สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
ปลาทับทิมสามรส
ปลาทับทิมสามรส
Categories
ขนมหวานไทย

บัวลอย 3 สี ขนมไทยแนวฟิวชัน ที่น่าทานจนยั้งมือไม่อยู่

บัวลอย 3 สี
บัวลอย 3 สี

สวัสดีพ่อบ้าน แม่บ้านทั้งหลาย ใครที่ชอบทำขนมไทยก็คงจะเคยได้ทำเมนูนี้กันมาบ้างแล้ว และเมนูที่เราได้เตรียมมาในวันนี้คือ บัวลอย 3 สี ขนมของเราไม่เน้นการใส่สีผสมอาหารน้า เน้นวัตถุดิบจากธรรมชาติล้วน ๆ อยากรู้แล้วใช่ไหมคะว่าในบัวลอยของเราจะมีส่วนผสมอะไรบ้าง ไปติดตามกันเลยจ้า

ส่วนผสมขนมบัวลอย 3 สี

1. ฟักทองนึ่ง

2. น้ำอัญชัน

3. น้ำใบเตย

4. แป้งมัน

5. แป้งข้าวเหนียว

6. น้ำกระทิทั้งหัวและหาง

7. เกลือ

8. น้ำตาลทราย

9. มะพร้าวอ่อนหั่นชิ้น

10. ใบเตยสด

วิธีทำ 

1. การเตรียมแป้งบัวลอย เริ่มจากการนำแป้งมัน แป้งข้าวเหนียวผสมกัน ใส่น้ำเปล่าเล็กน้อย จาำนั้นใส่ฟักทองหรือน้ำอัญชันหรือน้ำใบเตย ทำการนวดจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน พักแป้งไว้ 10 นาที

2. ปั้นแป้งทั้ง 3 สีให้เป็นวงกลมเล็ก ๆ จนหมด

3. การเตรียมน้ำกะทิ ให้นำหางกะทิตั้งในกระทะทองเหลือง ม้วนใบเตยใส่ลงไป จากนั้นใส่น้ำตาลในความหวานที่พอเหมาะ ใส่เกลือเล็กน้อย ตามด้วยมะพร้าวอ่อน เมื่อเดือดแล้วให้ใส่หัวกะทิตามลงไป

4. ตั้งน้ำเพื่อลวกแป้งบัวลอยที่ปั้นไว้ทั้ง 3 สี เมื่อสุกแล้วให้ตักมาใส่ในกระทะที่มีกะทิที่เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จกับเมนูบัวลอย 3 สี

น่าทานกันไหมคะเพื่อน ๆ 

       กับเมนูบัวลอย 3 สี ที่เราคัดสรรมาให้เป็นอย่างดี เชื่อว่าถ้าได้ลองทำแล้วจะติดใจนะ การทำบัวลอยให้อร่อยต้องไม่ใส่สีผสมอาหารน้า ให้หาสีจากธรรมชาติมาดัดแปลงเพื่อความอร่อยที่น่าประทับใจมากยิ่งขึ้น 

 

Categories
ขนมหวานไทย

เมนู ตะโก้เผือก ขนมไทยโบราณยอดฮิต ที่ทำทานได้ง่าย ๆ ที่บ้าน

ตะโก้เผือก

กราบสวัสดีค่ะคุณผู้ชมทุก ๆ ท่านนนนน การทำอาหารอยู่ในครัวในช่วงเวลาว่างนับว่าเป็นการพัฒนาฝีมือทางด้านการเข้าครัวอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทางด้านอาหารคาวหรืออาหารหวานก็ถือว่าเป็นสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่การที่ได้ทำขนมนั้นนับว่าเป็นทั้งการพัฒนาและเสริมสร้างความคิดคู่กับจินตนาการไปพร้อม ๆ กัน วันนี้เราก็เตรียมสูตรขนมไทยเด็ด ๆ มาฝากทุกคนอีกเช่นเคย เมนูนี้ก็คือ ตะโก้เผือก นั่นเองจ้า

       ขนมตะโก้ เป็นขนมไทยโบราณที่มีส่วนผสมหลักเป็นกะทิและน้ำตาลทราย โดยที่ตัวของขนมนั้นจะประกอบไปด้วย 2 วัตถุดิบที่กล่าวถึงไปแล้ว ส่วนหน้าของขนมจะทำด้วยกะทิเป็นหลัก ตัวของขนมนั้นสามารถเพิ่มวัตถุดิบอื่น ๆ อย่าง เผือก ข้าวโพด สีธรรมชาติต่าง ๆ ลงไปเพื่อเพิ่มความสวยงามได้

ส่วนผสมขนม ตะโก้เผือก

1. เผือกหั่นเต๋า 1 ถ้วยตวง

2. เเป้งมัน 1/3 ถ้วยตวง

3. แป้งข้าวเจ้า 2 ถ้วยตวง

4. แป้งข้าวโพด 1/3 ถ้วยตวง

5. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง

6. หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง

7. หางกะทิ 1 ถ้วยตวง

8. น้ำเปล่าสะอาด 1 ลิตร

9. เกลือ  1 ช้อนโต๊ะ

10. กระทงจากใบเตย

วิธีทำ

1. นำเผือกที่เตียมไว้ไปล้างน้ำจนสะอาดดี นำเผือกไปนึ่งด้วยไฟกลางจนสุก

2. ขั้นตอนการเตรียมแป้งคือ นำหม้อไปตั้งไฟอ่อนจากนั้นใส่ แป้งข้าวเจ้า น้ำเปล่า และแป้งมัน คนจนแป้งเริ่มละลาย ให้ใส้น้ำตาลทรายลงไป คนให้เข้ากันอีกครั้งจนเนื้อแป้งเริ่มใส

3. นำเผือกที่สุกแล้วมาเทใส่ในแป้งกวนจนเผือกเข้าไปทั่วทุกพื้นที่ จากนั้นตักแป้งใส่ลงไปในกระทงใส่จนเต็ม

4. ขั้นตอนการเตรียมหน้าขนม นำหัวกะทิ เกลือ หางกะทิ น้ำตาล แป้งมัน และแป้งข้าวโพดผสมให้ละลายจนเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำไปอังไฟแล้วกวนจนกะทิเหนียวข้นขึ้น

5. ราดกะทิที่ข้นแล้วลงบนตัวขนม พร้อมเสิร์ฟแล้วจ้ากับเมนู ตะโก้เผือก

เป็นอย่างไรกันบ้างคะเพื่อน ๆ 

       กับเมนูขนมไทยโบราณหายากอย่าง ตะโก้เผือก เมนูนี้วิธีทำง่ายมาก ๆ เลยใช่ไหมคะทุกคน ใครที่กำลังอยากทานแต่เบื่อต่อคิวซื้อหรือใครที่กำลังอยากฝึกฝีมือทางด้านในครัวนับว่าเมนูนี้น่าสนใจที่จะนำไปลองทำมากเลยทีเดียว เคล็ดลับสำคัญ ของเมนูนี้ก็คือการทำกะทิราดด้านบน ต้องผสมให้ทุกอย่างเข้ากันดีก่อนจึงจะนำขึ้นไปกวนได้นะจ๊ะ

Categories
ขนมหวานไทย

เมนู ขนมชั้นอัญชัน ขนมไทยโบราณยอดฮิตที่ทำทานง่าย ๆ ได้ที่บ้าน

ขนมชั้นอัญชัน
ขนมชั้นอัญชัน

สวัสดีค่ะคุณผู้ชมทุก ๆ ท่านนนนน ใครที่กำลังมองหากิจกรรมยามว่างเพื่อใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การทำงานบ้าน หรือรวมไปถึงการเข้าครัวเพื่อฝึกฝีมือในการทำงานไม่ว่างจะเป็นอาหารคาวหรืออาหารหวาน วันนี้ก็เตรียมเมนูขนมไทยโบราณอย่าง ขนมชั้นอัญชัน มาฝากทุกคน

       ขนมชั้น เป็นขนมไทยโบราณที่ส่วนมากนิยมนำมาประกอบพิธีงานมงคล ขนมชนิดนี้จัดอยู่ในขนมประเภทแข้นหรือกึ่งแห้งกึ่งเปียก ตามเดิมตั้งแต่โบราณนิยมให้ขนมประเภทนี้มีจำนวน 9 ชั้น จึงจะนับว่าเป็นความเจริญก้าวหน้าแก่ตัวเจ้าของงาน ส่วนผสมโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นกะทิและน้ำตาลทราย และมักใช้แป้ง 3-4 ชนิดเลยทีเดียว

ส่วนผสม ขนมชั้นอัญชัน

1. แป้งมันสำปะหลัง 1 ถ้วยตวง

2. แป้งข้าวจ้าว 1/3 ถ้วยตวง

3. แป้งท้าวยายม่อม 1/4 ถ้วยตวง

4. น้ำมันพืช เล็กน้อย

5. กลิ่นมะลิ 1 ช้อนชา

6. น้ำดอกอัญชัน 3 ช้อนโต๊ะ

7. น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง

8. หัวกะทิ 1 กิโลกรัม

วิธีทำ

1. นำ แป้งทั้ง 3 ชนิด ทั้งแป้งมันสำปะหลัง แป้งท้าว แป้งข้าวจ้าว มาร่อนเข้าด้วยกัน

2. ตั้งน้ำกะทิด้วยไฟกลางจากนั้นใส่น้ำตาลทรายลงไปคนจนน้ำตาลละลายหมดแล้วยกลง

3. เทน้ำกะทิลงไปในแป้งที่ร่อนไว้แล้วโดยค่อย ๆ เทใส่ทีละนิดพร้อมกับการนวดแป้งจนเข้ากันดี

4. เมื่อแป้งเข้ากันดีแล้วให้ใส่กลิ่นดอกมะลิลงไปนวดจนเข้ากันอีกครั้ง

5. นำส่วนผสมที่เข้ากันแล้วมาเทใส่ภาชนะ 3 ใบ ๆ ละเท่า ๆ กัน ถ้วยที่ 1 ไม่ต้องใส่น้ำอัญชัน ถ้วยที่ 2 ใส่น้ำอัญชันเล็กน้อย ถ้วยที่ 3 ใส่น้ำอัญชันเข้มข้น

6. ตั้งซึ้งนึ่ง นำน้ำมันมาทาที่ถาดแล้วเทส่วนผสมที่เข้มที่สุดลงไป จากนั้นนำไปนึ่งด้วยไฟอ่อนจนสุกดี ให้เทสลับสีไปเรื่อย ๆ จนครบ 9 ชั้น

7. เมื่อแป้งทั้งหมดสุกดีแล้วให้ตัดแบ่งเป็นชิ้นขนาดพอเหมาะ เสร็จแล้วจ้ากับเมนู ขนมชั้นอัญชัน

เป็นอย่างไรกันบ้างคะเพื่อน ๆ

       กับเมนูขนมไทยโบราณอย่าง ขนมชั้นอัญชัน เป็นเมนูที่ทำได้ง่ายมาก ๆ เลยใช่ไหมคะทุกคน ใครที่กำลังอยากทานหรือกำลังมองหาอาหารว่างให้คนที่บ้านนับว่าเมนูนี้เป็นเมนูที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว เคล็ดลับสำคัญ ของเมนูนี้ก็คือ ในขณะที่นึ่งขนมต้องคอยเช็ดฝาหม้อนึ่งอยู่บ่อย ๆ เพื่อไม่ให้น้ำหยดลงไปในตัวขนมจะทำให้ขนมแฉะนะจ๊ะ

 

Categories
ขนมหวานไทย

เมนู ขนมต้ม ขนมไทยยอดฮิตตามงานบุญที่ทำทานได้ง่าย ๆ

ขนมต้ม
ขนมต้ม

สวัสดีค่ะคุณผู้ชมทุก ๆ ท่านนนนน ขนมไทยนับว่าเป็นขนมยอดฮิตที่ผู้คนสมัยก่อนนิยมทำเพื่อรับประทานในมื้ออาหาร ไม่ว่าจะเป็นขนมที่มีส่วนผสมหลักเป็นน้ำหรือขนมที่มีส่วนผสมหลักเป็นแป้ง คนไทยก็นิยมปฏิบัติด้วยกันทั้งนั้น แต่ในปัจจุบันนี้ขนมของบ้านเราเริ่มลดเลือนหายไปตามกาลเวลาจึงทำให้วัยรุ่นในสมัยนี้หันมาสนใจเบเกอรี่มากกว่าขนมไทย วันนี้เราเลยเตรียมสูตรขนมไทยชนิดหนึ่งมาให้ทุกคนศึกษา ขนมชนิดนี้ก็คือ ขนมต้ม นั่นเอง

       ขนมชนิดนี้จัดเป็นขนมไทยโบราณที่ด้านในมีรสชาติหวานกลมกล่อม รับประทานเพลิดเพลิน นุ่มลิ้น และขนมชนิดนี้มีหลากหลายสีและมีกลิ่นหอมของมะพร้าว ซึ่งคนไทยนิยมนำมาประกอบงานบุญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานแต่ง รวมถึงงานมงคลทุกประเภท ขนมต้มประกอบไปด้วย 2 แบบคือ ขนมต้มขาว และขนมต้มแดง

ส่วนผสม ขนมต้ม

1. แป้งข้าวเหนียว 500 กรัม

2. น้ำตาลปี๊บ 200 กรัม

3. มะพร้าวขูด 500 กรัม

4. เกลือป่น 2 ช้อนชา

5. น้ำอัญชัน 1 ถ้วยตวง

6. น้ำใบเตย 1 ถ้วยตวง

วิธีทำ

1. นำ แป้งข้าวเหนียว ที่เตรียมไว้มาแบ่งเป็นถ้วย ๆ ละ 250 กรัม เทน้ำอัญชันใส่ 1 ถ้วย และน้ำใบเตยลงอีก 1 ถ้วย นวดจนกว่าแป้งจะไม่ติดมือแล้วใช้พลาสติกพักไว้ก่อน

2. นำกระทะทองเหลืองตั้งด้วยไฟกลางใส่น้ำตาลปี๊บลงไปคนจนน้ำตาลปี๊บละลาย จากนั้นให้นำมะพร้าว 300 กรัม และเกลือใส่ลงไปคนจนส่วนผสมแห้ง แล้วยกออกมาพักไว้

3. นำแป้งที่เข้ากันดีแล้วมาปั่นเป็นลูกกลม ๆ จากนั้นให้กดลงจนแป้งแบนแล้วนำไส้มาวางตรงกลาง ปิดแป้งให้มิดปั้นให้กลมจนไม่เห็นรอยต่อ

4. นำขนมไปต้มในน้ำเดือดจนสุกมีสีใส นำขนมออกมาคลุกกับมะพร้าวขูด พร้อมเสิร์ฟแล้วจ้ากับเมนู ขนมต้ม

เป็นอย่างไรกันบ้างคะเพื่อน ๆ

       กับเมนูขนมไทยโบราณที่มีให้เห็นตามงานบุญต่าง ๆ อย่าง ขนมต้ม เมนูนี้ทำได้ไม่ยากเลยใช่ไหมคะทุกคน ใครที่กำลังอยากทานเมนูนี้แต่ไม่อยากไปหาซื้อตามท้องตลาดก็สามารถลงมือทำได้ นับว่าเมนูนี้น่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียว เคล็ดลับสำคัญ ของเมนูนี้ก็คือ ในขั้นตอนการทำขนมถ้าอยากรู้ว่าขนมนั้นสุกแล้วก็คือ ขนมลอยขึ้นมาเหนือน้ำนะจ๊ะ

 

Categories
ขนมหวานไทย

เมนู ข้าวเหนียวเปียกลำไย เมนูขนมไทยที่ไม่ต้องง้อตลาดก็อร่อยได้

ข้าวเหนียวเปียกลำไย
ข้าวเหนียวเปียกลำไย

สวัสดีเจ้าาาา ขนมไทย จัดเป็นส่วนหนึ่งที่ในทุก ๆ มื้ออาหารจำเป็นต้องมี ไม่ว่าจะมื้อเช้า กลางวัน เย็น หรือเมนูอาหารว่าง ก็สามารถนำขนมไทยไปเป็นส่วนหนึ่งของมื้อนั้น ๆ ได้ ใคร ๆ ก็ว่าขนมไทยทำยาก ขั้นตอนเยอะ วันนี้เราเลยเตรียมสูตรขนมไทยชนิดหนึ่งมาฝาก ได้แก่เมนู ข้าวเหนียวเปียกลำไย นั่นเองจ้า อยากรู้แล้วใช่ไหมคะว่าวิธีทำเมนูนี้จะง่ายขนาดไหน ไปติดตามกันได้เลยจ้า

ส่วนผสมขนม ข้าวเหนียวเปียกลำไย

1. ข้าวเหนียวเขี้ยวงูเก่า 3 ถ้วยตวง

2. ลำไย 1 กิโลกรัม

3. น้ำตาลทราย 400 กรัม

4. ใบเตย 10 ใบ

5. น้ำมะพร้าว 7 ถ้วยตวง

6. หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง

7. เกลือป่น 2 ช้อนชา

วิธีทำ

1. นำข้าวเหนียวเขี้ยวงูที่เตรียมไว้มาซาวน้ำ ซาวหลาย ๆ ครั้งจนไม่มีสีขาว จากนั้นให้ซาวขึ้นมาสะเด็ดน้ำ 

2. นำหม้อไปตั้งไฟตามด้วยใส่น้ำมะพร้าว 4 ถ้วยตวง ตามด้วยใบเตยมัด ใส่เกลือป่นตามลงไป รอจนเดือด นำข้าวเหนียวที่สะเด็ดน้ำแล้วใส่ตามไปในหม้อ หมั่นคนข้าวเหนียวอยู่เสมอ คอยสังเกตเมื่อข้าวเหนียวใสให้ปิดไฟแล้วพักไว้

3. นำหม้ออีกหนึ่งใบมาตั้งไฟใส่น้ำมะพร้าวที่เหลือ ตามด้วยน้ำตาลทราย ใส่ใบเตยมัด เมื่อเดือดแล้วให้ใส่เนื้อ ลำไย ที่คว้านเมล็ดออกเรียบร้อยแล้วลงไป จากนั้นปิดไฟแล้วพักไว้

4. นำหัวกะทิขึ้นตั้งไฟใส่เกลือลงไปเล็กน้อย ตั้งจนแตกมันแล้วยกลง

5. วิธีเสิร์ฟ เริ่มจากการตักข้าวเหนียวเปียกใส่ถ้วยตามด้วยลำไย ราดตามด้วยกะทิ เสร็จแล้วจ้ากับเมนู ข้าวเหนียวเปียกลำไย

เป็นอย่างไรกันบ้างคะเพื่อน ๆ 

       กับเมนูขนมไทยยอดฮิตอย่าง ข้าวเหนียวเปียกลำไย ง่ายมาก ๆ เลยใช่ไหมคะทุกคน เอาเป็นว่าใครที่กำลังมองหาของหวานแสนอร่อยสามารถนำเมนูนี้ไปขึ้นโต๊ะได้นะ เตรียมหาวัตถุดิบไว้ได้เลย เคล็ดลับ ของเมนูนี้ก็คือการต้มข้าวเหนียวหากใช้เวลาน้อยไปข้าวเหนียวน้อยไปข้าวเหนียวจะดิบแต่หากใช้เวลามากไปข้าวเหนียวจะเเข็ง เวลาที่เหมาะสมคือประมาณ 10 – 15 นาทีนะจ๊ะ

Categories
ขนมหวานไทย

ข้าวเหนียวมูนกะทิ เมนูยอดฮิตในฤดูมะม่วง ที่ทำง่ายจนไม่ต้องพึ่งพาท้องตลาด

ข้าวเหนี่ยวมูนกระทิ
ข้าวเหนี่ยวมูนกระทิ

กราบสวัสดีค่ะทุก ๆ ท่านนน อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าในช่วงเดือนมีนา เมษา จะมีผลไม้อย่างมะม่วงที่ออกผลผลิตเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นมะม่วงเขียวเสวย มะม่วงแก้ว มะม่วงฟ้าลั่น หรือแม้กระทั่งมะม่วงน้ำดอกไม้ สิ่งสำคัญที่ทำมาทานกับมะม่วงสุกได้นั้นก็คือ ข้าวเหนียวมูนกะทิ อยากทานก็อยาก ที่ตลาดก็ขายแพง วันนี้เราเตรียมสูตรมาฝากแล้ว ไปชมกันเลยจ้า

ส่วนผสม ข้าวเหนียวมูนกะทิ

1. ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 1 กิโลกรัม

2. เกลือป่น 4 ช้อนชา

3. น้ำตาลทราย 400 กรัม

4. กะทิ 600 กรัม

5. ใบเตยหั่นชิ้น

วิธีทำ

1. นำข้าวเหนียวที่เตรียมไว้มาล้างในน้ำสะอาดจนน้ำสีไม่ขุ่น แช่ทิ้งไว้ 1 คืนจ้า

2. นำข้าวเหนียวที่แช่น้ำทิ้งไว้มาสะเด็ดน้ำออดจนหมด นำใส่หวดนึ่งเตาถ่านประมาณ 30 นาที หรือจนกว่าข้าวเหนียวจะสุกได้ที่

3. นำกะทิที่เตรียมไว้แล้วมาใส่น้ำตาลทราย เกลือป่น และใบเตย จากนั้นนำไปตั้งไฟ คนเรื่อย คึบลงๆ จนน้ำตาลละลายหมด

4. นำน้ำกะทิที่ปรุงรสแล้วมาเทผสมกับข้าวเหนียวในขณะที่ข้าวเหนียวยังร้อน คนให้เข้ากันดี ทิ้งไวสักพักเพื่อให้ข้าวเหนียวซึม

5. เมื่อเสร็จแล้วให้จัดจานทานพร้อมกับมะม่วงสุก ราดกะทิบนหน้านิดหน่อย พร้อมเสิร์ฟกับเมนู ข้าวเหนียวมูนกะทิ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะเพื่อน ๆ 

       กับเมนูขนมไทยรสชาติสุดพิเศษ เค็ม หวาน มันแบบลงตัวอย่าง ข้าวเหนียวมูนกะทิ ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ ใครที่ยากลองทำทานหรืออยากลงทำให้คนที่บ้านทานสามารถลงมือทำได้เลยน้า วัตถุดิบและวิธีทำง่ายมาก ๆ เคล็ดลับ ของเมนูนี้ก็คือการใสกะทิลงไปในขณะที่ข้าวเหนียวยังร้อนอยู่จะทำให้ข้าวเหนียวดูดซึมน้ำกะทิได้ดียิ่งขึ้นนะจ๊ะ

Categories
ขนมหวานไทย

ขนมซ่าหริ่ม เมนูขนมไทยหลากหลายสี ที่อร่อยแบบไม่ธรรมดา

ขนมซ่าหรื่ม
ขนมซ่าหรื่ม

กราบสวัสดีค่ะทุก ๆ ท่านนนน ขนมไทยในบ้านเรามีหลากหลายชนิดให้ทุกท่านได้ลิ้มลอง ทุกชนิดล้วนมีการผสมก้วยกะทิไม่มากก็น้อย เช่นขนมหม้อแกง ขนมวุ้น ขนมบัวลอย วันนี้เรามีเมนูหนึ่งมานำเสนอเป็นเมนูที่มีส่วนผสมหลักเป็นกะทิได้แก่เมนู ขนมซ่าหริ่ม อยากรู้ส่วนผสมกับวิธีทำแล้วใช่ไหมคะ ไปติดตามกันได้เลยจ้าา

ส่วนผสม ขนมซ่าหริ่ม

1. แป้งถั่วเขียว 1/3 ถ้วยตวง

2. สีผสมอาหาร สีเขียว ชมพู 1 หยด

3. มะพร้าวพร้อมขูด 4 ถ้วยตวง

4. น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วยตวง

5. น้ำสะอาด 2 ถ้วยตวง

วิธีทำ

1. เตรียมชามผสมใส่แป้งถั่วเขียวลงไป ตามด้วยน้ำ และสีผสมอาหารทีละ 1 สี คนให้เข้ากัน จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อรองสิ่งสกปรก 

2. ตั้งกระทะทอง เทส่วนผสมใส่ลงไปกวนไปทางเดียวกันจนแป้งกลายเป็นสีใส

3. ตักแป้งที่ใสแล้วใส่ที่กดซ่าหริ่ม บีบใส่ในน้ำเย็น จากนั้นเทใส่กระชอนเพื่อให้สะเด็ดน้ำแล้วพักเอาไว้

4. นำมะพร้าวมาคั้นโดยใส่น้ำอุ่นลงไปในมะพร้าว บีบให้ได้น้ำกะทิออกมา 

5. นำกะทิที่คั้นแล้วมาตั้งไฟ ตามด้วยน้ำเชื่อมเข้มข้น ใส่ดอกมะลิตามลงไป คนให้เข้ากัน

6. นำตัวซ่าหริ่มมาม้วนเป็นสี ๆ ตามด้วยราดน้ำกะทิ พร้อมเสิร์ฟกับเมนู ขนมซ่าหริ่ม

เป็นอย่างไรกันบ้างคะเพื่อน ๆ 

       กับเมนูขนมไทยยอดฮิตและแสนพิเศษอย่าง ขนมซ่าหริ่ม ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ ใครที่ชอบทานเมนูนี้หรืออยากทำไว้ให้คนที่บ้านทาน เตรียมหาวัตถุดิบไว้ได้เลย เมนูนี้ง่ายมาก ๆ เคล็ดลับสำคัญ ของเมนูนี้ก็คือ การกดตัวแป้งลงไปในน้ำเย็นต้องกดแรงมือที่พอดีให้เป็นเส้นยาวตลอดเพื่อความน่ารับประทานนะจ๊ะ

Categories
ขนมหวานไทย

ขนมอาลัว สูตรขนมไทยโบราณ ที่ผ่านมากี่ปีก็ยังคงความอร่อย

ขนมอาลัว
ขนมอาลัว

กราบสวัสดีพ่อบ้าน แม่บ้านทั้งหลายจ้า อยากจะเตรียมขนมไว้ให้คนที่บ้านทานเล่นแต่ก็คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดีใช่ไหมคะ วันนี้เราเลยเตรียมขนมไทยง่าย ๆ ใช้วัตถุดิบไม่กี่อย่างมาฝากกันค่ะ เมนูนี้ก็คือ ขนมอาลัว อยากรู้แล้วใช่ไหมคะว่าจะอร่อยแค่ไหน ไปติดตามชมกันได้เลยจ้า

ส่วนผสม ขนมอาลัว

1. แป้งสาลีหรือแป้งเค้ก

2. สีผสมอาหาร ( ตามใจชอบ )

3. น้ำตาลทราย

4. กะทิ

วิธีทำ

1. ใช้กะทะสีทอง ร่อนแป้งที่เตรียมไว้ลงไป ตามด้วยใส่น้ำตาล ค่อย ๆ กวน ใส่กะทิทีละนิดจนหมด

2. นำกะทะขึ้นตั้งไฟอ่อน กวนเร็ว ๆ จนแป้งสุกกลายเป็นสีใส 

3. เมื่อแป้งค่อย ๆ ร่อนจากกระทะ ให้ค่อย ๆ หยดสีลงไป ถ้าอยากได้หลายสีให้แยกใส่ถ้วยไว้

4. เตรียมถาดสำหรับใส่ขนม 1 ใบ รองด้วยกระดาษไข นำขนมใส่ถุงบีบ บีบตามขนาดที่ต้องการ

5. นำขนมที่บีบเสร็จเรียบร้อยแล้วไปตากแดดจนผิวด้านนอกแห้ง พร้อมเสิร์ฟกับเมนู ขนมอาลัว

เป็นยังไงกันบ้างคะเพื่อน ๆ กับเมนูที่เราเตรียมไว้

       ขนมอาลัว ไม่ยากอย่างที่ทุกคนคิดเลยใช่ไหมคะ ทุกวันนี้ตามท้องตลาดหาทานยากมาก ๆ เลยนะ ได้โชว์ฝีมือทำเองคนที่บ้านคงประทับใจไม่น้อยเลย สูตรอาหาร เด็ด ๆ แบบนี้สามารถเข้ามาติดตามได้ทางเว็บไซต์ของเราเลยนะคะ ไว้พบกันใหม่กับเมนูหน้าจ้า

Categories
ขนมหวานไทย

ขนมหม้อแกง ขนมไทยขึ้นชื่อ ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ

ขนมหม้อแกง
ขนมหม้อแกง

กราบสวัสดีค่ะคุณผู้ชมทุก ๆ ท่านนน ใครชอบทานขนมไทยกันบ้างคะ ไม่ว่าจะเป็นทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ตะโก้ สอดไส้ วันนี้เราก็เตรียมสูตรขนมไทยชนิดหนึ่งมาฝากทุกคนเช่นเดียวกัน ขนมชนิดนี้มีความนุ่ม ความหวานกลมกล่อมในตัว ได้แก่ ขนมหม้อแกง นั่นเองจ้า ใครที่ชอบแล้วกำลังมองหาสูตรง่าย ๆ มาทางนี้เลย

ส่วนผสม ขนมหม้อแกง

1. ไข่ไก่ (เฉพาะไข่ขาว) 12 ฟอง

2. ไข่เป็ด 5 ฟอง

3. น้ำตาลปี๊บคุณภาพดี 400 กรัม

4. หัวกะทิ 3 ถ้วยตวง

5. น้ำตาลทราย 250 กรัม

6. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1/3 ถ้วยตวง

7. น้ำมันพืช 1/4 ถ้วยตวง

8. ใบเตยหั่น

9. หอมเจียว

วิธีทำ

1. นำชามผสมมาใส่ ไข่เป็ดและผสมกับไข่ขาว ตามด้วยใบเตยหั่น น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย ขยำจนเนื้อทุกอย่างเข้ากันดี น้ำตาลละลายดีแล้ว 

2. ค่อย ๆ เทแป้งตามลงไปทีละนิด ผลัดกับการขยำไปเรื่อย ๆ จนแป้งหมด ตามด้วยกะทิ ขยำอีกครั้งจนเนื้อเนียน

3. นำส่วนผสมทั้งหมดมากรองผ่านผ้าขาวบางเพื่อเอาชิ้นส่วนใหญ่ ๆ ออก

4. นำน้ำมันมาเทใส่ในชามที่กรองไว้แล้ว คนจนเข้ากัน จากนั้นนำมาตักใส่พิมพ์พักไว้

5. เตรียมเตาอบในอุณหภูมิ 200 องศา นำส่วนผสมที่เตรียมไว้มาอบในระยะเวลาประมาณครึ่่งชั่วโมง เมื่อสุกดีแล้วให้นำออกมาโรยหอมเจียว พร้อมเสิร์ฟกับเมนู ขนมหม้อแกง

เป็นอย่างไรกันบ้างคะเพื่อน ๆ 

       กับเมนูขนมไทยโบราณอย่าง ขนมหม้อแกง ง่ายมาก ๆ เลยใช่ไหมคะ ใครที่ชอบทานหรืออยากลองทำให้คนที่บ้านทาน ไปเตรียมหาซื้อวัตถุดิบกันไว้เลยจ้า เมนูนี้ไม่ยากเลยน้า เคล็ดลับสำคัญ ของเมนูนี้ก็คือการใส่น้ำมันก่อนเข้าอบเพื่อให้หน้าของขนมเปลี่ยนสีน่ารับประทานมากยิ่งขึ้นนั่นเองจ้า