สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล
ปลาทับทิมสามรส
ปลาทับทิมสามรส
Categories
อาหารนานาชาติ

เนื้อย่างบุลโกกิ เมนูอาหารยอดนิยมแบบฉบับ เนื้อย่างเกาหลี

เนื้อย่างบุลโกกิ

อันยองฮาเซโย ใครที่ชื่นชอบอาหารเกาหลีมาฟังทางนี้ค่ะ วันนี้เรามีเมนูอาหารปิ้งย่างสไตล์เกาหลีมาแนะนำอย่าง เนื้อย่างบุลโกกิ (Bulgogi) หมักด้วยซอสเกาหลีเข้าที่ย่างหอมๆ นิยมรับประทานคู่กับกิมจิ และน้ำจิ้มสูตรเด็ด ซึ่งเมนูนี้เป็นอาหารโบราณ ที่มีมาตั้งแต่สมัยยุค  Goguryeo  (Go-gu-ryeo) ต่อมาก็เปลี่ยนชื่อจาก Goguryeo มาเป็น Korea หรือมีมาแล้วตั้งแต่ 1000 ปีทีแล้ว โดย Bul แปลว่า ไฟ Gogi แปลว่า เนื้อสัตว์ เมื่อนำมารวมกัน Bulgogi ก็คือเนื้อย่างเกาหลีนั่นเองค่ะ ปกติแล้วจะใช้เนื้อวัวหมักด้วยซอสเกาหลี และผลไม้ช่วยทำให้เนื้อนุ่ม แต่ถ้าไม่มีเนื้อวัว เราก็จะใช้เนื้อหมูเรียกว่าเรียก Dwaeji Bulgogi (돼지불백)  หรือ เนื้อไก่จะเรียก Dak Bulgogi ( 닭불백) แทนก็ได้ค่ะ โดยบุลโกกิ (bulgogi) มีเอกลักษณ์อยู่ที่เนื้อวัวที่หมักด้วยสาลี่และน้ำมันงาจนหอมและนุ่มเข้าเนื้อ ย่างจนสุกแล้วกินห่อกับผักและน้ำจิ้ม เมนูถือเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ต้องลองหากไปเยือนประเทศเกาหลี แต่หากใครที่อยากกินโดยไม่ต้องบินไปไกลถึงเกาหลี เราก็มีสูตรการทำบุลโกกิมาแนะนำจะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ 

ส่วนผสมหลักของเมนูเนื้อย่างบลุโกกิ และน้ำจิ้มเกาหลี

เนื้อย่างบุลโกกิ (Bulgogi) รสเผ็ดร้อน เป็นอาหารเกาหลี เรียบง่ายที่มักเสิร์ฟคู่กับข้าว หรือห่อผักใบอย่างผักสลัด ให้รสสัมผัส เผ็ดร้อน เค็มกลมกล่อม หวานนิด ได้รสขิง หอมกลิ่นเครื่องเทศเกาหลี เป็นหนึ่งในอาหารขึ้นชื่อของเกาหลีสามารถทานได้ทั้งแบบแห้งและน้ำ พร้อมกับเครื่องเคียงต่างๆ คือ ถั่วงอกดอง วุ้นเส้นปรุงรสสาหร่าย กิมจิ และน้ำจิ้มเกาหลี เมนูบุลโกกินิยมหมักกับผัลไม้อย่างลูกแพรขูดถ้าเป็นบ้านเราจะใช้ ลูกสาลี่แทนที่ใช้สาลี่ขูดเพราะในลูกสาลี่จะมีสาร enzyme ที่ทำให้เนื้อนิ่มขึ้น ภาษาฝรั่งเรียก (Tenderize) แต่หากไม่มีลูกสาลี่จริงๆ ให้ใช้ผลไม้ที่แทนได้คือ Kiwi หรือ สัปปะรด แต่ต้องลดปริมาณลงจากลูกแพรเพราะ 2 ตัวนี้สาร enzyme แรงกว่าลูกแพร

ส่วนผสมสำหรับทำเมนูบลุโกกิ

  1. เนื้อวัว หั่นเป็นชิ้นบางๆ 1 ถ้วย (หั่นเนื้อตามขวางกับลายเนื้อ จะทำให้เนื้อวัวไม่เหนียวเป็นเส้น)
  2. หอมหัวใหญ่ ซอยเป็นเส้น 1 ลูก
  3. สัปปะรดบด 2 ช้อนโต้ะ
  4. ต้นหอม ซอยหยาบๆ 1 ต้น
  5. ขิง บด 2 ช้อนโต้ะ
  6. กระเทียม บด 2 ช้อนโต้ะ (ใช้กระเทียมเม็ดใหญ่ เป็นกระเทียมจีน เนื่องจากกลิ่นของกระเทียม ไม่แรงเกินไป เหมาะสำหรับหมักเนื้อวัว)
  7. น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนโต้ะ
  8. ซอสถั่วเหลือง 2 ช้อนโต้ะ
  9. พริกไทยบด 1 ช้อนโต้ะ (ใช้พริกไทยดำ เนื่องจากพริกไทยดำ เหมาะสำหรับนำมาหมักเนื้อวัว กลิ่นของพริกไทยแรง รสเผ็ดของพริกไทย ช่วยตัดความมันได้ดี)
  10. แครอท หอมใหญ่ ถั่วลันเตา สำหรับย่างกินกับเนื้อย่าง
เนื้อย่างบุลโกกิ

ส่วนผสมสำหรับทำน้ำจิ้มเกาหลี

  1. โคชูจัง (Gochujang) 1 ช้อนโต๊ะ
  2. เต้าเจี้ยวเกาหลี (Doenjang) ½ ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำเชื่อม ½ ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ
  5. งาขาวคั่วเล็กน้อย

ขั้นตอนวิธีการทำเนื้อย่างบลุโกกิ

สำหรับวิธีทำเมนูเนื้อย่างบุลโกกิ (Bulgogi) สูตรที่เรานำมาแนะนำนี้มีขั้นตอนการทำที่ง่ายมากๆเลยค่ะ คุณไม่จำเป็นต้องบินไปกินไกลถึงเกาหลีก็สามารถทำเมนูนี้กินเองที่บ้าน แถมยังอร่อยตามแบบฉบับอาหารปิ้งย่างสไตล์เกาหลีอีกด้วย โดยเนื้อย่างบุลโกกิมีขั้นตอนการทำดังนี้

วิธีทำเมนูเนื้อย่างบุลโกกิ (Bulgogi)

  1. เริ่มต้นด้วยการทำซอสบุลโกกิไว้หมักเนื้อวัว โดยใส่ส่วนผสม ประกอบด้วย เนื้อวัว หอมใหญ่ซอย ต้นหอมซอย ขิงบด กระเทียมบด น้ำตาลทรายแดง ซอสถั่วเหลือง พริกไทยดำบด และสัปปะรดบด ผสมกันแล้วใส่เนื้อวัวลงไปหมักใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
  2. เตรียมทำน้ำจิ้มเกาหลี โดยใส่ส่วนผสมประกอบด้วย โคชูจัง เต้าเจี้ยวเกาหลี น้ำเชื่อม น้ำมันงา และงาขาวคั่ว ลงในภาชนะผสม แล้วคนให้เข้ากัน พักไว้
  3. เตรียมตั้งเตาย่าง อย่าให้ไฟร้อนเกินไปให้ใช้ไฟปานกลาง จากนั้นนำเนื้อวัวที่หมักแล้ว และผักสด ไปย่าง ให้สุกตามใจชอบของผู้ย่างเลยค่ะ
  4. พร้อมเสิร์ฟเนื้อย่างบุลโกกิ ทานคู่กับน้ำจิ้มเกาหลีอร่อยสุดๆเลยค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะทุกคนสำหรับเมนูเนื้อย่างบุลโกกิ (Bulgogi) บอกเลยว่าเมนูนี้ถือเป็นเมนูอันดับต้นๆที่ใครไปเที่ยวเกาหลีต้องได้ลิ้มลองสักครั้ง นอกจากนี้คุณสามารถโรยแต่งหน้าบุลโกกิ (Bulgogi) ด้วยหัวหอมสับเล็กๆ และ งาขาวคั่วได้ค่ะ และเรามีวิธีทานแบบเกาหลีแท้ๆมาฝาก นั่นก็คือ ให้วางเนื้อย่างบุลโกกิ ไว้บนผัก แปะด้วยซอสเกาหลีเล็กน้อยที่เรียกว่า ซัมจัง (Ssamjang) ซึ่งทำมาจากการผสม มิโซะ โคชูจัง น้ำเชื่อม แล้วห่อเอาเข้าปากได้เลยค่ะ หรือจะทานบุลโกกิ กับข้าวก็ดีมากๆเลยค่ะ

Categories
อาหารนานาชาติ

จาปาตี อาหารต้นตำรับสไตล์อินเดีย อร่อยทำตามได้ง่ายๆ

จาปาตี อาหารต้นตำรับสไตล์อินเดีย อร่อยทำตามได้ง่ายๆ
จาปาตี อาหารต้นตำรับสไตล์อินเดีย อร่อยทำตามได้ง่ายๆ

นมัสเต วันนี้เราทักทายทุกคนด้วยภาษาอินเดีย เพราะวันนี้เรามีเมนูสุดพิเศษ จากประเทศอินเดียมาแนะนำอย่างจาปาตี หลายๆคนคงทราบกันดีว่าประเทศอินเดียมีวัฒนธรรมที่ยาวนาน รวมถึงวัฒนธรรมอาหารการกินด้วย อาหารอินเดียเป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่น มีกลิ่น รสชาติ และสีสันของเครื่องเทศอันเข้มข้น ทำให้เจริญอาหาร ช่วยย่อย ทั้งยังทำให้ร่างกายอบอุ่นในฤดูหนาว โดยเครื่องเทศแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ อาหารมังสวิรัติและอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์ 

ส่วนใหญ่แล้วคนอินเดียรับประทานแป้งและข้าวเป็นหลักในทุกมื้อจะต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างในสำรับ โดยอาหารจำพวกแป้งหรือจะเรียกว่าขนมปังก็ได้ สามารถจำแนกได้หลายชนิดคือ นาน จาปาตี โรตี ฯลฯ จาปาตี (Japati หรือ Chapatti) เป็นขนมปังอินเดียมีประวัติอันยาวนาน  ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วเอเชียใต้อย่าง อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ ฯลฯ โดยมีลักษณะเป็นแป้งสีน้ำตาลที่ค่อนข้างคล้ายกับโรตี ในบางพื้นที่ของอินเดียก็เรียกแทนกันได้ ทั้งสองชนิดนี้จะทอดหรือจี่บนกระทะแบนหรือโค้งเล็กน้อย โดยจาปาตีจะไม่ใช้น้ำมัน นิยมทานคู่กับแกงหลายชนิดของอินเดียถือเป็นอีกหนึ่งอาหารนานาชาติที่น่าสนใจอีกเมนูหนึ่ง ดังนั้นวันนี้เราจึงมีสูตรการทำเมนูจาปาตี แบบฉบับอินเดียมาฝากทุกคน จะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูจาปาตี

จาปาตี (Japati หรือ Chapatti) เป็นอาหารอินเดีย ที่นิยมกินกับแกงหลากหลายชนิดของอินเดีย เป็นเมนูที่ทำจากแป้งข้าวสาลีทั้งเมล็ดธรรมดาๆ อบในเตาดินเผาหน้าตาคล้ายโอ่งผ่าซีก หรือคล้ายๆ บอลลูน (หรือจะเป็นกระทะเหล็กก็ได้ค่ะ) แต่ก่อนจะเข้าเตาแป้งต้องผ่านการนวดก่อน โดยระหว่างที่นวดก็คลุกผงแป้งไปเป็นระยะๆ แล้วปั้นไว้เป็นก้อน จากนั้นตีให้แบนๆ ก่อนนำเข้าเตาดินเผาหรือกระทะ จาปาตีสูตรที่เรานำมาแนะนำสามารถใช้ทำจาปาตีได้ 10-12 อันซึ่งมีส่วนผสมทั้งหมดดังนี้

จาปาตี อาหารต้นตำรับสไตล์อินเดีย อร่อยทำตามได้ง่ายๆ
จาปาตี อาหารต้นตำรับสไตล์อินเดีย อร่อยทำตามได้ง่ายๆ

ส่วนผสมสำหรับเมนูจาปาตี

  1. แป้งสาลี หรือ แป้ง Durum wheat atta (แป้งข้าวสาลีดูรัมแบบละเอียด) 2 ถ้วย
  2. น้ำอุ่น 1 ถ้วย (หรือจะใช้โยเกิร์ตหรือนมแทนก็ได้)
  3. เกลือ 1 ช้อนชา (ไม่ใส่ก็ได้)
  4. เนยใส (Ghee) 1-2 ช้อนชา (ไม่ใส่ก็ได้)

ขั้นตอนวิธีการทำจาปาตี

สำหรับสูตรขั้นตอนการทำจาปาตีที่เรานำมาฝากเป็นสูตรที่ใช้กระทะทำจาปาตีให้แป้งสุก ซึ่งสูตรนี้สามารถทำตามได้ง่ายๆ โดยมีวิธีทำดั้งนี้

  1. เริ่มจากการเทแป้งสาลี เกลือ และเนยใส ใส่ลงในภาชนะผสม แล้วใช้มือของคุณคนส่วนผสมให้เข้ากันเป็นเนื้อเนียน 

หากใช้แป้ง durum wheat atta ก็จะได้จาปาตีที่อร่อยที่สุด แม้ว่าแป้งสาลีจะใช้ได้เหมือนกัน แต่มันก็จะทำให้เนื้อหนุบหนับมากกว่า และอาจเหี่ยวได้ง่ายกว่าเล็กน้อย 

แนะนำเพิ่มเติม

  • หากคุณเป็นคนที่รักสุขภาพมากๆ สามารถใส่น้ำมันมะกอกแทนเนยใสได้ แต่อาจจะไม่อร่อยเท่าใส่เนยใส
  • คุณสามารถใส่เครื่องเทศที่ชอบสักหนึ่งช้อนชา อย่างเช่นพริกป่นอะไรประมาณนั้นก็ได้ ถ้าหากว่าคุณต้องการเพิ่มอะไรนิดหน่อยให้กับสูตรดั้งเดิม
  1. ใส่น้ำอุ่นลงไปในส่วนผสมของแป้งครึ่งถ้วยแล้วคนให้ได้เนื้อแป้งที่อ่อนนุ่ม ซึ่งจะทำให้นวดแป้งโดว์ได้ง่ายกว่า ให้ใช้นิ้วผสมแป้งวนเป็นวงกลมพร้อมค่อยๆ ใส่น้ำอุ่นลงไปทีละนิด ถ้าเทลงไปรวดเดียวจะทำให้การผสมส่วนผสมยากขึ้นไปอีก ในตอนแรกส่วนผสมจะดูหยาบร่วน แต่พอใส่น้ำไปเรื่อย ๆ มันจะเริ่มจับตัวกันเองค่ะ นวดไปประมาณ 10 นาที เมื่อนวดเสร็จแล้ว แป้งโดว์จะดูเรียบเนียนสวยงาม ถ้าเกิดว่ามันแข็งเกินไป แป้งจาปาตีก็จะไม่พองตัว แต่ถ้ามันนุ่มเกินไปก็จะยากต่อการม้วนแป้ง และมันก็จะไม่ฟูขึ้นเช่นกัน ฉะนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นมากที่จะต้องหาความพอดีของมัน
  2. นำแป้งโดว์ใส่ลงชามที่ทาด้วยน้ำมันและห่อหุ้มชามด้วยผ้าเอาไว้ประมาณ 25 นาที รอเวลาให้แป้งโดว์รวมตัวกัน ถ้าเกิดทิ้งไว้นานเกินไป แป้งโดว์อาจเสียความชุ่มชื้นไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม ควรเริ่มด้วยเวลาที่ต่ำกว่าแล้วค่อยเพิ่มเวลาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้แป้งจาปาตีที่ต้องการ
จาปาตี อาหารต้นตำรับสไตล์อินเดีย อร่อยทำตามได้ง่ายๆ
จาปาตี อาหารต้นตำรับสไตล์อินเดีย อร่อยทำตามได้ง่ายๆ

แนะนำเพิ่มเติม

  • เมื่อเวลาผ่านไปซักระยะหนึ่ง ให้คุณลองทามือตัวเองด้วยน้ำมันหรือเนยใสแล้วนวดแป้งโดว์ต่ออีกสัก 5 นาที จะทำให้แป้งนุ่มเนียนขึ้นด้วยล่ะ
  1. แบ่งแป้งโดว์เป็นก้อนเล็กๆ 10-12 ก้อน แล้วจุ่มลงไปในแป้ง โดยเส้นผ่าศูนย์กลางของก้อนแป้งแต่ละก้อนควรอยู่ที่ประมาณ 3 นิ้ว (7.5 เซนติเมตร) แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้มันเท่ากันทุกก้อนก็ได้ค่ะ คุณควรใช้มือหรือไม้นวดแป้งในการแผ่ก้อนแป้งแต่ละก้อนเบาๆ แล้วจุ่มลงในผงแป้งทั้งสองด้าน จากนั้นให้เก็บก้อนแป้งที่เหลือไว้ในผ้าระหว่างที่กำลังนำก้อนแป้งชิ้นอื่นไปคลุกแป้งอยู่ ถ้าเกิดนำออกมาจากผ้าหมดในรวดเดียว จะทำให้ก้อนแป้งเสียความชุ่มชื้นไปได้ค่ะ
  2. นวดแป้งโดว์ให้แผ่ด้วยไม้นวดแป้ง จนกว่าก้อนแป้งจะบางและกลมคล้ายแพนเค้ก การนวดแป้งอย่างสม่ำเสมอจะทำให้จาปาตีพองตัวขึ้นมาได้ดี
  3. เริ่มอุ่นกระทะ (กระทะโค้งแบนเล็กน้อยเหมือนที่ทำโรตี) หรือเตากริดเดิ้ล (เตาสำหรับปิ้ง) ด้วยไฟกลาง แล้วทอดจาปาตีทั้งสองด้าน โดยวางแป้งจาปาตีลงในกระทะ แล้วทอดจนกว่าแป้งจะเกือบสุก จากนั้นก็กลับด้านและเพิ่มไฟขึ้นอีกเล็กน้อย เมื่อกลับด้านจาปาตีแล้ว อากาศก็จะเข้าไปในตัวแป้ง ควรทอดมันต่อไปจนกว่าปุ่มพองจะขึ้นมาทั้งสองด้านของแผ่นขนมปัง และควรหมุนกลับจาปาตีทุกๆ 2-3 วินาทีเพื่อให้แน่ใจว่าแป้งสุกเท่าๆ กันทุกด้านแล้ว

แนะนำเพิ่มเติม

  • หากแป้งจาปาตีมีอากาศเข้า ควรกดปุ่มพองเหล่านั้นเบาๆ เพื่อให้อากาศผ่านไปทั่วแผ่นแป้งก็ได้ ปุ่มเหล่านั้นจะทำให้จาปาตีนุ่มขึ้นและดูดีขึ้น เมื่อจาปาตีพองตัวเต็มที่แล้วก็นำออกมาจากกระทะได้เลย
  • หากใช้เตาแก๊สควรทอดด้วยไฟจากเตาแก๊สโดยตรง โดยใช้ที่หนีบกลับด้านไปหา ถ้าต้องการจะทำวิธีนี้ ต้องดูให้แน่ใจว่าเตาแก๊สของคุณสะอาดมากๆ และต้องระมัดระวังในระหว่างที่ทอดด้วย
  1. นำจาปาตีออกมาจากกระทะ แล้วใช้กระดาษห่อเอาไว้จนกว่าจะนำไปเสิร์ฟ หรือจะวางแผ่นแป้งจาปาตีไว้ในภาชนะที่ปูด้วยกระดาษก็ได้ ต้องให้แน่ใจนะว่าห่อแผ่นแป้งจาปาตีหลังจากที่นำขึ้นมาแล้วทันที 
  2. พร้อมเสิร์ฟจาปาตีรสเลิศเคียงคู่แกงกะหรี่หรือแตงกวาดอง หรือจะเอาแป้งไว้ห่อก็ย่อมได้ คุณสามารถทาเนยใสลงบนจาปาตีเพื่อรสชาติที่นุ่มลึกกว่าเดิมได้อีกด้วย และสามารถกินจาปาตีในลักษณะของอาหารอินเดียอันเป็นแก่นดั้งเดิมได้เช่นกัน

เป็นอย่างไรกันบ้างคะทุกคนสำหรับสูตรการทำจาปาตี เมนูนี้ถือว่าเป็นเมนูที่มีประวัติที่ยาวนานมาก สำหรับใครที่ต้องการให้จาปาตีเป็นอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้นและมีความนุ่มขึ้น ให้ใช้นมอุ่นๆ ครึ่งถ้วยกับน้ำอุ่นครึ่งถ้วยแทนการใช้น้ำเปล่า 1 ถ้วย ในปัจจุบันจาปาตีจะเสิร์ฟในรูปร่างที่เป็นวงกลมหรือทรงกลม แต่จะลองทำเป็นรูปแบบอื่นๆ ก็ได้นะคะ

Categories
อาหารนานาชาติ

ไก่ทอดเทบะซากิ อาหารญี่ปุ่นแสนอร่อย สามารถทำกินเองได้ง่ายๆ

ไก่ทอดเทบะซากิ อาหารญี่ปุ่นแสนอร่อย สามารถทำกินเองได้ง่ายๆ
ไก่ทอดเทบะซากิ อาหารญี่ปุ่นแสนอร่อย สามารถทำกินเองได้ง่ายๆ

สำหรับใครที่เคยเดินทางไปเยือนเมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น ต้องไม่พลาดเมนูปีกไก่ทอดเทบะซากิ (Tebasaki) เป็นการนำปีกไก่มาคลุกเคล้ากับพริกไทยและงา แล้วหมักด้วยน้ำซอสสูตรเข้มข้น และที่สำคัญคือจะไม่ใช้แป้งในการทอด ไก่เทบะซากินั้นให้รสชาติกรอบนอกนุ่มใน มีรสชาติเข้มข้นกำลังดี ทานเป็นกับข้าวหรือจะกินเล่นก็ได้ค่ะ

Tebasaki (手羽先) เป็นภาษาญี่ปุ่น หมายความว่าการปีกไก่ทอดกรอบมาคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงชนิดพิเศษ และน้ำซอสสูตรเข้มข้น ทั้งซอสคาวและหวาน ซึ่งเมนูนี้แตกต่างจากไก่ทอดญี่ปุ่นเมนูอื่น ๆ เพราะไก่ทอดเทบะซากิทำจากปีกไก่ที่ติดกระดูกเสมอ ไม่มีการหมักและปรุงรสหลังจากทอดแล้ว สำหรับใครที่รู้สึกจำเจกับเมนูไก่ทอดแบบเดิมๆ เราขอแนะนำเมนูไก่ทอดเทบะซากิ ปีกไก่ทอดแบบฉบับญี่ปุ่นคลุกงา มีรสเผ็ดเล็กน้อย เป็นไก่ทอดที่มีกลิ่นหอมชวนรับประทาน กรอบนอก นุ่มใน ซึ่งวันนี้เราก็มีขั้นตอนการทำไก่ทอดเทบะซากิ แบบฉบับญี่ปุ่น มาฝากจะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูไก่ทอดเทบะซากิ

ไก่ทอดเทบะซากิ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Tebasaki Chicken Wings เป็นอาหารญี่ปุ่นจานรสเด็ดจากแดนอาทิตย์อุทัย จัดเป็นเมนูไก่ที่มีวิธีการทอด และวัตถุดิบที่แตกต่างจากเมนูไก่อื่นๆ ของญี่ปุ่น แต่ก่อนจะไปดูขั้นตอนการทำ เรามาดูส่วนผสมของเมนูไก่ทอดเทบะซากิกันเลย

ส่วนผสมสำหรับเมนูไก่ทอดเทบาซากิ

  1. ปีกไก่ 5-6 ชิ้น (เลือกปีกไก่ที่ลักษณะสมบูรณ์ หนังตึง เนื้อแแน่น ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า)
  2. เกลือเล็กน้อย 1 ช้อนชา
  3. น้ำขิง 1 ช้อนชา
  4. แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
  5. ซอสถั่วเหลือง 2 ช้อนโต๊ะ
  6. เหล้าสาเก 2 ช้อนโต๊ะ
  7. ซอสมิริน 2 ช้อนโต๊ะ
  8. น้ำตาล 2 ช้อนชา
  9. กระเทียมบด 2 ช้อนชา
  10. ขิงบด 1 ช้อนชา
  11. งาขาว 2 ช้อนชา
  12. เม็ดพริกไทยดำโขรก 1 ช้อนชา
  13. พริกป่น 1 ช้อนชา
  14. น้ำเปล่าเล็กน้อย
  15. น้ำมันพืช สำหรับทอด 2 ถ้วยตวง
ไก่ทอดเทบะซากิ อาหารญี่ปุ่นแสนอร่อย สามารถทำกินเองได้ง่ายๆ
ไก่ทอดเทบะซากิ อาหารญี่ปุ่นแสนอร่อย สามารถทำกินเองได้ง่ายๆ

ขั้นตอนวิธีการทำไก่ทอดเทบาซากิ

ไก่ทอดเทบะซากิจัดเป็นอาหารตระกูลคาราอาเกะ ที่มีสูตรไก่ทอดในอินเตอร์เน็ตมากมายหลายแบบทั้ง แบบหมักไก่แล้วทอด แบบทอดแห้งๆ หรือทอดแล้วราดซอส ซึ่งสูตรที่เรานำมาแนะนำนี้เป็นสูตรทอดแล้วราดซอส มีวิธีทำง่ายๆ สามารถทำกินเองได้ที่บ้าน ดังนี้

วิธีทำไก่ทอดเทบะซากิ

  1. เริ่มเตรียมซอสเทบะซากิ โดยตั้งหม้อต้มใส่ ซอสถั่วเหลือง ซอสมิริน น้ำตาล กระเทียม และขิงบด แล้วต้มให้ส่วนผสมเข้ากันจนเหนียวข้น เติมน้ำเปล่านิดหน่อย
  2. เตรียมหมักไก่ โดยนำ สาเก และขิง มาหมักไก่ประมาณ 15 – 20 นาที จากนั้นนำ ไก่แล้วที่หมักแล้วมา ชุบผงแป้งมัน
  3. ตั้งกระทะน้ำมัน ความร้อนปานกลาง เมื่อน้ำมันร้อน ให้นำไก่ที่เตรียมไว้ลงไปทอดให้เปลี่ยนสีเหลืองกรอบ โดยทำการทอดสองครั้ง ครั้งแรกให้สังเกตุว่า ไก่เริ่มสุก ให้นำออกมาพักไว้ให้แห้ง จากนั้นนำไปทอดซ้ำอีก จะทำให้หนังกรอบ ในขณะที่เนื้อไก่นุ่ม
  4. นำไก่ที่ทอดเสร็จแล้วมาคลุกเคล้ากับซอสเทบะซากิที่เตรียมไว้ และโรยหน้าด้วย พริกไทย และ งาขาวคั่ว จากนั้นจัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟจะทานเป็นกับข้าวหรือทานเล่นๆก็ได้ค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะทุกคนสำหรับสูตรเมนูไก่ทอดเทบะซากิที่เรานำมาฝาก ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารที่เหมาะกับเด็กๆ อีกด้วยค่ะ เพราะน้ำซอสค่อนข้างหวาน เด็กๆมักชอบรับประทาน ส่วนผู้ใหญ่ที่ชอบทานเผ็ดเราขอแนะนำให้ลองโรยพริกป่นญี่ปุ่นตัดเลี่ยนหน่อยได้ค่ะ หากใครที่อยากลองทำเมนูไก่ทอดเทบะซากิก็อย่าลืมนำสูตรที่เราแนะนำไปลองทำกันนะคะ หรือหากใครมีโอกาสได้ที่ไปเที่ยวเมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น เราขอแนะนำเมนูไก่ทอดเทบะซากิ โดยคุณสามารถหาซื้อทานได้ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นที่สถานีรถไฟ อย่างสถานีรถไฟนาโกย่า และร้านต่างๆในย่านซากาเอะ (Sakae) ก็มีขายอยู่เต็มไปหมดเลยค่ะ

Categories
อาหารนานาชาติ

กุ้งกระเบื้อง อาหารเวียดนามกินคู่กับน้ำจิ้มบ๊วย อร่อยง่ายๆทำกินเองได้

กุ้งกระเบื้อง อาหารเวียดนามกินคู่กับน้ำจิ้มบ๊วย อร่อยง่ายๆทำกินเองได้
กุ้งกระเบื้อง อาหารเวียดนามกินคู่กับน้ำจิ้มบ๊วย อร่อยง่ายๆทำกินเองได้

ใครที่ชื่นชอบเมนูปอเปี๊ยะทอดไม่ควรพลาดกับเมนูกุ้งกระเบื้อง (Goong Gra Buang) เช่นกันค่ะ ถึงแม้ว่าชื่อเมนูจะดูแปลกๆ แต่จริงๆแล้วเมนูนี้ก็คือเมนูประเภทปอเปี๊ยะ เป็นอีกหนึ่งเมนูทานเล่นหรือจะทานจริงจังก็อิ่มท้องได้ค่ะ เมนูกุ้งกระเบื้อง เป็นอาหารเวียดนามที่คนไทยนิยมรับประทานกันเป็นจำนวนมาก เมนูนี้มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม โดยเป็นการเนื้อกุ้งบดปรุงรสมาห่อกับแผ่นปอเปี๊ยะทอด ส่วนใหญ่มักทานคู่กับน้ำจิ้มบ๊วย อร่อยกลมกล่อมหยุดกินไม่ได้แน่นอนค่ะ เชื่อว่าหลายคนคงกำลังสงสัยกันใช่ไหมคะ ว่าเมนูนี้มีวิธีการทำอย่างไร ดังนั้นวันนี้เราจึงมีสูตรการทำเมนูกุ้งกระเบื้องให้อร่อยในแบบฉบับอาหารเวียดนาม แถมวิธีการทำก็ง่ายทำกินเองได้ที่บ้าน พร้อมกับสูตรการทำน้ำจิ้มบ๊วย ให้อร่อยถูกปากคนที่ได้ลิ้มลองแน่นอนค่ะ ส่วนจะมีส่วนผสมและวิธีการทำอย่างไรบ้าง ตามเรามาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูกุ้งกระเบื้อง

กุ้งกระเบื้อง หรือที่ภาษาอังกฤษ เรียก Goong Gra Buang เป็นอาหารเวียดนามที่มีส่วนผสมหลักเป็นเนื้อกุ้งบดปรุงรสมาห่อเป็นรูปสามเหลี่ยมกับแผ่นแป้งปอเปี๊ยะทอดทำจากแป้งข้าวเจ้า ซึ่งเป็นแผ่นแป้งที่มีชื่อเสียงของเวียดนาม คนส่วนใหญ่นิยมทานคู่กับน้ำจิ้มบ๊วย (Plum sauce) แต่ก่อนที่จะไปดูขั้นตอนการทำเมนูกุ้งกระเบื้องและน้ำจิ้มบ๊วย เรามาดูส่วนผสมทั้งหมดของเมนูนี้กันก่อนเลยค่ะ

ส่วนผสมสำหรับทำกุ้งกระเบื้อง

  1. แผ่นปอเปี๊ยะทอด 4 แผ่น
  2. กุ้งขาวแกะเปลือก 20-25 ตัว
  3. มันหมูบด 200 กรัม
  4. รากผักชีบดละเอียด 2 ต้น
  5. กระเทียมบดละเอียด 3 กลีบ
  6. พริกไทยบดละเอียด ½ ช้อนโต้ะ
  7. ใบต้นหอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ
  8. ไข่ไก่ 2 ฟอง
  9. แป้งมัน 2 ช้อนโต้ะ
  10. ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต้ะ
  11. น้ำมันพืชสำหรับทอด 2 ถ้วยตวง

ส่วนผสมสำหรับทำน้ำจิ้มบ๊วย

  1. เนื้อบ๊วยดองบด 5 เม็ด (ให้เลือกเม็ดใหญ่ๆ เนื้อเยอะๆ)
  2. น้ำบ๊วยดอง 3 ช้อนโต้ะ
  3. น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม
  4. เกลือทะเล 2 ช้อนโต้ะ
  5. น้ำปลา 1 ถ้วย ( ถ้วยขนาด 200 ซีซี )
  6. น้ำส้มสายชู ถ้วยครึ่ง ( ถ้วยขนาด 200 ซีซี )
  7. กระเทียมบดละเอียด 3 ช้อนโต้ะ
  8. พริกบดละเอียด 3 ช้อนโต้ะ
  9. ถั่วลิสงบดละเอียด 1 ถ้วย
  10. น้ำเปล่า 2 ถ้วย
  11. แครอทซอย 1 ช้อนโต้ะ
กุ้งกระเบื้อง อาหารเวียดนามกินคู่กับน้ำจิ้มบ๊วย อร่อยง่ายๆทำกินเองได้
กุ้งกระเบื้อง อาหารเวียดนามกินคู่กับน้ำจิ้มบ๊วย อร่อยง่ายๆทำกินเองได้

ขั้นตอนวิธีการทำกุ้งกระเบื้อง

สำหรับวิธีทำเมนูกุ้งกระเบื้อง (Goong Gra Buang) กับ น้ำจิ้มบ๊วย (Plum sauce) เมนูอาหารอาหารเวียดนามที่เรานำมาแนะนำนี้มีขั้นตอนการทำแต่ละขั้นตอนที่เข้าใจง่ายมากๆ เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบการทำอาหารกินเองที่บ้าน หรือคนที่เริ่มต้นทำเมนูกุ้งกระเบื้องกับน้ำจิ้มบ๊วยครั้งแรกค่ะ ส่วนจะมีขั้นตอนอะไรบ้างมาดูกันเลยค่ะ

วิธีทำเมนูกุ้งกระเบื้อง

  1. เริ่มจากการเตรียมเนื้อกุ้ง โดยเลือกกุ้งสดขนาดใหญ่พอดี โดยการเลือกกุ้งให้เลือกดูกุ้งที่สมบูรณ์ หัวไม่หลุด เปลือกไม่ลอก นำมาล้างให้สะอาด จากนั้นนำเนื้อกุ้งมาสับให้ละเอียดผสมกับมันหมูบดละเอียด จากนั้นใส่ รากผักชี กระเทียม และพริกไทยลงไป แล้วปรุงรสด้วย ซอสปรุงรส
  2. จากนั้นใส่ ใบต้นหอม แป้งมัน และ ไข่ขาวลงไป ผสมให้เข้ากับเนื้อกุ้ง (ช่วยให้เนื้อกุ้งเกาะตัวเป็นแผ่น) แล้วนำไปแช่เย็นให้เนื้อกุ้งเซ็ตตัว
  3. นำเนื้อกุ้งบดที่เตรียมไว้มาวางเกลี่ยๆบนแผ่นแป้งปอเปี๊ยะทอดให้ทั่ว และวางแผ่นแป้งปอเปี๊ยะทอดอีกแผ่นประกบ นำมาพักให้แห้งเตรียมทอด เพื่อให้ปอเปี๊ยะกรอบ และ เวลาทอดน้ำมันไม่กระเด็น
  4. ตั้งกระทะน้ำมันให้ร้อนด้วยไฟปานกลาง แต่ก่อนจะนำแผ่นแป้งปอเปี๊ยะกุ้งบดไปทอด ให้ใช้ไม้จิ้มฟันเจาะรู ให้น้ำมันเข้าไปได้(เพื่อที่จะได้ สุกง่ายขึ้น) จากนั้นนำแผ่นปอเปี๊ยะกุ้งบดลงไปทอด ให้สุกกรอบทั้งสองด้าน
  5. เมื่อแผ่นปอเปี๊ยะกุ้งกรอบได้ที่ ก็นำมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน แล้วหั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ

วิธีทำน้ำจิ้มบ๊วย

  1. ตั้งหม้อต้ม เติมน้ำ และใส่น้ำบ๊วย ตามด้วยเนื้อบ๊วยบด น้ำตาลทราย เกลือทะเล น้ำส้มสายชู น้ำปลา และกระเทียม จากนั้นเคี้ยวจนกระเทียมละลายจึงจะทำให้รสชาติของกระเทียมไม่กลบรสชาติของบ๊วย
  2. หลังจากต้มจนน้ำเริ่มเหนียว ให้ใส่พริกลงไป แล้วปิดไฟ และพักให้เย็น
  3. เสิร์ฟใส่ถ้วยน้ำจิ้ม แล้วโรยหน้าด้วยแครอทซอยและถั่วลิสง

เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับเมนูกุ้งกระเบื้องกับน้ำจิ้มบ๊วย ซึ่งเมนูนี้ยังมีเคล็ดลับอร่อยอยู่ที่การเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ พร้อมกับวิธีการปรุงรสที่เป็นไปตามปริมาณที่เราแนะนำ รับรองเลยว่าวิธีทำเมนูกุ้งกระเบื้องกับน้ำจิ้มบ๊วย ที่เรานำมาฝากอร่อยถูกปากคนที่ได้ลิ้มลองรสชาติแน่นอนค่ะ นอกจากนี้เมนูนี้ยังเป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารนานาชาติที่ได้รับความนิยมในไทยเป็นอย่างมากอีกด้วยค่ะ

Categories
อาหารนานาชาติ

สปาเก็ตตี้มีทบอล อาหารฝรั่ง อร่อย โปรตีนสูง

สปาเก็ตตี้มีทบอล  อาหารฝรั่ง อร่อย โปรตีนสูง
สปาเก็ตตี้มีทบอล อาหารฝรั่ง อร่อย โปรตีนสูง

หากคุณชื่นชอบการกินเนื้อ อยากให้คุณได้ลองเมนู อาหารฝรั่ง ชนิดนี้ดู นั่นคือ สปาเก็ตตี้มีทบอล  บางคนอาจเคยได้ยินชื่อมาแล้ว บางคนก็ไม่เคยได้ยิน แต่รับรองว่า ใครได้กินเมนูนี้ คุณจะต้องชอบแน่นอน และที่สำคัญเมนูนี้ยังทำให้คุณอิ่มท้องอีกด้วย แถมโปรตีนสูงอีกด้วย 

สปาเก็ตตี้มีทบอล เมนูยอดนิยม สาวกเนื้อไม่ควรพลาด

สำหรับคนที่ชื่นชอบ อาหารฝรั่ง เราอยากให้คุณได้ลองทานเมนู สปาเก็ตตี้มีทบอล กัน ถามว่าแคลอรีสูงไหม ต้องบอกเลยว่าเมนูนี้ไม่ถึง 100 แคลอรี่ด้วยซ้ำ หลายคนที่กำลังลดน้ำหนัก แต่ขาดเนื้อไม่ได้ ก็เลยเลือกที่จะทานเมนูนี้กัน สำหรับวันนี้เราจะมาพูดเรื่องส่วนผสมและวิธีทำกัน เพื่อให้คุณได้ลองทำกันดู

ส่วนผสมและวิธีทำ สปาเก็ตตี้มีทบอล มีอะไรบ้าง

ส่วนผสมและวิธีทำ สปาเกตตีมีทบอล สำหรับส่วนผสม คือ -เนื้อบด 500 กรัม -ไข่ 1 ฟอง -แป้งมันหรือแป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ -แป้งสาลีเอนกประสงค์ 1 ช้อนโต๊ะ -ใบออริกาโนแห้ง  -พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา – น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ -เนย 1 ช้อนโต๊ะ -น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ และ เกลือ 1 ช้อนชา ต่อมาเป็นส่วนผสมของซอสสปาเกตตี มี -มะเขือเทศ 4 ลูก – ซอสมะเขือเทศ 3 ช้อนโต๊ะ -กระเทียม 3 กลีบ -หอมใหญ่ 1 ลูก –เกลือป่นเล็กน้อย –พริกไทยป่นเล็กน้อย และ สุดท้าย คือ ส่วนผสมของเส้นสปาเกตตี จะมี –เส้นสปาเกตตี -น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ และ เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ

 วิธีทำ สปาเกตตีมีทบอล ให้คุณใส่เนื้อบด เกลือป่น ไข่ พริกไทย ใบออริกา แป้ง 2 ชนิด และ น้ำเปล่าในอ่างผสม และ นวดให้เป็นเนื้อเดียวกัน ปั้นเป็นก้อนกลม หลังจากนั้นให้ตั้งกระทะ ใส่เนย น้ำมันมะกอกลงไป และใส่เนื้อบดทอดให้สุก หลังจากนั้นตักใส่จานพักไว้ และให้คุณทำซอสสปาเกตตี โดยเริ่มจากการหั่นมะเขือเทศ หัวหอม และ กระเทียม เป็นชิ้นเล็ก ๆ เตรียมไว้ หลังจากนั้นให้ตั้งกระทะ และ ใส่น้ำมันมะกอกลงไป พอร้อนแล้วใส่หัวหอมใหญ่ลงไปผัด ใส่กระเทียม มะเขือเทศ ผัดส่วนผสมไปเรื่อย ๆ เมื่อมะเขือเทศนิ่มและเริ่มมีน้ำข้น ให้ใส่ซอสมะเขือเทศลงไป ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย หลังจากนั้นให้โรยออริกาโน คนผสมให้เข้ากัน และใส่มีทบอลลงไป เคี่ยวสักครู่ หลังจากนั้นให้คุณต้มเส้นสปาเกตตี ใส่น้ำเปล่า น้ำมะนมะกอก และ เกลือลงไป และตั้งไฟต้มให้เดือด แล้วใส่เส้นลงไป คนไว้ตลอด เพื่อไม่ให้เส้นติด ต้มจนสุกแล้วใส่กระชอนทำให้สะเด็ดน้ำและใส่น้ำมันมะกอกไปคลุกเส้นเพื่อไม่ให้ติดกัน และใส่ซอสและมีทบอลลงไป

สปาเกตตีมีทบอล ของอร่อยที่คุณไม่ควรพลาด 

นี่คือ สูตร สปาเก็ตตี้มีทบอล ที่น่ากินมาก และ ทำให้คุณทำ อาหารฝรั่ง เป็นเพิ่มอีก 1 เมนู เพราะฉะนั้นจะรอช้าอยู่ทำไม ลองมาทำกันดูเลย

Categories
อาหารนานาชาติ

ซุปกูลาช ซุปสตูว์สไตล์โฮมเมด อาหารขึ้นชื่อฮังการี

ซุปกูลาช ซุปสตูว์สไตล์โฮมเมด อาหารขึ้นชื่อฮังการี
ซุปกูลาช ซุปสตูว์สไตล์โฮมเมด อาหารขึ้นชื่อฮังการี

หลายคนที่เคยไปเที่ยวฮังการี อาจจะเคยเห็นหรือเคยได้ยินและมีโอกาสได้ลิ้มรสอาหารยอดนิยมของชาวสาธารณรัฐเชคและสโลวาเกียที่เสิร์ฟตามภัตตาคารอย่างเมนูซุปกูลาช ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองของชาวฮังกาเรียนที่เสิร์ฟตอนร้อนๆ กับขนมปังปิ้งกรอบนอกนุ่มใน โดยทั่วไปเมนูนี้นิยมปรุงในรูปแบบซุปหรือสตูว์ที่ทำจากเนื้อวัว เนื้อหมู หรือเนื้อแกะ ซึ่งวันนี้เราก็มีสูตรการทำเมนูซุปกูลาชมาฝากทำทุกคน รับรองได้ว่าสูตรที่เรานำมาแนะนำนี้อร่อยเสมือนได้เดินทางไปลิ้มรสที่ฮังการีเลยค่ะ

สำหรับต้นกำเนิดของซุปกูลาชเกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 9 เมื่อคนเลี้ยงแกะชาวฮังการี นำเนื้อสัตว์ที่ปรุงและแต่งกลิ่นรสแล้ว จากนั้นก็แปรรูปทำให้แห้งโดยใช้ความร้อนจากแสงอาทิตย์เข้าช่วย แล้วนำไปบรรจุลงในถุงที่ทำจากกระเพาะอาหารของแกะ โดยต้องเติมน้ำเพียงอย่างเดียวเพื่อให้รับประทานได้ ซึ่งในยุคแรกกูยาชจะไม่มีการใส่ปาปริกา เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีการนำเข้าเครื่องเทศชนิดนี้ จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 16 ได้เริ่มมีการนำเครื่องเทศปาปริกาเข้ามาในประเทศฮังการีมากขึ้นจนถึงปัจจุบัน

ส่วนผสมหลักของเมนูซุปกูลาช

เมนูซุปกูลาช หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Goulash soup เป็นซุปสตูว์สไตล์โฮมเมดที่มักใช้เนื้อวัว เนื้อหมู หรือเนื้อแกะ มาใช้เป็นส่วนประกอบหลัก แล้วไปเคี่ยวไฟอ่อนๆ ในน้ำซุป แล้วปรุงรสด้วยพริกป่นปาปริกา (Paprika) และเครื่องเทศอื่น ๆ ซึ่งสูตรที่เรานำมาฝากนี้เป็นซุปเนื้อวัวแบบฮังการี ที่มีความคล้ายคลึงกับกูลาชทั่วๆไป เป็นสตูเนื้อที่เข้ามะเขือเทศ แต่เน้นความสำคัญไปที่พริกแห้งปาปริก้า (Paprika) และเครื่องเทศหลายอย่าง ซึ่งสูตรนี้มีส่วนผสมหลักที่ขาดไม่ได้เลยดังนี้

วัตถุดิบและส่วนผสมซุปกูลาช

  1. เนื้อวัวส่วนน่องลาย 350 กรัม (หั่นชิ้นสี่เหลี่ยมหนาประมาณ 2 ซ.ม.)
  2. เกลือ 1 ช้อนชา
  3. พริกไทยดำบดหยาบ 1 ช้อนชา
  4. กระเทียมสับให้หยาบ 1 กลีบใหญ่ (หรือ 3 กลีบเล็ก) 
  5. หอมหัวใหญ่ขนาดกลาง 2 หัว (หั่นหรือสับเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ)
  6. แอปเปิ้ลขนาดกลาง 1 ผล (หั่นหรือสับเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ)
  7. มะเขือเทศพันธุ์เนื้อ 2 ผล (หั่นหรือสับเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ)
  8. ส่วนที่ 1 มันฝรั่งขนาดกลาง 1 หัว (หั่นหรือสับเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ)
  9. ส่วนที่ 2 มันฝรั่งขนาดกลาง 4 หัว (หั่นเป็นชิ้นพอคำ)
  10. แครอท ½ หัว (หั่นเป็นชิ้นพอคำ)
  11. เนื้อมะเขือเทศบด (Tomato puree) 4 ช้อนโต๊ะ หรือ ½ กระป๋อง
  12. ปาปริกา 2 ช้อนชา
  13. น้ำมันรำข้าว 2 ช้อนโต๊ะ
  14. ใบกระวาน 2 ใบ
  15. น้ำซุปกระดูกหมู 4 ถ้วย
  16. โยเกิร์ต 4 ช้อนโต๊ะ
  17. เหล้าเชอรี่สำหรับทำอาหาร 2 ช้อนโต๊ะ
ซุปกูลาช ซุปสตูว์สไตล์โฮมเมด อาหารขึ้นชื่อฮังการี
ซุปกูลาช ซุปสตูว์สไตล์โฮมเมด อาหารขึ้นชื่อฮังการี

ขั้นตอนวิธีการทำซุปกูลาช

เมนูซุปกูลาชก็เหมือนอาหารส่วนใหญ่ในโลกสมัยใหม่ ถึงจะมีประวัติที่ยาวนาน แต่ก็ย่อมถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยและพื้นที่นั้นๆ  แน่นอนว่าวิธีทำและส่วนผสมก็มีการปรับด้วยเช่นกัน ซึ่งขั้นตอนการทำที่เรานำมาแนะนำมีดังนี้

  1. เริ่มต้นหมักเนื้อวัวกับเกลือ และพริกไทยดำ แล้วทิ้งไว้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง
  2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันรำข้าว นำเนื้อวัวที่หมักแล้วไปทอดโดยใช้ไฟค่อนข้างแรงจนผิวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล (ทอดในหม้อสตูว์เลยก็ได้ค่ะ)
  3. จากนั้นเติมกระเทียมสับ หอมหัวใหญ่ แอปเปิ้ล มะเขือเทศ มันฝรั่ง(ส่วนที่ 1) ปาปริกา เนื้อมะเขือเทศบด ใบกระวาน ลงในกระทะแล้วผัดสักครู่
  4. เติมน้ำซุป (จะใช้น้ำเปล่าหรือน้ำซุปที่ปรุงรสก็ได้ค่ะ) ปิดฝาหม้อ แล้วหรี่ให้ไฟอ่อนลง แล้วเคี่ยวไปเรื่อยๆ จนเนื้อวัวเกือบนุ่ม จากนั้นเติมมันฝรั่ง(ส่วนที่ 2) และแครอท เคี่ยวต่อจนเนื้อวัวเริ่มนุ่ม แต่ไม่เปื่อยจนเกินไป ในการทำครั้งนี้ใช้เวลาเคี่ยวนานเกือบ3 ชั่วโมง และต้องคอยระวังน้ำซุปแห้งด้วยค่ะ โดยหมั่นเติมน้ำทดแทนที่ระเหยไป 
  5. เมื่อทุกอย่างเริ่มได้ที่ดีแล้ว คุณก็จะได้สตูเนื้อสีแดงเข้ม มีมันลอย เนื้อวัวนุ่มนวล หอมกลิ่นเครื่องเทศแห้งหลายอย่างที่ใส่ไป น้ำสตูจะงวดข้นพอดี จากนั้นปรุงรสด้วยเกลือ เติมเหล้าเชอรี่ และ โยเกิร์ต คนให้เข้ากัน และเตรียมเสิร์ฟร้อนๆ สามารถทานคู่กับเส้นพาสต้า หรือขนมปังเนื้อแน่นๆ ก็ได้เลยค่ะ

สำหรับอาหารฮังการีเมนูนี้ปรุงรสโดยใช้ปาปริกาเป็นหลัก คุณสามารถทำให้เป็นสตูข้นๆ ได้ง่าย โดยปรับปรุงรสชาติในหม้อได้ตลอดระยะเวลาหลายชั่วโมงที่เคี่ยว และคุณสามารถดัดแปลงเมนูนี้ได้ โดยลดมะเขือเทศบดลงครึ่งส่วน และเพิ่มความหวานอมเปรี้ยวด้วยรสของแอปเปิ้ล และมันฝรั่งสับที่เคี่ยวไปกับเนื้อวัวตั้งแต่แรก จะช่วยทำให้สตูมีลักษณะข้นขึ้น ส่วนโยเกิร์ตที่ใส่ลงไปด้วยนั้น ช่วยให้รสชาติกลมกล่อมขึ้น

Categories
อาหารนานาชาติ

หอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว อาหารยุโรปสุดหรูหรา แฝงความเรียบง่าย

หอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว
หอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว

เมื่อใกล้ถึงเทศกาลหรือมีงานปาร์ตี้ที่บ้าน นอกจากเครื่องดื่มแล้วก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คืออาหาร แน่นอนว่าอาหารที่นำมาต้องอร่อยและดูดี ซึ่งวันนี้เราก็มีอีกหนึ่งเมนูอาหารสุดหรูหรา แต่ทำง่ายๆได้ที่บ้านมาแนะนำอย่างหอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว แค่ชื่อก็รู้แล้วว่ามันต้องออกมาดูดีเลยแน่ๆเลยค่ะ เมนูนี้เป็นอาหารสไตล์ยุโรปที่หรูหรา แต่แฝงไปด้วยความเรียบง่าย 

ประเทศไทยมีหอยแมลงภู่หลากหลายชนิดให้เลือกซื้อ และหอยแมลงภู่ไม่เพียงแค่อร่อยเท่านั้นแต่ยังมีประโยชน์อีกด้วย ซึ่งมันมีอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงและมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ในปัจจุบันมีการสกัดสารจากหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ไปทำแคปซูลเพื่อต่อสู้กับโรคข้ออักเสบ นอกจากจะอร่อยแล้วยังมีประโยชน์อีก ดังนั้นเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าเมนูหอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาวมีส่วนผสมและวิธีทำอย่างไรบ้าง ตามเรามาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูหอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว

สำหรับหอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า NZ Mussel Steamed with White Wine นี่เป็นอีกหนึ่งเมนูจานคลาสสิกของอาหารในแถบเมดิเตอร์เรเนี่ยนเลยค่ะ ยิ่งมีการนำเอาซีฟู้ดมาปรุงโดยมีส่วนผสมของครีม เนย และซิตรัส ตลอดจนไวน์ขาว ทำให้เมนูจานนี้น่าดึงดูงมากขึ้นมีทั้งกลิ่น รส และอารมณ์ที่หอมกรุ่น อบอวลด้วยวัฒนธรรมการกินของแถบเมดิเตอร์เรเนี่ยนอย่างแท้จริง ฟังดูแล้วหรูหราน่าจะทำยากใช่ไหมคะ? แต่จริงๆแล้วไม่ยากเลยค่ะหากทำตามขั้นตอนที่เราแนะนำในวันนี้ รับรองว่าอาหารจานนี้ทำออกมาน่ารับประทาน แถมยังอร่อยแน่นอนค่ะ 

โดยมีส่วนผสมหลักๆ ดังนี้

วัตถุดิบและส่วนผสมหอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว

  1. หอยแมลงภู่ 1 กิโลกรัม (เราแนะนำให้ใช้หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์แช่แข็ง เพราะมีความชุ่มฉ่ำดีที่สุด)
  2. เนย 20 กรัม
  3. กระเทียม 6 กลีบ หั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า
  4. หัวหอม 1 หัว หั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า
  5. ไวน์ขาว 200 มล. 
  6. ผักชีฝรั่งสับละเอียด ¼  ถ้วย
  7. ครีมสำหรับปรุงอาหาร 150 มล.
  8. พริกไทยดำสด 1 ช้อนชา
  9. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ หรือเกลือ 1 ช้อนชา
หอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว
หอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว

ขั้นตอนวิธีการทำหอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว

เมนูหอยแมลงภู่อบอาหารฝรั่งเศสตะวันออกเฉียงใต้ อาหารทะเลอันโอชะมาพร้อมกับซอลไวน์ขาวและกระเทียม เป็นอาหารที่มีวิธีทำและขั้นตอนการเตรียมที่ค่อนข้างสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าเมนูหอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาวจะออกมาอร่อยดั่งใจหวัง แน่นอนว่าขั้นตอนการทำก็ไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแค่คุณต้องใส่ใจในทุก ๆขั้นตอนเท่านั้นเมนูนี้ก็จะออกมาดูดี อร่อยใครทานก็ต้องประทับใจ ซึ่งมีขั้นตามการทำดังนี้

  1. เริ่มแรกต้องทำการละลายหอยแมลงภู่ที่แช่แข็งด้วยน้ำเปล่าก่อนนำมาปรุงอาหาร (หากใช้หอยแมลงภู่สดให้ใช้แปรงขัดเปลือกหอยหรือใช้ปลายนิ้วเพื่อขจัดสิ่งสกปรกส่วนเกินคุณอาจสังเกตเห็นเส้นสีน้ำตาลพุ่งออกมาจากด้านข้างนั่นคือเคราของหอยแมลงภู่และมันกินไม่ได้ ให้คุณถอดเครามันโดยดึงเข้าหาบานพับ และด้านนอกของเปลือก หอยแมลงภู่บางตัวจะถูกตัดออกไปแล้ว 
  2. นำหอยแมลงภู่ที่ล้างสะอาดแล้วลงในหม้อนึ่งปิดฝาประมาณ 10 นาที (เปิดฝาอย่างระมัดระวัง) เมื่อหอยแมลงภู่สุกให้นำมาพักไว้ประมาณ 2-3 นาที
  3. ตั้งกระทะด้วยความร้อนปานกลาง นำเนยลงไปผัดจนละลายได้กลิ่นหอม แล้วใส่หัวหอม และกระเทียมใส่ลงไปผัดจนสุก (ประมาณ 2-3 นาที)
  4. จากนั้นเติมไวน์ขาว และน้ำปลา (หรือเกลือ) ลงในกระทะ แล้วใส่ครีมสำหรับปรุงอาหารและพาร์สลีย์ครึ่งหนึ่งลงไปต้มในหม้อ จากนั้นเคี่ยวจนเข้มข้นหรือจนลดลงครึ่งหนึ่ง และใส่ผักชีฝรั่ง เคี่ยวสักครู่
  5. เตรียมจัดหอยแมลงภู่ใส่จาน จากนั้นนำซอสที่ทำไว้ไปราดให้ทั่วหอยแมลงภู่ เพียงแค่นี้ก็ได้อาหารสุดหรูหรา และความเรียบง่ายพร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ

เคล็ดลับเพิ่มความอร่อยอีกระดับ

การนึ่งหอยแมลงภู่เป็นวิธีการปรุงหอยที่อร่อยและรวดเร็ว โดยใช้วิธีการปรุงด้วยความร้อนชื้น ก่อนอื่นคุณควรใช้กระทะหรือหม้อทรงสูงขนาดใหญ่ที่มีฝาปิด คุณสามารถปรุงรสชาติที่หอมกรุ่นด้วยการใช้น้ำซุปในการนึ่งได้ โดยใส่หอยแมลงภู่และปรุงอาหารด้วยไฟแรงปานกลาง และของเหลวจะกลายเป็นไอน้ำเมื่อความร้อนสูงกว่า 100 ° C (212 ° F) ในหม้อที่มีฝาปิด

Categories
อาหารนานาชาติ

ไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่ อาหารจานด่วนโรยเครื่องเทศ สไตล์เยอรมัน

ไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่
ไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่

หากพูดถึงอาหารริมทางยอดนิยมของเยอรมนีคงหนีไม่พ้น Currywurst หรือไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่ โดยต้นกำเนิดมาจาก “สเต็กคนจน” ที่เสิร์ฟด้วยไส้กรอก มะเขือเทศกระป๋อง และผงกะหรี่ ซึ่งในปัจจุบันไส้กรอกจะหั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ ปรุงรสด้วยซอสพริกแกง กับซอสมะเขือเทศที่ใส่เครื่องเทศหรือซอสมะเขือเทศราดด้วยผงกะหรี่ หรือซอสมะเขือเทศสำเร็จรูปปรุงรสด้วยแกงกะหรี่และเครื่องเทศอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่จานนี้มักเสิร์ฟพร้อมกับเฟรนช์ฟรายส์หรือขนมปัง 

ตำนานเล่าว่าผู้คิดค้นเมนู Currywurst คือแม่บ้าน ชาวซาวี่ ย่าน Charlottenburg ของเบอร์ลิน ในปี 1949 โดยเธอได้แลกเปลี่ยนสุรากับซอสมะเขือเทศ (บางแหล่งกล่าวว่าซอส Worcestershire ) และผงกะหรี่กับทหารอังกฤษที่ประจำการอยู่ที่นั่นหลังสงคราม คาดเดาว่าเธอได้ทดลองทำอาหารจากส่วนผสมเหล่านี้และเครื่องเทศอื่น ๆ เทลงบนไส้กรอกหมูย่าง จนกระทั่งได้เมนูนี้ ส่วนซอส Currywurst ส่วนใหญ่จะเป็นซอสมะเขือเทศและผงกะหรี่ จากนั้นเธอได้เริ่มเปิดร้านขายริมถนนในย่านCharlottenburg ของเบอร์ลิน ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่คนงานก่อสร้างที่ซ่อมแซมเมืองที่ถูกทำลายล้าง จนในที่สุดเธอของดีจนต้องจดสิทธิบัตรซอสของเธอภายใต้ชื่อ “Chillup” ในปี พ.ศ.2494 และมียอดขายที่สูงที่สุดถึง 10,000 เสิร์ฟต่อสัปดาห์ 

นอกจากจะเป็นอาหารที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมากแล้ว ยังเป็นอาหารที่อร่อย หอมกลิ่นเครื่องเทศอย่างแท้จริง จึงไม่แปลกที่ชาวเยอรมันหรือนักท่องเที่ยวต่างพากันชื่นชอบ เอาเป็นว่าใครที่จะเดินทางไปเที่ยวประเทศเยอรมันต้องไปชิมเจ้าเมนูนี้ไม่อย่างนั้นถือว่าคุณไปไม่ถึงที่นั้น แต่สำหรับใครที่ไม่สามารถเดินทางไปกินถึงเยอรมันได้ วันนี้เราก็มีวิธีการทำเจ้าเมนูไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่ สไตล์เยอรมันแท้ๆมาฝากทุกคน จะมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ตามเรามาดูกันเลยค่ะ

ส่วนผสมหลักของเมนูไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่

สำหรับเมนูไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Currywurst เป็นไส้กรอกสไตล์เยอรมัน ที่ให้กลิ่นอายอินเดีย เพราะส่วนผสมหลักนอกจากใส้กรอกหมูแล้ว ก็ยังมีเครื่องเทศผงกะหรี่ที่ขาดไม่ได้ ทำให้เมนูนี้สุดยอดอาหารริมทางของเยอรมัน ผู้คนต่างพากันชื่นชอบในเวลาอันรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นฟาสต์ฟู้ดเยอรมันก็ไม่ผิดค่ะ และด้วยรสชาติที่จัดจ้านหอมเครื่องเทศ เชื่อว่าคงถูกปากคนไทยอย่างเราๆ ได้ไม่ยากแน่ๆค่ะ ซึ่งมีวัตถุดิบและส่วนผสมมีดังต่อไปนี้

วัตถุดิบและส่วนผสมไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่

  1. ไส้กรอกหมู 1-2 ชิ้น
  2. ผงกะหรี่ 1-2 ช้อนโต๊ะ
  3. ผงมาซาล่า หรือ ปาปริก้า 1 ช้อนโต๊ะ
  4. เกล็ดขนมปังคั่ว 1 กำมือ
  5. ไทม์ 1 ช่อ
  6. พริกแห้ง 2-3 เม็ด
  7. ผักสลัด  1 หยิบมือ
  8. น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
ไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่
ไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่

ขั้นตอนวิธีการทำไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่

สำหรับเมนูไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่ เป็นอาหารที่มีวิธีทำที่ง่ายและรวดเร็วมาก ๆค่ะ ซึ่งสูตรที่เรานำมีแนะนำใช้เวลาทำประมาณ 10 นาที เหมาะสำหรับคนที่เร่งรีบและคนที่อยากลิ้มลองอาหารสไตล์เยอรมันอย่างแท้จริง โดยมีขั้นตอนการทำดังนี้

  1. ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย แล้วนำไส้กรอกไปจี่ให้ได้สีสวยงาม จากนั้นนำขึ้นพักไว้ในจาน
  2. ใช้กระทะใบเดิม โดยใส่น้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย แล้วใส่เครื่องเทศอย่างผงกะหรี่และผงมาซาล่าลงไปผัด ให้ได้กลิ่นหอมเข้ากัน จากนั้นตามด้วยการใส่ไทม์ลงไป
  3. อาจต้องใส่น้ำเปล่าลงไปเล็กน้อย แล้วนำไส้กรอกมาคลุกเคล้าให้รสชาติเครื่องเทศซึมเข้าไป
  4. จัดเสิร์ฟในจานที่ปูไว้ด้วยเกล็ดขนมปังคั่วเพื่อเสริมรสสัมผัส พร้อมด้วยพริกแห้งและผักสลัด หรือจะเสิร์ฟพร้อมกับเฟรนช์ฟรายส์และขนมปังก็ได้ค่ะ เพียงเท่านี้คุณก็จะได้เมนูไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่ที่อร่อยแล้วค่ะ

เรียกได้ว่าเมนูเคอร์รี่วัวสท์กลายมาเป็นดาวเด่นของอาหารเยอรมันได้เลย เพราะมันมีรสชาติแปลกไปจากอาหารอื่นๆ ในประเทศนี้ หรืออาจเป็นเพราะใส่เครื่องเทศจากเอเชียใต้ลงไปเลยทำให้เกิดรสชาติที่แบบใหม่สำหรับชาวเยอรมัน ซึ่งปัจจุบัน Currywurst มักขายเป็นอาหารซื้อกลับบ้าน หรืออาหารของว่าง และมีการปรับเปลี่ยนส่วนผสมของซอสในหลายรูปแบบ เช่น การเติมพริกขี้หนูหรือหัวหอมสับ บางครั้งใส่ซอสมะเขือเทศสำเร็จรูปลงไปด้วย

Categories
อาหารนานาชาติ

โมโม่ เกี๊ยวสอดไส้ สไตล์เนปาล

โมโม่ เกี๊ยวสอดไส้ สไตล์เนปาล
โมโม่ เกี๊ยวสอดไส้ สไตล์เนปาล

ถ้าให้พูดถึงแหล่งอาหารที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานคงหนีอาหารจากประเทศอินเดีย ซึ่งอาหารอินเดียส่วนใหญ่จะฉ่ำไปด้วยเครื่องเทศ และให้ปัจจุบันการกินอาหารอินเดียไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลายประเทศต่างก็มีร้านอาหารอินเดียโผล่มาให้หยุบหยับมากมาย โดยเฉพาะในประเทศไทยมีตั้งแต่ร้านอาหารอินเดียริมทาง ไปจนถึงร้านอาหารอินเดียระดับสุดพรีเมียม ซึ่งวันนี้เราก็มีเมนูอาหารอินเดียมาแนะนำอย่างโมโม่ เป็นอาหารขึ้นชื่ออย่างแพร่หลายในทุกหย่อมหญ้า ลามไปยันเนปาล มีลักษณะเป็นเกี๊ยวสอดไส้ผัก หรือเนื้อสัตว์สับ 

ครั้งแรกที่เห็นหน้าตาของเมนูนี้ หลายคนคงคิดว่านี่เป็นอาหารจีนหรือญี่ปุ่น ด้วยหน้าตาที่ดูละม้ายคล้ายกับเสี่ยวหลงเปาหรือติ่มซำบางชนิด แต่จริงๆแล้วเมนูนี้ได้รับอิทธิพลมาจากอาหารของชมพูทวีปกับเครื่องเทศอินเดียและสมุนไพร ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากและสามารถพบได้ในร้านค้าทุกประเภทตั้งแต่ร้านอาหารไปจนถึงร้านขายของริมถนน 

ส่วนผสมหลักของเมนูโมโม่

เนื่องจากเมนูโมโม่ หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Momos เป็นอาหารสไตล์เนปาล ด้วยความที่เนปาลเป็นประเทศที่อยู่ระหว่างอินเดียกับจีน จึงไม่แปลกนักที่จะได้รับถ่ายทอดวัฒนธรรมทางอาหารมาบ้าง ซึ่ง Momos จะมีลักษณะหน้าตาคล้ายกับเกี๊ยวหรือเสี่ยวหลงเปาของจีน ที่ห่อด้วยแผ่นแป้งบางๆใส่ไส้ที่ทำจากเนื้อหรือผักตามความชอบ แล้วจับจีบออกมาได้หลายรูปแบบตั้งแต่แบบซาลาเปาไปจนถึงแบบเกี๊ยวซ่า จึงไม่แปลกที่หลายคนจะเรียกเจ้าเมนูนี้ว่าเกี๊ยวเนปาล โดยมีส่วนผสมและขั้นตอนการทำดังนี้

วัตถุดิบและส่วนผสมโมโม่ 

  1. หมูสับ ½  กิโลกรัม
  2. หัวหอมแดงซอย 1 ถ้วย
  3. ต้นหอมซอย 1 ถ้วย
  4. หัวหอมซอย 1 ถ้วย
  5. ผงมาซาล่า 1 ช้อนชา
  6. เกลือ 1 ช้อนชา
  7. ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา
  8. พริกไทยดำบด 2 ช้อนชา
  9. พริกแห้งปั่น 3-4 ช้อนโต๊ะ
  10. งาขาวคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
  11. ขิงซอย 2 ช้อนชา
  12. เนยหรือน้ำมันพืช 1 ถ้วย
  13. น้ำเปล่าใช้สำหรับนวดแป้ง
  14. แป้งเอนกประสงค์ 300 กรัม
  15. ผักชีซอย 1 ถ้วย
  16. มะเขือเทศสับ 1 ถ้วย 
โมโม่ เกี๊ยวสอดไส้ สไตล์เนปาล
โมโม่ เกี๊ยวสอดไส้ สไตล์เนปาล

ขั้นตอนวิธีการทำเมนูโมโม่

โดยทั่วไปแล้วเมนูโมโม่จะมี 2 ประเภทคือแบบนึ่งและแบบทอด โดยปกติ Momos จะเสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้ม (ในท้องถิ่นเรียกว่าchutney/achhar ) ซึ่งจะใช้มะเขือเทศเป็นส่วนประกอบหลัก เมนูนี้จะมีหลายวิธีทำ สามารถทานคู่กับเครื่องจิ้มรสออกเปรี้ยว หวานเผ็ด ใส่ในน้ำซุป หรือราดซอสเผ็ด (C-Momo) ก็ได้ ซึ่งวันนี้เราเลือกใช้วิธีแบบนึ่ง โดยมีขั้นตอนวิธีการทำดังต่อไปนี้

  1. เริ่มแรกต้องทำการนวดแป้งก่อน โดยใส่แป้งอเนกประสงค์ เติมน้ำมัน 3-4 ช้อนโต๊ะ ค่อยๆเติมน้ำทีละนิด แล้วเริ่มนวดให้แป้งแน่น อย่าทำให้แป้งนิ่มเพราะจะทำให้เป็นทรงเกี๊ยวได้ยาก จากนั้นคลุมแป้งด้วยผ้าขาวชื้น พักแป้งไว้ประมาณ 30 นาที
  2. ทำไส้โมโม่ โดยตั้งกระทะก้นหนาใส่น้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ ตั้งไฟปานกลาง แล้วนำเนื้อหมูสับ จนเนื้อหมูเริ่มสุก แล้วใส่หัวหอมแดงซอย ต้นหอมซอย หัวหอมซอยตามลงไปผัดรวมกัน จากนั้นปรุงรสด้วยผงมาซาล่า เกลือ พริกไทยดำบด และซีอิ๊วขาว ผัดต่อประมาณ 2-3 นาที แล้วพักให้เย็นสนิท
  3. นำแป้งที่พักไว้มาห่อเหมือนติ่มซำแบบจีบ โดยแบ่งแป้งเป็นก้อนเท่าๆกัน แล้วนำก้อนแป้งแต่ละลูกวางบนกระดานที่โรยแป้งเล็กน้อย ม้วนแป้งโดว์แต่ละลูกเป็นวงกลมบาง ๆ ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-4 นิ้ว (ขอบต้องบางและตรงกลางต้องหนา) ทาน้ำด้วยปลายนิ้วของคุณหรือด้วยแปรงทาขนมขนาดเล็กตามเส้นรอบวง ต่อมาใส่ไส้ที่ผัดแล้วลงบนตรงกลางแป้งประมาณ 2-3 ช้อนชา จากนั้นยกขอบด้านหนึ่งขึ้นแล้วเริ่มจับจีบ
  4. ตั้งหม้อเตรียมนึ่ง เรียงโมโม่ที่ทำไว้ลงในหม้อ ปิดฝานึ่งประมาณ 10 นาที หรือจนกว่าแป้งชั้นนอกจะโปร่งใส อย่าทำให้สุกเกินไปเพราะแป้งชั้นนอกจะหนาแน่นและเหนียว เวลาในการนึ่งอาจแตกต่างกันไปตามความหนาของแป้งที่ห่อ
  5. ในส่วนของซอส เริ่มจากตั้งกระทะใส่น้ำมัน 4-5 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยการใส่มะเขือเทศสับ พริกแห้ง และขิงซอย ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทยดำ ผงมาซาล่า จากนั้นนำมาผัดรวมกับงาขาวคั่ว แล้วค่อยๆเติมน้ำเปล่าจนได้เป็นซุป
  6. ราดซุปลงบนโมโม่ ตกแต่งด้วยผักชี เพียงแค่นี้ก็พร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ

สิ่งที่ทำให้โมโม่อร่อยขึ้นอยู่ที่วิธีการเตรียมและส่วนผสมที่ใช้ ตัวอย่างเช่นหากแป้งสดและมีคุณภาพดีแน่นอนว่าคุณจะได้โมโม่ที่ดีและอร่อย บางคนใช้น้ำอุ่นในการนวดแป้ง การใส่ไส้ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์หรือผักควรสับให้ละเอียดเข้ากันและปรุงรสด้วยขิงหรือกระเทียม และควรรับประทานตอนมันร้อน รับรองว่าอร่อยแน่นอนค่ะ

Categories
อาหารนานาชาติ

สูตร สตูว์ไก่ เมนูอาหารฝรั่ง ครบทุกรสทั้งเปรี้ยวหวานมันเค็ม

สตูว์ไก่
สตูว์ไก่

ใครที่เข้าครัวทำอาหารในวันนี้ แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะทำเมนูอะไร เราขอแนะนำเมนู “สตูว์ไก่” อาหารจากประเทศฝรั่งที่ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก นิยมเสิร์ฟคู่กับขนมปังเนื้อหนักอย่างบาแก็ต (Baguette) และมีการปรับปรุงให้เข้ากับวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ สำหรับใครที่ชอบทานไก่ เรารับรองได้เลยว่าเมนูนี้ต้องถูกปากใครหลายๆ คน รสชาติกลมกล่อม ยิ่งได้ทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ พร้อมผักแกล้มต้องบอกเลยว่าฟินได้ใจมาก

ส่วนผสมหลักของเมนูสตูว์ไก่

วัตถุดิบเมนูสตูว์ไก่ ที่เห็นได้ชัดเลยก็เนื้อไก่ เป็นอาหารที่คนอิสลามชื่นชอบ เมนูสตูว์นั้นมีหลากหลายไม่จำเป็นต้องใช้เนื้อไก่เท่านั้น เราสามารถใช้เนื้อสัตว์ที่เราชอบได้ เช่น สตูว์หมู สตูว์เนื้อวัว เป็นต้น เมนูนี้มีรสชาติที่ครบเครื่องทุกรส ทั้งเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม แถมยังอร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เรามาดูส่วนผสมหลักกับขั้นตอนการทำกันเลย

วัตถุดิบส่วนผสม

  1. น่องไก่ติดสะโพก 5 ชิ้น
  2. น้ำมันรำข้าว 1 ช้อนโต๊ะ
  3. กระเทียม 3 กลีบ
  4. หัวหอมใหญ่ 1 หัว
  5. แครอท 1 หัว
  6. มันฝรั่ง 2 หัว
  7. มะเขือเทศ 3 ผล
  8. เนย 1 ช้อนโต๊ะ
  9. แป้งสาลี 1 ช้อนโต๊ะ
  10. ซอสมะเขือเทศ 100 กรัม
  11. ซอสพริก 2 ช้อนโต๊ะ
  12. ซอสวูสเตอร์ 1 ช้อนโต๊ะ
  13. เกลือสำหรับปรุงรส
  14. พริกไทยสำหรับปรุงรส
  15. น้ำสล็อตไก่ 2-3 ถ้วย
สตูว์ไก่
สตูว์ไก่

ขั้นตอนวิธีการทำ

  1. ตั้งหม้อใบใหญ่ด้วยไฟปานกลาง จากนั้นใส่น้ำมันรำข้าวลงไป รอให้น้ำมันร้อนพอดี
  2. ระหว่างรอให้หม้อร้อนในโรยเกลือ และพริกไทยบนเนื้อไก่ทั้งสองด้าน น้ำมันในหม้อเริ่มร้อนให้นำชิ้นไก่ลงไปจี่จนเนื้อด้านนอกมีสีน้ำตาลอ่อนๆ แล้วนำไก่ขึ้นพักไว้
  3. ทำน้ำสต๊อกปรุงรส โดยผสมน้ำสต๊อกไก่ กับซอสมะเขือเทศ ซอสพริก และซอสวูสเตอร์ คนให้ส่วนผสมเข้ากัน ใส่ภาชนะพักไว้
  4. ตั้งเตาโดยใช้หม้อใบเดิม ใส่กระเทียม หัวหอมใหญ่ แครอท แล้วมันฝรั่ง ลงไปผัดประมาณ 3 นาที แล้วจัดเรียงชิ้นไก่ลงไป ตามด้วยน้ำสต๊อกปรุงรส
  5. พอส่วนผสมเริ่มเดือด ให้ลดไฟ แล้วเคี่ยวต่อให้ไก่เนื้อนุ่มดี ประมาณ 30 นาที
  6. ตักชิ้นไก่ออกมา ชิมและปรับรสสตูว์ด้วยเกลือ และพริกไทย ผสมเนยและแป้งสาลี ใส่ลงไปในสตูว์เพื่อให้น้ำซอสข้นขึ้น หั่นครึ่งมะเขือเทศใส่ลงไป ตักใจถ้วยพร้อมเสิร์ฟ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะทุกคน อร่อยถูกปากใครหลายๆ คนใช่ไหม? สำหรับสูตรวิธีทำเมนูสตูว์ไก่ บอกเลยว่าสูตรนี้รสชาติอร่อยกลมกล่อม เข้มข้น และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ หรือจะทำสตูว์ไก่แบบจีน ก็น่ากินไปอีกแบบ และทำได้ง่ายๆ กินได้ทั้งครอบครัว หรือจะทำขายก็ขายดีแน่นอน ใครที่ทำแล้วก็อย่าลืมแชร์ความอร่อยมาให้เราได้ชื่นชมด้วยนะคะ