แต่บ้านเรามีหลายไส้หลากสีสันให้ได้เลือกกินตามความชอบด้วย วันนี้เราจะมาแจกสูตรโมจิในแบบฉบับของคนญี่ปุ่นกัน

ส่วนผสมในการทำสูตรโมจิ

โมจิ

ารถทำได้เองง่ายๆ ในส่วนผสมสูตรโมจินี้สามารถทำได้ประมาณ 10 ลูก อาจใช้สีผสมอาหารหรือสีจากธรรมชาติ ช่วยเพิ่มสีสันให้โมจิดูน่ารับประทาน ส่วนไส้โมจินั้นที่นำมาแนะนำเป็นไส้ถั่วแดงแต่ถ้าใครที่ไม่ชอบก็สามารถเลือกส่วนผสมอื่นมาทดแทนตามความชอบได้เลย

1.ถั่วแดงต้มสุก 600 กรัม

2.แป้งข้าวเหนียว 2 ถ้วยตวง

3.แป้งชนิดอื่น 1 ถ้วยตวง

4.น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ

5.เกลือป่น ¼ ช้อนชา

6.น้ำสะอาด 1 ถ้วยตวง

ขั้นตอนวิธีการทำขนมโมจิ

โมจิ

1.นำแป้งข้าวเหนียวไปล้างในหม้อ แช่ไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นนำข้าวไปอบต่อประมาณ 40 – 50 นาที 

2.เอาข้าวไปใส่ในครก จากนั้นตำหรือโขลกข้าวเป็นเวลาประมาณ 10 – 20 นาที ในขณะที่ทำอยู่ให้เตรียมน้ำอุ่นวางไว้ข้างๆ เพื่อเอาไว้พรมไม่ให้ข้าวแห้งเกินไป ตำไปเรื่อยๆ จนกว่าข้าวจะเริ่มเหนียวข้นติดกันดี

3.นำแป้งอะไรก็ได้มาโรยบนโต๊ะสำหรับเตรียมทำโมจิ จากนั้นให้จุ่มมือในน้ำให้ชุ่มก่อนจะนำโมจิขึ้นมาบนโต๊ะ แล้วทำการนวดโมจิเบาๆ หากยังรู้สึกว่าเหนียวมืออยู่ให้โรยแป้งลงเพิ่มจนกว่าจะรู้สึกว่าโมจิจับแล้วไม่ติดมือ จากนั้นให้ทำการแบ่งออกเป็นก้อนละประมาณ 2 นิ้ว กลิ้งไปรอบๆ เพื่อให้มันเป็นรูปทรงตามต้องการ

4.ขั้นตอนวิธีการใส่ใส้ คือแผ่ลูกโมจิออกให้แบน ใช้ช้อนตักไส้ลงตรงกลาง จากนั้นพับมุมเข้าหากันก่อนที่จะกลิ้งเบาๆ เพื่อให้มีลักษณะคล้ายกับลูกบอล และค่อยๆ บีบลงให้แบนเล็กน้อย

5.ถ้าอยากเพิ่มความอร่อยสามารถนำไปปิ้งได้ โดยจะเก็บได้เป็นเวลา 12 ชั่วโมงหากใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำคลุมเอาไว้ แต่ถ้ายังไม่ได้ปิ้งสามารถเก็บได้นานถึง 24 ชั่วโมง 

เพียงทำตามสูตรโมจินี้เราก็จะได้โมจินุ่มนิ่มเหนียวหนึบหนับแบบฉบับดั้งเดิมมารับประทานกัน ทำได้ง่ายๆ ทุกคนสามารถทำตามได้ไม่ยาก วัตถุดิบไม่เยอะหาได้ง่ายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปเลย แถมใช้เวลาในการทำไม่นานอีกด้วย

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

Categories
อาหารไทย

หมูสามชั้นผัดกะปิ เมนูอาหารจากกะปิ เนื้อนุ่น กลิ่นหอมฟุ้ง อร่อยอิ่มท้อง

หมูสามชั้นผัดกะปิ

เราเชื่อว่าคนไทยหลายครอบครัวต้องมีเครื่องปรุงที่สำคัญที่ต้องซื้อติดครัวที่บ้านไว้หลายอย่างรวมถึงกะปิ เครื่องปรุงของไทยที่มีมาตั้งแต่โบราณ ปัจจุบันประเทศไทยมีกะปิมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีคุณภาพที่แตกต่างกันตามวัตถุดิบ และกรรมวิธีในการผลิต ส่วนใหญ่ที่เห็นกันบ่อยๆจะใช้กุ้งเคยเป็นส่วนประกอบ ซึ่งมีมากในแถบชายฝั่งทะเลอันดามัน กะปินี้เป็นเครื่องปรุงที่สามารถนำไปประกอบอาหารได้อย่างหลากหลาย โดยรสชาติกะปิแต่ละท้องที่จะมีปริมาณของกรดอะมิโนและสารระเหยแตกต่างกันทำให้รสชาติและกลิ่นแตกต่างกัน แต่เมื่อนำมาประกอบอาหารจะช่วยเพิ่มความอร่อยกลมกล่อมให้กับเมนูอาหาร ดังนั้นวันนี้เราจึงอยากแนะนำอีกหนึ่งเมนูอาหารไทยที่ใช้กะปิเป็นส่วนประกอบอย่าง “หมูสามชั้นผัดกะปิ” อาหารใต้ยอดนิยมที่สามารถเลือกใช้หมูส่วนที่มีติดมัน เช่น สันคอหรือสามชั้น หั่นไม่หนาไม่บางเกินไป เพื่อให้ซอสซึมเข้าในเนื้อหมูได้ทั่วถึง บวกกับกะปิที่ใส่ ทำให้เมนูนี้มีรสชาติที่โดดเด่นมากขึ้นค่ะ ยิ่งได้ทานคู่กับกับข้าวสวยร้อนๆ หอมๆ บอกเลยว่าฟินสุดๆค่ะ ส่วนจะมีวัตถุดิบและวิธีการทำอย่างไร ตามไปดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูหมูสามชั้นผัดกะปิ

หมูสามชั้นผัดกะปิ เป็นอาหารใต้ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอาหารพื้นบ้าน แบบเรียบง่ายตามฉบับอาหารไทย ซึ่งเคล็ดลับความอร่อยของเมนูนี้อยู่ที่การเลือกวัตถุดิบ นั่นคือการเลือกใช้กะปิที่มีคุณภาพและมีกลิ่นที่ถูกใจเรา ส่วนอีกหนึ่งส่วนผสมที่สำคัญไม่แพ้กันคือกการเลือกเนื้อหมู ต้องเลือกใช้เนื้อหมูติดมัน ยิ่งมีมันเยอะยิ่งอร่อย และเครื่องปรุงที่ทำให้เมนูหมูสามชั้นผัดกะปิ มีกลิ่นหอมฉุนและเข้มข้น คือกระเทียมไทยเม็ดเล็กคะ รวมถึงพริกสด โดยเมนูนี้มีส่วนผสมทั้งหมดดังนี้

ส่วนผสมสำหรับทำเมนูหมูสามชั้นผัดกะปิ

  1. หมูสามชั้นหั่นเป็นชิ้นพอคำ 350 กรัม 
  2. กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ 
  3. ใบมะกรูดฉีก 4-5 ใบ 
  4. พริกขี้หนูสวนซอย 8 เม็ด 
  5. พริกชี้ฟ้าสีแดงหั่นแฉลบ 2 เม็ด
  6. พริกไทยป่น ½ ช้อนชา
  7. กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ 
  8. น้ำมันพืชสำหรับผัด 1 ช้อนโต๊ะ 
  9. น้ำปลา 2 ช้อนชา 
  10. น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ 
  11. น้ำเปล่า 4 ช้อนโต๊ะ
  12. ต้นหอมซอย 3 ต้น
หมูสามชั้นผัดกะปิ

เคล็ดลับการเลือกซื้อกะปิ

สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่าต้องเลือกใช้กะปิแบบไหนมาใช้ในการปรุงอาหารเมนูหมูสามชั้นผัดกะปิ เราก็มีเคล็ดลับการเลือกซื้อกะปิในการประกอบอาหารมาฝากทุกคนค่ะ การเลือกซื้อกะปิ มีวิธีการสังเกตง่ายๆ โดยการดูจากสีและกลิ่นของกะปิ ซึ่งกะปีที่ดีควรเป็นสีแดงออกม่วง แต่ไม่คล้ำมาก เนื้อเหนียวละเอียด สม่ำเสมอ และไม่ควรซื้อกะปิที่เนื้อหยาบเป็นเม็ด ส่วนกลิ่นให้เลือกใช้กะปิที่เป็นกลิ่นที่เราชอบ เพราะจะทำให้กลิ่นของอาหารถูกใจเรามากขึ้นค่ะ ที่สำคัญควรเลือกใช้กะปิให้ตรงต่อการนำไปปรุงหรือประกอบอาหาร โดยกะปิแบ่งออกเป็น 2 อย่าง ได้แก่ กะปิตำน้ำพริกและกะปิพริกแกง สำหรับกะปิตำน้ำพริก เนื้อกะปิจะเข้มข้น และเค็มกว่า เหมาะสำหรับตำน้ำพริกต่างๆ ส่วนกะปิพริกแกง เป็นกะปิที่นิยมนำไปผสมกับเครื่องแกงชนิดต่างๆ เพื่อทำให้รสชาติของพริกแกงกลมกล่อมเข้มข้นมากขึ้นและกะปิพริกแกงก็เป็นกะปิที่เรานำมาใช้ปรุงเมนูหมูสามชั้นผัดกะปินั้นเอง

ขั้นตอนวิธีการทำหมูสามชั้นผัดกะปิ

สำหรับวิธีทำเมนูหมูสามชั้นผัดกะปิ ที่เรานำมาแนะนำนี้เป็นสูตรโบราณ ที่มีขั้นตอนการทำที่ง่ายมาก เหมาะกับคนที่ชื่นชอบการทำอาหารกินเองที่บ้านมากๆเลยค่ะ โดยมีวิธีการทำดังนี้

  1. ตั้งกระทะ ไฟปานกลาง ใส่น้ำมันสำหรับผัด ตามด้วยกระเทียมสับ และกะปิ แล้วผัดให้เข้ากันจนกะปิเริ่มส่งกลิ่นหอม จากนั้นใส่หมูสามชั้นหั่นเป็นชิ้นพอคำลงไปผัดให้เข้ากัน 
  2. ผัดจนหมูสามชั้นเริ่มสุก จากนั้นใส่น้ำเปล่าเพื่อให้ส่วนผสมต่างๆละลายเข้ากันดี
  3. ปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ และพริกไทยป่น แล้วผัดให้เข้ากันจนน้ำตาลปี๊บละลาย
  4. จากนั้นใส่ พริกขี้หนูสวน และพริกชี้ฟ้าสีแดง แล้วผัดสักครู่ให้พริกส่งกลิ่นหอม
  5. ใส่ต้นหอมซอย ผัดให้โดนความร้อนสักครู่ แล้วปิดไฟ ตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะทุกคนสำหรับเมนูหมูสามชั้นผัดกะปิ เมนูนี้นอกจากจะอร่อยกลมกล่อมแล้ว ยังมีคุณค่าทางโภชนาการอีกด้วยนะคะ เพราะหมูเป็นเนื้อสัตว์ที่ให้โปรตีนและไขมันสูง ส่วนกะปิก็มีพลังงาน โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เส้นใยอาหาร แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ ไรโบฟลาวิน และไนอาซิน ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลากหลายค่ะ ใครที่อยากทำเมนูหมูสามชั้นผัดกะปิ อย่าลืมนำสูตรที่เราแนะนำไปใช้กันนะคะ

บา คา ร่า วอ เลท

Categories
อาหารไทย

ปูผัดผงกะหรี่ เมนูอาหารไทยแสนอร่อย หอมกลิ่นเครื่องเทศ

ปูผัดผงกะหรี่

ผงกะหรี่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย ต่อมาได้ที่การเผยแพร่ออกมาเป็นวงกว้างหลายประเทศนำผงกะหรี่มาประกอบอาหารรวมถึงประเทศไทยของเราด้วยค่ะ สำหรับปูผัดผงกะหรี่ เป็นเมนูอาหารทะเลยอดฮิตที่ถูกปากใครหลายๆคน อีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารไทยที่ชาวต่างชาติชื่นชอบกันเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นเมนูที่ทั้งหอมเครื่องเทศ รสชาติกลมกล่อม และได้ลิ้มลองรสชาติเนื้อปูที่สดหวาน จริงๆแล้วสูตรการทำเมนูปูผัดผงกะหรี่มีหลากหลายตามความถนัดและการพัฒนาสูตรของแต่ละคน แต่เราจะเห็นบ่อยที่สุดตามร้านอาหารคือสูตรที่ใส่ไข่ใส่นมออกข้นๆ และสูตรที่ไม่ใส่ไข่ เมนูนี้เหมาะสำหรับเป็นอาหารติดโต๊ะกินกันเป็นกลุ่มๆ หรือกินกันเป็นครอบครัว ยิ่งได้ทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆอร่อยสุดๆเลยค่ะ ส่วนใครที่กำลังมองหาสูตรการทำปูผัดผงกะหรี่กินเองที่บ้านวันนี้เราก็มีอีกหนึ่งสูตรมาแนะนำ คุณสามารถทำตามได้ง่ายๆที่บ้าน แถมยังอร่อยกลมกล่อมถูกปากคนที่บ้านแน่นอนค่ะ จะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้างตามมาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูปูผัดผงกะหรี่

เมนูผัดผงกะหรี่นั้นมีหลากหลายไม่ว่าจะเป็น กุ้งผัดผงกระหรี่ ปลาหมึกผัดผงกะหรี่ หรือเมนูซีฟู้ดอื่นๆ และวันนี้เราอยากแนะนำสูตรอาหารทะเลที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันอย่างปูผัดผงกะหรี่ ซึ่งสูตรอาหารที่เรานำมาฝากนี้เป็นสูตรที่ทำตามได้ง่ายๆที่บ้าน แต่ก่อนที่จะไปดูขั้นตอนการทำเรามาดูวัตถุดิบและส่วนผสมกันก่อนดีกว่าค่ะ

ส่วนผสมสำหรับทำเมนูปูผัดผงกะหรี่

  1. ปูม้า 800-1,000 กรัม (หั่นเป็นชิ้น)
  2. กระเทียม 1 หัว (ตำให้ละเลียด)
  3. ไข่ไก่ 3 ฟอง
  4. หอมใหญ่ 1 หัว
  5. ขึ้นช่าย 3 ต้น
  6. ต้นหอม 3 ต้น
  7. พริกชี้ฟ้าแดง 2 เม็ด
  8. นมข้นจืด 150 มิลลิลิตร
  9. ผงกะหรี่ 3 ช้อนโต๊ะ
  10. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  11. ซีอิ้วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
  12. ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
  13. พริกไทยป่น (ใส่ตามความชอบ)
  14. น้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ
  15. น้ำมันพริกเผาเล็กน้อยหรือใส่ตามความชอบ
  16. น้ำเปล่าเล็กน้อย (สำหรับผัดปู)
ปูผัดผงกะหรี่

ขั้นตอนวิธีการทำปูผัดผงกะหรี่

หลังจากที่เราได้รู้จักส่วนผสมเมนูปูผัดผงกะหรี่แล้ว เรามาดูวิธีทำผัดผงกระหรี่กันต่อเลยค่ะ ผัดผงกระหรี่มีมากมายแต่ที่แตกต่างกันคือเนื้อสัตว์ที่ใช้เป็นส่วนประกอบ เราสามารถเลือกเนื้อสัตว์ใส่ได้ต้องความชอบเลยค่ะ สำหรับสูตรปูผัดผงกะหรี่ที่เรานำมาแนะนำนี้มีขั้นตอนการทำที่ง่ายมากๆดังนี้

  1. นำปูมาผัดให้สุกก่อน โดยเริ่มจากตั้งกระทะให้ร้อน เอากระเทียมลงไปเจียวให้พอหอม ตามด้วยเนื้อปู ผัดให้เข้ากันแล้วหาผามาปิดอบปูไว้สักพัก
  2. ผสมเครื่องปรุงผัดผงกะหรี่ลงในกระทะไม่ว่าจะเป็น นมข้นจืด ผงกะหรี่(2 ช้อนโต๊ะ) น้ำตาลทราย ซีอิ้วขาว ซอสหอยนางรม และพริกไทย แล้วคนให้ส่วนผสมเข้ากัน จากนั้นใส่น้ำพริกเผาตามลงไป แล้วคนให้เข้ากันอีกครั้ง
  3. นำไข่ไก่มาตีแยกจากส่วนเครื่องปรุงผงกะหรี่ พอไข่เป็นเหมือนไข่เจียว ให้นำมาเทใส่น้ำเครื่องปรุงผงกะหรี่ 
  4. เมื่อปูสุกได้ที่แล้ว ให้ใส่ผงกะหรี่ที่เหลือลงไปผัดจนหอม ด้วยไฟกลาง
  5. จากนั้นใส่น้ำเครื่องปรุงผงกะหรี่ที่ผสมไว้ตามลงไป แล้วใส่หอมใหญ่ เร่งไฟเป็นไฟแรง และคอยคนอยู่เสมอ
  6. เมื่อไข่เริ่มเซ็ตตัว ให้ใส่ผักที่เหลือตามลงไป แล้วผัดต่อจนได้ที่ แล้วตักใส่จากพร้อมรับประทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะทุกคนสำหรับเมนูอาหารไทยปูผัดผงกะหรี่ที่เรานำมาฝาก บอกเลยว่าขั้นตอนการทำสามารถทำตามได้ง่ายๆที่บ้าน แถมยังอร่อยกลมกล่อม หอมกลิ่นเครื่องเทศแน่นอนค่ะ แต่เคล็ดลับความอร่อยอีกอย่างอยู่ที่การเลือกปูสดๆ มาปรุงอาหารจานนี้ อย่างปูทะเลให้คุณสังเกตเลือกตัวที่มีสีเขียวเข้ม อ้วน หนัก ก้ามใหญ่ ตาใส ท้องแข็งกดไม่ลง ถ้าเป็นปูตัวเมียฝาปิดหน้าอกจะใหญ่ ส่วนตัวผู้ฝาปิดหน้าอกจะเล็กและมีเนื้อมากกว่าตัวเมีย แต่ถ้าจะเลือกปูไข่ ให้ใช้นิ้วดีดที่กระดอง ถ้ามีเสียงแน่นทึบแสดงว่าในตัวปูนั้นมีไข่อยู่ นอกจากนี้เนื้อปูทะเลยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เพราะเนื้อปูทะเลจะมีสารไกลซีน ซึ่งทำหน้าที่สร้างครีเอทีนีนสารประกอบสำคัญในการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ ทำให้อาการกล้ามเนื้อตีบหรือฝ่อดีขึ้นได้อีกด้วยค่ะ

เว็บฝากถอนออโต้ไม่มีขั้นต่ํา